บทที่ 755.1 เลือกที่ตั้ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เจียงซ่างเจินไม่ได้ตรงกลับไปที่ยอดเขาอวิ๋นจี๋ ไม่ได้ไปรบกวนการพูดคุยเรื่องในวันวานของพวกเฉินผิงอันสามคน แต่อยู่ต่อที่หาดหินหวงเฮ้อ แอบไปที่เปลือกหอยมารอบหนึ่ง เข้าพักในเรือนส่วนตัวตระกูลเจียงที่เอาไว้รับรองเฉพาะแขกผู้สูงศักดิ์เท่านั้น สาวใช้บ่าวไพร่ในจวนล้วนเป็นเหมือนสาวงามหนังจิ้งจอกของสกุลสวี่นครลมเย็น พื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำแห่งนี้ สีท้องฟ้าเหมือนกับของพื้นที่มงคล เจียงซ่างเจินเอากุญแจออกมาพวงหนึ่ง เปิดตราผนึกขุนเขาสายน้ำออก เข้าไปแล้วก็เดินขึ้นหอสูงพิงราวรั้วทอดสายตามองไปไกล ความลี้ลับของจวนเปลือกหอยจึงปรากฏในสายตาทันที ทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล ใต้ฝ่าเท้ามีเพียงเรือนแห่งนี้เท่านั้นที่สูงลอยพ้นเหนือทะเลเมฆ ประหนึ่งเกาะตระกูลเซียนที่ตั้งเดียวดายอยู่นอกมหาสมุทรกว้างใหญ่ ทะเลเมฆขาวโพลนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาทำให้จวนหลังอื่นถูกบดบังท่ามกลางเมฆขาว เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ประหนึ่งเมล็ดงาที่ลอยพ้นเหนือผิวน้ำ เจียงซ่างเจินมือหนึ่งถือพัดกลมเก่าแก่จนออกเป็นสีขาว ด้ามพัดครอบไว้ด้วยปลอกไม้ไผ่เก่าแก่จากภูเขาชิงเสิน พัดเอาลมเย็นเข้าหาตัวเบาๆ มือขวาถือกาครึ่งเดือนที่เผามาจากดินชิงอวี้ จิบชาช้าๆ การมองเห็นเปิดกว้าง ทัศนียภาพรอบด้านของหาดหินหวงเฮ้อล้วนปรากฎอยู่ในสายตา

เจียงซ่างเจินกำลังรอคอยให้สหายเก่าคนหนึ่งมาเยี่ยมเยือนระบายความทุกข์กับตน เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าคนพายเรือกลับไม่ปรากฎตัวเสียที มีความอดทนดีเยี่ยม ในเมื่ออยู่ว่างๆ ก็ควรหาเรื่องอะไรทำสักหน่อย เจียงซ่างเจินจึงพึมพำประโยคหนึ่งว่าอะไรที่ไม่สมควรมองอย่ามอง เส้นสายตากวาดไปทั่ว ร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฟ้ามือ ตามหาจวนที่หวงอีอวิ๋นเข้าพักเพียงลำพังก่อน กังวลว่าทางฝั่งของหาดหินหวงเห้อจะต้อนรับได้ไม่ดีพอ เมินเฉยพี่หญิงเย่ ความตั้งใจเดิมของเจียงซ่างเจินคืออยากดูให้เห็นว่าในจวนของพี่หญิงเย่ยังขาดอะไร เขาจะได้ให้คนจัดเตรียมมาให้พร้อม ผลคือพบว่าพี่หญิงเย่กำลังใช้ท่าเซียนเหรินเดินดารา (หรือปู้กัง การเดินก้าวเท้าไปตามตำแหน่งดวงดาวของกลุ่มดาวบนท้องฟ้าขณะทำพิธีเพื่ออาศัยพลังดวงดาวเพิ่มพลังให้กับผู้ประกอบพิธี) ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษภูเขาผูซานฝึกท่าหมัดท่าเดินอยู่ในลานบ้าน เจียงซ่างเจินยืดคอยาวออกไป เบิกตากว้าง คล้ายกับอยากจะเอาหน้าไปแนบอยู่บนหมัดของหวงอีอวิ๋นให้รู้แล้วรู้รอด จิตของหวงอีอวิ๋นสัมผัสได้จึงขมวดคิ้วน้อยๆ ถองศอกออกไป ปณิธานหมัดมหาศาลที่อยู่ในพื้นที่ลับเปลือกหอยประหนึ่งรุ้งขาวเส้นหนึ่งที่ห้อยลอยตัวอยู่กลางอากาศ กระแทกชนจนเจียงซ่างเจินต้องรีบยกพัดบังใบหน้า พัดกระแทกเข้าหน้าของเขาเต็มแรง เจียงซ่างเจินเซถอยหลังไปหลายก้าว ใช้พัดกลมโบกเบาๆ สลายรุ้งยาวลอยกลางอากาศที่เกิดจากปณิธานหมัดรวมตัวกันนั้นออกไป

