ด้วยวิสัยทัศน์ของหลัวซิวสามารถมองออกว่า ระดับของวรยุทธ์นี้ไม่ด้อยเลย รวมถึงสองระบบใหญ่อย่างฝึกปราณและกลั่นร่าง กระทั่งภายในคุณธรรมฝึกตนแดนเทพมาร ก็ยังสามารถเปิดจุดลมปราณร่างเนื้อ ผนึกรวมเวทย์ดาราภายในจุดตันเถียนได้เช่นกัน!

สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ แต่หลังจากนั้นเขาก็พบว่า วิชาอาถรรพณ์จุดลมปราณและวิธีการผนึกรวมดาราของวรยุทธ์นี้ แตกต่างไปจากที่เขาฝึก

อย่างเช่นในด้านฝึกปราณของวรยุทธ์นี้ เมื่อบรรลุแดนเทพมารแล้ว สามารถผนึกรวมดาราเก้าดวง แดนเทพฟ้าก็คือดาราเก้าดวง แดนราชาเทพก็คือดาราเก้าดวง

ส่วนวิชาอาถรรพณ์จุดลมปราณของการกลั่นร่าง เทพมาร เทพฟ้า รวมถึงราชาเทพ สามแดนใหญ่ต่างก็สามารถเปิดได้เพียงเก้าจุดลมปราณ ไม่ใช่สิบแปดจุดลมปราณ

ทำให้หลัวซิวพอที่จะเข้าใจได้ว่า ผู้แข็งแกร่งที่ริเริ่มวรยุทธ์นี้ ต้องเคยได้สัมผัสกับเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าและวิชาอาถรรพณ์จุดลมปราณเป็นแน่ เพียงแต่สิ่งที่เขาได้รับนั้นอาจจะไม่สมบูรณ์ มีส่วนที่ขาดหายไป ดังนั้นวรยุทธ์นี้จึงถูกสร้างขึ้นโดยอิงจากเคล็ดวิชาที่ไม่สมบูรณ์ทั้งสอง

ถึงแม้ว่าในด้านของระบบจะไม่สามารถเทียบเท่ากับวิชาอาถรรพณ์ใหญ่สองชนิดที่สมบูรณ์ได้ แต่ก็มีข้อดีตรงที่สามารถสืบทอดและต่อยอด ฝึกตนไปถึงแดนที่สูงขึ้นได้

ไม่เช่นนั้น หากไม่มีการสืบทอดต่อไปของวรยุทธ์ ก็จะสามารถทำได้เพียงหยุดอยู่ที่แดนใดแดนหนึ่ง ไม่มีทางฝึกตนไปถึงระดับที่สูงขึ้นได้

ถึงอย่างไร ก็ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนดังเช่นหลัวซิว อาศัยเพียงการสัมผัสรู้โลกยุทธ์ของตนค้นหาเส้นทางอื่น ๆ ริเริ่มออกมาเป็นการต่อยอดของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้า

ที่สำคัญ หลัวซิวสามารถสร้างบทที่สองของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าได้นั้น ไม่ได้อาศัยพรสวรรค์อันแข็งแกร่งทรงพลังหรือการตระหนักรู้ระดับปีศาจของตน แต่เป็นเพราะเขาครอบครองวัฏสงสารซึ่งเป็นขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่นี้ สามารถเรียนรู้จากการอ้างอิงแก่นแท้ของวรยุทธ์พลังอมตะชั้นยอดชนิดต่าง ๆ

“วรยุทธ์นี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นวรยุทธ์ระดับจ้าวมหาเทพ”

ครึ่งเดือนต่อมา หลัวซิววิจัยวรยุทธ์ในม้วนหยกนี้อย่างละเอียด ถึงแม้ว่าคุณธรรมหลังจากแดนราชาเทพจะไม่สามารถดูได้ แต่จากการต่อยอดของเขา วรยุทธ์นี้หากฝึกตนตามกำหนดเวลาต่อไป ก็อาจจะสามารถฝึกตนถึงแดนจ้าวมหาเทพได้

เขาใช้วัฏสงสารได้เห็นเศษเสี้ยวของวรยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพมามากมาย ส่วนที่มีความสอดคล้องกัน พบว่าวรยุทธ์นี้เมื่อเทียบกับวรยุทธ์จักรพรรดิเทพยังมีห่างชั้นกันอยู่มาก ดังนั้นจึงประเมินไว้ให้เป็นวรยุทธ์ระดับจ้าวมหาเทพ

วรยุทธ์ระดับจ้าวมหาเทพสำหรับหลัวซิวแล้วนั้นไม่ได้มีประโยชน์มากนัก อย่างมากที่สุดก็ใช้สำหรับการอ้างอิง เพื่อปรับปรุงแนวคิดและการสัมผัสรู้โลกยุทธ์ของตนเอง แต่สำหรับการฝึกแห่งโลกามนุษย์แล้วนั้น ต้องเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้อย่างแน่นอน!

“พลังกัศปะ……”

นี่คือชื่อของวรยุทธ์ระดับจ้าวมหาเทพนี้

“เวลาผ่านไปเนิ่นนานเช่นนี้แล้ว อิงบูเฉิงกับเทพธิดายู่หรงน่าจะได้เจอกันแล้วเป็นแน่?”

ร่างนั้นเหยียบขึ้นไปบนอากาศและเหาะออกไป หลัวซิวอาศัยปีกเทพไร้มลทินทะลุทะลวงปริภูมิเพื่อรีบเดินทาง ออกจากเขตพื้นที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ในที่สุดหลัวซิวก็พบภูมิทัศน์ที่ค่อนข้างคล้ายกับภูมิทัศน์ในม้วนหยก หลังจากการยืนยันความสอดคล้อง ในที่สุดเขาก็ระบุตำแหน่งของสถานที่ที่ถูกทำเครื่องหมายไว้ได้

“เป็นที่นี่ไม่ผิดแน่”

จากสถานที่ไกล ๆ หลัวซิวเห็นยอดเขาสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง พื้นผิวของยอดเขาเปลือยเปล่า มีเพียงหินแร่ที่เยือกเย็นเท่านั้น ปราศจากพืชพรรณและออร่าชีวีใดใด

ยอดเขาเช่นนี้บนดาราแห่งกาลเวลานั้นมีอยู่มากมาย หากไม่มีการระบุตำแหน่งจากม้วนหยก โดยปกติแล้วหลัวซิวมักจะไม่สนใจสถานที่เช่นนี้

ตัวสำนึกของเขาแผ่ขยายออกไป กวาดไปรอบ ๆ ยอดเขาลูกนั้น ไม่นานก็พบว่ามีออร่าอยู่สองร่าง

ที่ตีนเขาของยอดเขานั้น มีค่ายซ่อนงำซึ่งเป็นค่ายเทพระดับเจ็ดอยู่ ด้วยความแข็งแกร่งของตัวสำนึกของหลัวซิว รวมกับ ความสำเร็จในเส้นทางค่ายกล จึงสามารถทะลุทะลวงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ปรากฏว่าทั้งสองร่างที่อยู่ในค่ายกลนั้น ก็คืออิงบูเฉิงและเทพธิดายู่หรงนั่นเอง

“เฮียอิง พวกเรารอมาสามเดือนกว่าแล้ว หรือว่ายังต้องรอต่อไปอีกหรือ?”

เทพธิดายู่หรงอยู่ดี ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสงสัย มองไปทางอิงบูเฉิงที่อยู่ข้างกาย