“เราทำได้เพียงรอเท่านั้น ที่แห่งนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะบุกเข้าไปโดยอาศัยเพียงพวกเราสองคน” อิงบูเฉิงพยักหน้าพร้อยเอ่ยตอบ

เทพธิดายู่หรงได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ว่าผู้เพื่อนยุทธ์เย่ผู้นั้นก่อนหน้านี้ปิดบังพลังที่แท้จริงมาตลอด หากว่าเขาเป็นเพียงนักค่ายเทพระดับแปดนั่นก็แล้วไป แต่พลังของเขากลับมากพอที่จะสามารถสังหารกึ่งมกุฎเทพได้ ร่วมมือกับคนเช่นนี้ เมื่อใดที่ค้นพบโอกาสหรือสมบัติ ด้วยพลังของข้ากับเจ้าเพียงสองคน ก็เหมือนกับการฝากเนื้อไว้กับเสือมิใช่หรือ?”

อิงบูเฉิงก็ขมวดคิ้วด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเขาคิดเกี่ยวกับปัญหานี้มาก่อนแล้ว อันที่จริงในใจของเขาก็ยังไม่แน่ใจเช่นกัน

เหตุที่เขาค่อนข้างเข้าใจเกี่ยวกับดาราแห่งกาลเวลา ก็เป็นเพราะอาจารย์ของเขา

อาจารย์ของอิงบูเฉิง ไปที่นั่นครั้งหนึ่งเมื่อดาราแห่งกาลเวลาปรากฏขึ้นในครั้งแรก นับว่าเป็นเป็นยอดฝีมือระดับราชาเทพกลุ่มแรกที่ออกสำรวจดาราแห่งกาลเวลา

ไม่เพียงเท่านี้ อาจารย์ของเขาไม่เพียงแต่กลับมาโดยที่ยังมีชีวิตในครั้งนั้น ผลการฝึกตนก็เพิ่มขึ้นจากราชาเทพช่วงกลาง บรรลุเป็นราชาเทพช่วงปลาย

เมื่อดาราแห่งกาลเวลาเปิดเป็นครั้งที่สอง อาจารย์ของเขาก็ได้มีผลการฝึกตนราชาเทพขั้นเก้าแล้ว กลับไปอีกครั้งด้วยความมั่นใจเต็มเปลี่ยม

แต่ในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าอาจารย์ของเขาจะสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้ แต่ก็บาดเจ็บสาหัส

อิงบูเฉิงฝากตัวเป็นศิษย์เมื่อห้าพันกว่าปีที่ก่อน ในตอนนั้น บาดแผลของอาจารย์ของเขาก็ยังไม่ได้รับการฟื้นฟู หลังจากถ่ายทอดทุกอย่างที่ได้เรียนรู้แล้ว เมื่อกว่าสองพันปีก่อนก็นิพพานไปอย่างสงบ

ก่อนที่อาจารย์ของเขาจะตายไป ได้พูดถึงเรื่องดาราแห่งกาลเวลาขึ้นมา อีกทั้งยังทำให้อิงบูเฉิงได้รู้ว่า เหตุที่อาจารย์ของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์ถึงเพียงนี้ ก็เป็นเพราะเขาค้นพบสถานที่แห่งหนึ่ง ณ ดาราแห่งกาลเวลา

อาจารย์ของเขาบอกไว้ว่าที่นั่นมีโอกาสอันยิ่งใหญ่อยู่ แต่ก็มีอันตรายอย่างใหญ่หลวงอยู่ด้วยเช่นกัน อาจารย์ของเขาไม่สามารถได้รับโอกาสนั้นมาได้ แต่กลับได้รับบาดเจ็บสาหัสมาแทน ผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพขั้นเก้ามีชีวิตอยู่ไม่ถึงสองล้านปี ก็นิพพานไปอย่างสงบเสียแล้ว

หลายปีมานี้ อิงบูเฉิงรอคอยโอกาสที่ดาราแห่งกาลเวลาจะเปิดออกอีกครั้งมาตลอด เขารู้ดีว่าแม้แต่อาจารย์ของเขาที่เป็นถึงราชาเทพขั้นเก้ายังได้รับบาดเจ็บสาหัส หากอาศัยแค่เพียงพลังของตนเอง ย่อมไม่สามารถทำได้สำเร็จแน่นอน

ตามเบาะแสที่อาจารย์ของเขาทิ้งเอาไว้ให้ เขาจึงได้ไปหาหลัวซิว เพราะที่แห่งนั้นจำเป็นต้องมีนักค่ายเทพมาทำลายค่ายกลพรสวรรค์ เพื่อที่จะป้องกันเรื่องเหนือความคาดหมาย เขาก็ได้ตามหาผู้ช่วยเพิ่มอีกหนึ่งคนที่มีผลการฝึกตนไม่แตกต่างกันมากนัก ซึ่งนั่นก็คือเทพธิดายู่หรง

ไม่ว่าจะเป็นเย่ห้าวหรานหรือว่าเทพธิดายู่หรง ความแข็งแกร่งต่างอยู่ในขอบเขตที่เขาสามารถควบคุมได้

แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่า ภายในเมืองมังกรครามยักษ์ เย่ห้าวหรานกลับแสดงพลังรบอันแข็งแกร่งออกมา พลังของเขาสามารถสังหารกึ่งมกุฎเทพได้ มันเป็นสิ่งที่ตนไม่สามารถเทียบได้เลย

เมื่อถึงเวลานั้น อิงบูเฉิงหมายจะหานักค่ายเทพใหม่อีกคนมันก็สายไปเสียแล้ว เพราะว่าเขาในวันนี้ก็อยู่ในภาวะขี่หลังเสือลงยาก หากไม่รอเย่ห้าวหรานไปพร้อมกัน ไม่มีนักค่ายเทพ ก็จะไม่ได้รับสิ่งใดกลับมาเลยเช่นกัน

แต่หากพลาดโอกาสในครั้งนี้ไปแล้ว รอการเปิดของดาราแห่งกาลเวลาครั้งต่อไป อย่างน้อยก็ต้องรออีกนับแสนปีทีเดียว

ในขณะที่ภายในใจของอิงบูเฉิงกำลังลังเลและสับสนนั้น เสียงหนึ่งก็พลันดังทะลุเข้ามาภายในค่ายซ่อนงำ

“ไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าผู้เพื่อนยุทธ์ทั้งสองยังรอข้าอยู่ ตำแหน่งวาร์ปของข้าห่างไกลเกินไป ดังนั้นจึงได้มาถึงช้าเช่นนี้”

ระหว่างที่พูด ร่างของหลัวซิวก็ผ่านทะลุค่ายซ่อนงำ มาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าอิงบูเฉิงและเทพธิดายู่หรงแล้ว

“ผู้เพื่อนยุทธ์เย่?”

วินาทีที่เห็นหลัวซิว อิงบูเฉิงก็รู้ในทันทีว่าตนเองทำได้เพียงต้องกัดฟันไปต่อเท่านั้น จากนั้นก็หมุนตัว หันไปทางหลัวซิวผสานมือคำนับ

เทพธิดายู่หรงที่อยู่ข้าง ๆ เผยสีหน้าทำอะไรไม่ถูกออกมา เมื่อครู่นางเพิ่งพูดบางประโยคที่ไม่น่าฟังออกไป และก็ไม่รู้ว่าเย่ห้าวหรานผู้นี้ได้ยินหรือไม่