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางก็ตอแยยากเช่นนี้เอง จิตสัมผัสเฉียบคมเกินไปแล้ว

เจียงซ่างเจินรีบเปลี่ยนสถานที่ดูเป็นที่แห่งอื่น พี่หญิงเทพธิดาคนหนึ่งที่พอจะมีชื่อเสียง มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเข้าไปอยู่ในเล่มรองของการประเมินใหม่บนภูเขาเทพีบุปผาในครานี้กำลังเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำอยู่ที่หาดหินหวงเฮ้อ นางนั่งอยู่บนโต๊ะกำลังวาดภาพ พู่กันวาดรูปสาวงามลายเส้นขาวดำ โคจรเวทคาถาบนพู่กันไปด้วย เบื้องใต้พู่กันจึงมีควันสีเรืองรองลอยขึ้นมา พลางพูดถึงว่าวันนี้นางได้บังเอิญเจอกับหวงอีอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน อีกทั้งยังโชคดีได้พูดคุยกับเจ้าขุนเขาหวงสองสามประโยค ปราณวิญญาณในจวนที่นางอยู่พลันเกิดริ้วกระเพื่อมทันใด เห็นได้ชัดว่ามีคนทุ่มเงินเยอะมาก ดูจากท่าทางแล้วนอกจากเงินเกล็ดหิมะหนึ่งกองแล้ว ยังมีลูกค้าใจป้ำโยนเงินร้อนน้อยเข้ามาเหรียญหนึ่งด้วย เจียงซ่างเจินโบกพัดกลม หมายจะสลายควันประกายแสงเรืองรองที่ผุดลอยขึ้นมาในม้วนภาพวาดนั้นให้จางหายไป เพราะว่ายามที่พี่หญิงเทพธิดาค้อมเอววาดภาพ โดยเฉพาะยามที่นางวางแขนข้างหนึ่งพาดขวางไว้ตรงหน้า สองนิ้วคีบจับชายแขนเสื้อของมือที่ถือพู่กันนั้น ทัศนียภาพงดงามเป็นที่สุด

เจียงซ่างเจินดื่มชาหนึ่งคำ รู้สึกเลื่อมใสในตัวพี่หญิงเว่ยท่านนี้ยิ่งนัก นางถึงขั้นสามารถ ‘คุยเล่นสองสามคำ’ กับหวงอีอวิ๋นบุคคลอันดับสองแห่งวิถีวรยุทธในทวีปได้ ได้รับการปฏิบัติที่ไม่ค่อยต่างกับตนสักเท่าไรเลย

นางกล้าพูดเสียจริง ส่วนคนฟังก็มีคนกล้าเชื่อจริงๆ

ผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลมีชื่อว่าเว่ยฉงเซียน มาจากพรรคตระกูลเซียนทางทิศใต้แห่งหนึ่ง สำนักของนางมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับอวี้จือก่าง

นึกถึงอวี้จือก่างแห่นั้น เจียงซ่างเจินก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย บัญชีเลอะเลือนบัญชีหนึ่ง มีจุดจบเดียวกันกับพรรคเยวียนจวี้ที่มีผู้ฝึกตนหญิงมากมายดุจก้อนเมฆ หอชมน้ำหาดซีจู่ ตำหนักเร่าเหลยบนภูเขา นึกจะหายก็หายไปทั้งอย่างนั้น เกี่ยวกับเรื่องของการสร้างอวี้จือก่างและพรรคเยวียนจวี้ขึ้นมาใหม่ ให้ควันธูปของศาลบรรพจารย์สืบทอดต่อไปอีกครั้ง ผู้ฝึกตนบนทำเนียบได้กลับมาฝึกตนอีกครั้ง นอกจากบนภูเขาที่โต้เถียงกันไม่หยุดแล้ว ทุกวันนี้ฝ่ายในของสำนักศึกษาเองก็ยังทำสงครามกันบนพู่กันเช่นกัน

