ขณะพูด กลุ่มสามคนบินผ่านเข้ามา นักยุทธ์เหล่านั้นที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ เหวไร้สิ้นสุด เพียงแค่ปรายตามองพวกเขาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีก สายตาของทุกคนจดจ่ออยู่กับความมืดมืดภายใต้เหวไร้สิ้นสุด

เห็นได้ชัดว่า คนที่รู้จักเหวไร้สิ้นสุดมีอยู่ไม่น้อยเลย นับแค่ที่หลัวซิวมองเห็นก็มีกว่าร้อยคนแล้ว จากการพูดคุยถกเถียงกันระหว่างคนเหล่านี้ ทำให้หลัวซิวได้ยินถ้อยคำมากมายเกี่ยวกับตำหนักปีศาจเพลิง

“ผู้เพื่อนยุทธ์เย่ ดูแล้วคนที่รับรู้ถึงโอกาสและโชคดีในที่แห่งนี้มีอยู่ไม่น้อยเลย โอกาสที่เราจะได้รับนั้นมีน้อยมากทีเดียว” อิงบูเฉิงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ใบหน้าของเขาก็พลันหม่นหมองลงทันที

หลัวซิวแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อมีคนมากมายที่รู้เรื่องราวของที่นี่ เช่นนั้นท้ายที่สุดใครกันที่จะได้รับโอกาสและโชคดี ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาเองแล้ว สำหรับประเด็นนี้ หลัวซิวยังคงค่อนข้างมั่นใจในพลังของตนอยู่พอควร

อีกทั้ง อิงบูเฉิงก็พูดแล้วว่า ที่แห่งนี้ไม่เพียงแค่มีผลการฝึกตนก็จะสามารถเพียงพอได้ ยังจำเป็นต้องมีความสำเร็จด้านค่ายกลที่สูงมากอีกด้วย

ท่ามกลางราชาเทพมากมายที่เข้ามายังดาราแห่งกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นพลังผลการฝึกตน หรือว่าเป็นแดนค่ายกล หลัวซิวประเมินตนเองแล้วก็ยังรู้สึกว่าตนคือที่สุดอยู่ดี

โครม……

ทันใดนั้น ด้านล่างของเหวไร้สิ้นสุดเสียงปังดังอึกทึกครึกโครมดังขึ้นมา แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เพลิงอัคคีและลาวาจำนวนมหาศาลปะทุขึ้นมา ราวกับจะกดทั่วทั้งห้วงลึกเอาไว้ด้านล่าง

ห้วงลึกที่มืดมิด กลายเป็นทะเลเพลิง หินหนืดที่แผดเผากลิ้งกระเด็นกระดอนออกมา คลื่นความร้อนพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

หลังจากนั้น ตำหนักที่สูงตระหง่านแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นอย่าเลือนรางท่ามกลางลาวาเพลิงอัคคีที่กลิ้งกระเด็นกระดอน บนประตูใหญ่ของตำหนัก สลักไว้ด้วยเพลิงอัคคีโทเท็มของปีศาจร้าย

“ตำหนักปีศาจเพลิงปรากฏขึ้นแล้ว!” ใครคนหนึ่งร้องตระโกนด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนว่าสีหน้าของทุกคนจะกลับกลายเป็นกระตือรือร้นขึ้นมา จ้องมองไปยังตำหนักที่สูงตระหง่านท่ามกลางลาวา

ในชั่วพริบตา ผู้คนสิบกว่าคนรีบพุ่งลงไป ใช้เวทย์ผลการฝึกตนเปิดทางลาวาที่รายล้อมอยู่รอบด้าน ไม่นานก็เข้าใกล้เขตของตำหนักปีศาจเพลิง

ในเวลานี้เอง ม่านแสงสีแดงเลือดผืนหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาโอบล้อมตำหนักปีศาจเพลิงเอาไว้ ราชาเทพสิบกว่าคนเหล่านั้นลงมือโจมตีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“ผุ! ผุ! ผุ! ……”

ทันใดนั้น ราชาเทพสิบกว่าคนเหล่านั้นที่ลงมือโจมตีก็ระเบิดออกกลายเป็นละอองเลือด จากนั้นก็ถูกแผดเผาไปด้วยลาวาจนกลายเป็นความว่างเปล่า

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า หลัวซิวก็รี่ตาลง แอบคิดว่าอิงบูเฉิงไม่ได้โกหก วิชาห้ามค่ายกลของตำหนักปีศาจเพลิงนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เมื่อใดก็ตามที่มีคนโจมตี จะกระตุ้นให้เกิดรังสีสังหารอันน่าสะพรึงกลัวออกมา

“ทุกคนระวังตัว วิชาห้ามค่ายกลของตำหนักปีศาจเพลิงไม่อาจฝืนโจมตีได้ นักค่ายกลล่ะ? ให้นักค่ายกลออกมา ดูเสียว่าสามารถทำลายได้หรือไม่”

นักยุทธ์คนหนึ่งพูดเอ่ยเสียงดัง ที่ด้านหลังของเขา มียอดฝีมือยี่สิบกว่าคนติดตามมาด้วย แต่ละคนต่างก็มีผลการฝึกตนระดับราชาเทพช่วงกลางขึ้นไป

เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้อยู่ในกองกำลังเดียวกัน จากบทสนทนาของคนรอบข้าง ทำให้หลัวซิวได้รู้ว่าคนเหล่านี้มาจากตระกูลโปแห่งโลกาดาราอัมพรเทว เป็นตระกูลใหญ่ระดับมกุฎเทพแห่งโลกยุทธ์

เพื่อสำรวจตำหนักปีศาจเพลิง ตระกูลโปแห่งอัมพรเทวดูเหมือนว่าจะถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังจากสิ้นเสียงของนักยุทธ์ที่เป็นผู้นำของกลุ่ม ผู้อาวุโสสองคนที่มีหนวดเคราสีขาวก็สาวเก้าก้าวออกมา เข้าไปใกล้ตำหนักปีศาจเพลิงมากขึ้นด้านล่าง ภายใต้การคุ้มกันของนักยุทธ์หลายสิบคน

ผู้อาวุโสทั้งสองต่างเป็นนักค่ายเทพ คนหนึ่งมีผลการฝึกตนระดับราชาเทพช่วงกลาง อีกคนหนึ่งมีผลการฝึกตนระดับราชาเทพช่วงปลาย

หลังจากเข้าใกล้ตำหนักปีศาจเพลิง นักค่ายเทพทั้งสองก็หยุดฝีเท้าลง สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมาทันที จากนั้นก็จีบมือเป็นวิชาค่ายกล เริ่มการอนุมานวิธีการทำลาย

ในเวลาเดียวกัน คนอื่น ๆ ก็ตามกันลงไป ทุกคนต่างหยุดฝีเท้าลงในระยะประมาณร้อยเมตรจากตำหนักปีศาจเพลิง เพราะถ้ายังไปต่อ วิชาห้ามค่ายกลของตำหนักปีศาจเพลิงก็จะถูกกระตุ้นอีก