คงเป็นเพราะหวงอีอวิ๋นปรากฎตัวที่หาดหินหวงเฮ้อเป็นเรื่องที่แทบไม่เคยเกิดขึ้น หาได้ยากยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นมรสุมบนภูเขาที่ได้แต่พบเจอไม่อาจปรารถนามาครอบครอง เกือบจะทำให้หวงอีอวิ๋นออกหมัดได้ เป็นเหตุให้แต่ละมุมของจวนทะเลเมฆเปลือกหอยมีการเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเยอะมาก ทำเอาเจียงซ่างเจินได้แต่มองตาไม่กะพริบ สุดท้ายเขาเห็นเด็กสาวร่างอวบอ้วนคนหนึ่งสวมชุดคลุมอาคมบนภูเขาที่ทำขึ้นเพื่อผู้ฝึกตนหญิงจากเถาหลี่หยวน สีสันค่อนข้างฉูดฉาดสดใส แต่แท้จริงแล้วระดับขั้นกลับไม่สูง ถือเป็นกระโปรงที่ผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาไม่แน่เสมอไปว่าจะสวมใส่ได้ แต่กลับเป็นกระโปรงชั้นต้นที่เทพธิดาซึ่งเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำจะสวมกัน นางอยู่เพียงลำพังโดดเดี่ยว พักอยู่ในจวนที่ใช้เงินเทพเซียนน้อยที่สุด พอเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของหาดหินหวงเฮ้อก็พูดพึมพำอยู่คนเดียวตลอด คำพูดติดๆ ขัดๆ มักจะหยุดพูดเพื่อครุ่นคิดหาถ้อยคำอยู่บ่อยๆ เงียบไปนานกว่าจะเอ่ยประโยคที่นางคิดว่าน่าสนใจออกมาได้ เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะไม่มีคนดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำนี้ เด็กสาวที่ออกจะอ้วนท้วนเล็กน้อยยืนหยัดอยู่ประมาณสองก้านธูป หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาแล้ว ท่าทางตื่นเต้นอย่างยิ่ง เป็นเพราะตัวเองทำให้ตัวเองตกใจไปเอง สุดท้ายก็ยอบกายคารวะอย่างเกินความจำเป็นหนึ่งทีแล้วรีบปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่หาดหินหวงเฮ้อลง

นางนั่งแปะลงบนม้านั่งหินในลานเรือนขนาดเล็ก สองมือถูกัน แอบเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่บนฝ่ามือ จากนั้นยกมือขึ้นถูหน้าผาก หยิบกระดาษแผ่นเล็กปึกหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ ด้านบนเขียนวลีบทกลอนที่คัดลอกเอาไว้เต็มไปหมด ทำการ ‘ทบทวนกระดาน’ อยู่กับตัวเอง แม่นางน้อยที่เปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ บางครั้งก็เกาแก้ม บางครั้งก็หงุดหงิด บางครั้งก็เขินอาย สุดท้ายเก็บกระดาษแผ่นเล็กลง ชูกำปั้นขึ้นให้กำลังใจตัวเอง สุดท้ายแม่นางน้อยที่ยังคงทดท้ออยู่บ้างก็เอาใบหน้าอ้วนกลมแนบติดกับโต๊ะหิน ขมวดคิ้วน้อยๆ ถอนหายใจเบาๆ คงรู้สึกว่าตัวเองอัปลักษณ์อย่างมาก หาเงินก็ยากมากๆ เหมือนกันกระมัง

แม่นางน้อยน่ารักใสซื่อหยิบเอาวัตถุตระกูลเซียนหลายชิ้นที่ใช้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของคนอื่นออกมา กัดฟันหนึ่งที เลือกต้นปะการังขนาดจิ๋วต้นหนึ่งในนั้นออกมา แสงสีแดงไหลรินวิบวับ แสดงให้รู้ว่าบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำกำลังเปิดทำการ นางเม้มปาก หยิบเอาเงินเกล็ดหิมะออกมาเหรียญหนึ่งอย่างระมัดระวัง หลอมมันให้กลายเป็นปราณวิญญาณบริสุทธิ์ประหนึ่งรดน้ำลงบนต้นปะการัง ภาพขุนเขาสายน้ำก็ค่อยๆ คลี่ออกมา ก็คือภาพของเทพธิดาที่วาดภาพซึ่งเป็นเพื่อนบ้านในจวนเปลือกหอยกับนางชั่วคราวคนนั้น แม่นางน้อยสูดลมหายใจเข้าลึก นั่งตัวตรงอย่างสำรวม ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดมองดูทุกการกระทำทุกคำพูด ทุกเสียงหัวเราะทุกรอยยิ้มของพี่สาวเทพธิดาคนนั้นอย่างละเอียดตาไม่กะพริบ

อุตส่าห์จ่ายเงินตั้งหนึ่งเหรียญเกล็ดหิมะเชียวนะ หาเงินไม่ง่ายแต่จ่ายเงินกลับเหมือนน้ำไหล นางจะไม่ตั้งใจได้หรือ?

แต่แม่นางน้อยยิ่งมองก็ยิ่งเสียใจ เพราะมักรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ตนคงเรียนรู้เอาอย่างอีกฝ่ายไม่ได้

เจียงซ่างเจินเก็บชาน้ำกา มือข้างหนึ่งเท้าคาง โบกพัดกลมเบาๆ จ้องมองแม่นางน้อยคนนี้อยู่ไกลๆ ดวงตาหงส์ของอดีตเจ้าสำนักกุยหยกหรี่ลง รอยยิ้มอ่อนโยน

ผู้เฒ่าคนพายเรือหนีหยวนจานปรากฏตัวอยู่นอกประตูจวน ประตูใหญ่ไม่ได้ปิดไว้ เขาก้าวหนึ่งก้าวเข้ามาด้านใน ก้าวอีกก้าวก็มาโผล่อยู่ข้างกายเจียงซ่างเจิน ยิ้มเอ่ย “เจ้าสำนักยังคงผ่อนคลายสบายอารมณ์เหมือนในอดีตเลยนะ”

เจียงซ่างเจินยกกาจิบชา จากนั้นเอ่ยสัพยอกว่า “ทำไมถึงต้องไปหาเรื่องสหายรักของข้าด้วย เหล่าโซ่วซิง (เป็นคำเรียกผู้สูงอายุด้วยความเคารพ หรืออวยพรให้คนแก่อายุยืน) อยากรู้รสชาติของสารหนูว่าเป็นอย่างไร รังเกียจที่มีอายุยืนยาวแล้ว? หรือรู้สึกว่าเคยพิฆาตยุงเหนือน่านน้ำ เวทกระบี่ก็ไร้เทียมทานแล้ว? ตอนนี้ดีนัก ไม้พายก็ไม่มีแล้ว วันหน้าจะยังทำท่าถ่อเรือได้อย่างไร”

หนีหยวนจานเอ่ย “ปีนั้นพวกเราสองฝ่ายตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่า ข้าจะเป็นแค่เค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของหาดหินหวงเฮ้อพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเท่านั้น รอคอยให้คนมีโชควาสนามารับเอาโอสถทองบรรพกาลเม็ดนั้นไป นอกจากนี้จะทำอะไร จะอยู่หรือจะไป ล้วนไร้พันธนาการ”

เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ อาศัยคางคกทองสามขาที่นั่งอยู่บนไหล่ของเจ้า ช่วยให้พื้นที่มงคลของข้ารวบรวมโชคลาภมาได้ไม่น้อย ต้องขอบคุณเจ้า แต่เจ้ายุแยงให้ข้าพาลู่ฝ่างไปที่พื้นที่มงคลดอกบัว บอกว่ามีหวังว่าจะช่วยเขาคลายปมในใจได้ แท้จริงแล้วกลับมีแผนการอย่างลับๆ ไม่พูดถึงความตั้งใจเดิม พูดถึงแค่ผลลัพธ์ก็ทำร้ายให้ข้ากับสหายรักต้องอยู่กันคนละใต้หล้าแล้ว บุญคุณความแค้นต้องแยกให้ชัดเจน ถือว่าพวกเราหายกันพอดี”

ก่อนหน้าหนีหยวนจานประหนึ่งเซียนเหรินที่ละสังขาร ทิ้งคราบร่างชุดคลุมตัวหนึ่งเอาไว้บนเรือ ชำเลืองตามองผิวน้ำและท่าเรือที่ไม่มีเรือข้ามฟากอีกแล้ว ก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ร่างกายและจิตใจอยู่ในกรงขังมานาน ตอนนี้กลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่ากลับกลายเป็นว่าไม่คุ้นชินเสียแล้ว”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ทุกวันนี้สถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้าไพศาลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังจากเจ้ายื่นส่งโอสถทองที่ร้อนลวกมือเม็ดนั้นออกไปก็ไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยหรือ? ยกตัวอย่างเช่นไปพบสุยโย่วเปียนสักครั้ง?”

คนที่ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว แน่นอนว่าไม่มีแค่ ‘สี่คนในภาพวาด’ ที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันเท่านั้น

ในฐานะผู้ฝึกตนจำนวนน้อยนิดที่มีลำดับอาวุโสสูงที่สุดของใต้หล้า แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังเป็นขอบเขตสิบสี่ที่สูงส่งจนมิอาจเอื้อมคนหนึ่ง เจ้าอารามผู้เฒ่าจึงสามารถใช้พื้นที่มลคงถามมรรคาต่อถ้ำสวรรค์ ประลองฝีมือกับมรรคาจารย์เต๋า อีกทั้งมรรคกถาก็ยังสูงอย่างมาก

หนีหยวนจานถาม “เจ้าไม่อยากรู้เลยหรือว่าข้าจะมอบโอสถทองเม็ดนั้นให้ใคร?”

เจียงซ่างเจินคลี่ยิ้มเป็นการตอบรับ เก็บกาน้ำชาที่มีลักษณะเหมือนดวงเดือนครึ่งเสี้ยวนั้นมา อย่าได้เห็นว่ามันไม่สะดุดตา หากปีนั้นสามารถใช้ใบหลิวสังหารเซอเยว่ได้จริง ตอนนี้ดวงจันทร์ที่ลอยสูงอยู่บนนภาของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาก็จะเป็นดวงจันทร์ที่บริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาสิบถ้ำสวรรค์ใหญ่ สามสิบหกถ้ำสวรรค์เล็กและเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคลแล้ว ส่วนตอนนี้ เจียงซ่างเจินบอกตามตรง หากไม่เป็นเพราะอยากได้ตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว เขาก็ไม่ยินดีจะไปเยือนต้าหลีจริงๆ เพราะทุกวันนี้เซอเยว่อยู่ในเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิดของเฉินผิงอัน อาศัยคุณความชอบทางการสู้รบที่ใหญ่หลวง ไม่เพียงแต่ได้รับการยอมรับจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง คิดจะก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็มากพอเหลือแหล่

ในเมื่อหนีหยวนจานพูดถึงขนาดนี้แล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือ ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมมอบโอสถทองที่เก็บรักษาอยู่ในหาดหินหวงเฮ้อเป็นอย่างดีให้กับชุยตงซาน ก็หมายความว่าสุยโย่วเปียนลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของหนีหยวนจานในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ใช่คนที่มีวาสนาอะไรจริงๆ

เจียงซ่างเจินโบกพัดกลมเบาๆ “ก็แค่ว่าอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งจะเป็นบุปผาที่หล่นลงในบ้านใครเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นทำให้ข้าผู้แซ่เจียงสงสัยใคร่รู้ได้หรอก”

ผู้ที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จ คือคนรุ่นเดียวกับข้า

แต่เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองเหมือนกัน ระดับขั้นของโอสถทองเม็ดหนึ่งกลับมีความต่างราวก้อนเมฆกับดินโคลน ก็เหมือนกับสตรีที่งดงามน่ามองของหนึ่งทวีปมีมากมายเป็นพันหมื่น ทว่าสตรีที่สามารถได้รับการประเมินให้ขึ้นไปอยู่บนภูเขาเทพีบุปผาในภาพแยนจือได้กลับมีแค่สามสิบหกคนเท่านั้น

หนีหยวนจานเป็นฝ่ายเปิดเผยความลับเสียเอง “สร้างต้นหญ้าเป็นหอเรือน ดูดวงดาวมองลมปราณ แผ่นดินโบราณศาลาเจาถิง หลุมลึกเงียบสงบพันปี”

อารามจินติ่งแห่งทิศเหนือ ระบบสายเต๋ามาจากสายของโหลวกวน (หอเรือน อาคารสูง สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่เหมือนตำหนักพระราชวัง) ขุนเขาสูงชันสายน้ำงดงาม จงหนันคือสถานที่ที่งดงามที่สุด จงหนันพันยอดเขาก็มีโหลวกวนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ห้าขุนเขาในยุคลบรรพกาล จงหนัน (ทางทิศใต้สุด) คือหนึ่งในนั้น อีกทั้งยังหาเจอได้ยากที่สุด อยู่ในลำดับเดียวกับไท่ซานภูเขาบรรพบุรุษของสำนักว่านเหยาในพื้นที่มงคลสามภูเขา ส่วนแผ่นดินโบราณศาลาเจาถิงก็มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องลึกล้ำกับภูเขาจงหนันซาน แซ่เส้าก็ยิ่งเป็นแซ่โบราณที่มีน้อยจนนับนิ้วได้เหมือนกับแซ่เจียงของเจียงซ่างเจินและแซ่เจียงของสกุลเจียงอวิ๋นหลินแห่งแจกันสมบัติทวีป

เจียงซ่างเจินจุ๊ปากพูดอย่างประหลาดใจ “โชคของเจ้าอารามผู้เฒ่าตู้แห่งอารามจินติ่งไม่เลวเลยนี่นา ในบรรดาศิษย์หลานมีคนชื่อเส้ายวนหราน ก่อนหน้านี้ข้าก็รู้สึกแล้วว่าโชคชะตาของเจ้าเด็กนี่แปลกทุกเรื่อง ดีก็ดีจนไม่สะดุดตา นี่เมื่อเทียบกับวีรุบุษผู้กล้าอายุน้อยแล้วยังหาได้ยากมากยิ่งกว่า ไม่เพียงแต่ได้เจอกับอาจารย์ที่ดีที่ยินดีอบรมปลูกฝังตัวเอง อีกทั้งยังมาผูกติดกับสายเต๋าลึกลับสายนี้ของอารามจินติ่งอีกด้วย สุดท้ายยังสามารถไปผูกสัมพันธ์กับชะตาแคว้นของราชวงศ์ต้าเฉวียนที่แม้รังจะพลิกคว่ำแต่กลับรักษาไข่นกทั้งหมดเอาไว้ได้ แต่ละเรื่องแต่ละราว ผลประโยชน์น้อยใหญ่ได้ไปไม่น้อย อีกทั้งทุกวันนี้ก็แค่นั่งอยู่ในบ้านของตน รอให้พี่ใหญ่หนีเป็นฝ่ายเอาโชควาสนาไปมอบให้ โชควาสนาตระกูลเซียนลี้ลับเกินจะเอ่ยจริงๆ ขนาดข้าผู้แซ่เจียงก็ยังน้ำลายสอ เพียงแต่สำหรับเจ้าเด็กเส้ายวนหรานผู้นั้นแล้วเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้า แต่กับพี่ใหญ่หนีกลับไม่แน่เสมอไป น้ำขุ่นบ่อนี้ ไม่อาจตัดสินใจได้เอง ต้องกลับเข้ามาอยู่ในกรงขังอีกครั้ง”

หนีหยวนจานเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้ามีความทรงจำที่ไม่ดีต่ออารามจินติ่ง ข้าเองก็ไม่ขออะไรมาก ขอแค่ให้เส้ายวนหรานสามารถฝึกตนได้อย่างราบรื่นไปอีกสักร้อยปีสองร้อยปี ต่อจากนั้นรอให้เขาเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนแล้ว จะเป็นโชคหรือเป็นเคราะห์ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของเขาเองแล้ว”

“ไม่รับประกัน”

เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “คืนนี้พี่ใหญ่หนีทิ้งไม้พายและชุดคลุมเอาไว้ ของขวัญพบหน้าไม่ได้มอบให้อย่างเสียเปล่าจริงๆ มองออกถึงเส้นสายความพัวพันระหว่างพี่น้องเฉาโม่ของข้ากับอารามจินติ่งมาตั้งนานแล้ว ยอดฝีมือที่หลบเร้นอำพรางกายอย่างพวกเจ้านี้ ทำอะไรมักจะชอบทิ้งเบาะแสเอาไว้เสมอ ทำให้คนรำคาญนัก ผู้ฝึกตนคนหนึ่งนั่งโดยสารเรือเลียบแม่น้ำแห่งกาลเวลา วันเวลายาวนาน ล่องน้ำลงเบื้องล่าง เดิมทีก็ดีอยู่แล้ว ทุกคนเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ผลกลับกลายเป็นว่าดันคอยปรากฏตัวอยู่ที่ท่าเรือของแม่น้ำตอนล่างเป็นระยะ พอมองเห็นเงาร่างของคนคนเดิม ครั้งสองครั้งก็ยังพอทนได้ ผลกลับกลายเป็นสามสี่ครั้งแล้วยังไม่จบไม่สิ้น อย่าว่าแต่เฉาโม่เลย ต่อให้เป็นข้าที่นิสัยดีๆ ก็ยังรู้สึกว่าไร้เหตุผลสิ้นดี”

——