หนีหยวนจานสีหน้าเคร่งขรึมทันใด เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ฟังจากความหมายของเจ้าประมุข คือคิดจะขัดขวางไม่ให้ข้าส่งมอบโอสถทองเม็ดนั้นออกไปรึ?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “ขอแค่เส้ายวนหรานกล้ามาที่หาดหินหวงเฮ้อ ข้าก็จะให้เขาตายต่อหน้าเจ้า หากเจ้ากล้านำโอสถทองไปมอบให้ที่ราชวงศ์ต้าเฉวียน ข้าก็จะให้เขามีชีวิตรับโอสถทองไปชดเชยปณิธานบนมรรคาทั้งหมด เลื่อนขั้นสู่ระดับของโอสถในตำนานได้สำเร็จ แต่กลับไม่มีชีวิตที่จะฝ่าทะลุขอบเขตก่อกำเนิด”
หนีหยวนจานหัวเราะหยัน “เจ้าคิดว่าตงไห่เจ้าอารามกวานเต๋าไม่อยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้ว ก็จะสามารถประชันมรรคกถาสูงต่ำกับเจ้าอารามผู้เฒ่าได้แล้วอย่างนั้นรึ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มบ้างๆ “มีใต้หล้าแห่งหนึ่งกั้นขวาง ข้าผู้แซ่เจียงจะต้องกลัวอะไร?”
หนีหยวนจานเอ่ยด้วยประโยคที่แฝงความหมายลึกล้ำ “อ้อ? สหายโจวแห่งตำหนักคลื่นวสันต์องอาจผึ่งผายเหมือนในอดีตเลยนะ”
เจียงซ่างเจินกะพริบตาปริบๆ เอนตัวพิงราวรั้ว ทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง พัดกลมบดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง “หรือว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าจะมาเยือนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาด้วยตัวเองเสียแล้ว?”
หนีหยวนจานหัวเราะเสียงเย็นชา
ใบหลิ่วครึ่งใบพุ่งวาบเปล่งหาย แสงกระบี่เฉียบคมเสี้ยวหนึ่งทะลุจากหว่างคิ้วของคนพายเรือเฒ่าพุ่งออกไปจากหัวกะโหลก
หนีหยวนจานยื่นนิ้วข้างหนึ่งมากดหว่างคิ้วเอาไว้ มือหนึ่งจับประคองราวรั้ว เอ่ยอย่างเดือดดาล “เจียงซ่างเจินเจ้าช่างใจกล้านัก!”
เจียงซ่างเจินหัวเราะเสียงดังลั่น “เรื่องของการหลอกผีหลอกเจ้านี้ พี่ใหญ่หนียังอ่อนหัดเกินไปนัก หากเจ้าอารามผู้เฒ่าทิ้งดวงจิตเสี้ยวหนึ่งไว้ในใต้หล้าไพศาลจริง จะเอามาสิ้นเปลืองกับข้าผู้แซ่เจียงที่จิตใจเมตตาอารีต่อผู้อื่น ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ล้วนมีเหตุผลได้อย่างไร?”
หนีหยวนจานถอนหายใจยาวเหยียด เอ่ยด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ข้าจะอยู่ที่หาดหินหวงเฮ้อช่วยเปิดโชคชะตาเรื่องทรัพย์สินเงินทองในพื้นที่มงคลให้เจ้าต่อก็ได้ เรื่องที่ว่าโอสถทองจะตกเป็นของใคร วันหน้าเจ้าและข้าค่อยมาปรึกษากันอีกที”
เจียงซ่างเจินเอ่ยปลอบใจ “พี่ใหญ่หนีก็คือวิญญูชนผู้เที่ยงตรง ถูกข้าวางแผนเล่นงานเช่นนี้กลับยิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความองอาจของเจ้าได้ ไยต้องเสียใจด้วยเล่า ควรจะดีใจถึงจะถูก พื้นที่มงคลถ้ำเมฆามีอะไรไม่ดีกัน หนึ่งประตูกางกั้นก็แตกต่างราวฟ้ากับเหว ไปอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลด้านนอกนั่น คนที่ฉลาดเฉลียวต่ำช้ายิ่งกว่าเจียงซ่างเจินมีถมเถไป พบเห็นได้ง่ายๆ ข้างทางเลยด้วยซ้ำ หากไม่ใช่หันอวี้ซู่ก็เป็นหันตู้หลิง ไม่อย่างนั้นก็เป็นพวกคนอย่างหลูอิง แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือด้านการวางแผนปัดแข้งปัดขาผู้อื่น พี่ใหญ่หนีสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ ง่ายที่จะต้องเสียเปรียบ ถึงอย่างไรก็ไม่สู้เป็นชาวประมงอยู่บนท้องน้ำ ล่องลำน้ำท่องบทกวี พายเรืออยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ ทั้งโลกขุ่นมัวเจ้ากลับยังใสกระจ่างอยู่เพียงผู้เดียว”
เจียงซ่างเจินพยักหน้าอย่างแรง “แบบนี้แหละถูกแล้ว พึ่งพาคนอื่นก็ต้องมีความตระหนักรู้ในการพึ่งพาคนอื่น ใช่แล้ว คืนนี้มีเรื่องราวใหม่ๆ และคนใหม่ๆ มากมายยิ่งนัก ทำให้ข้าหวนนึกถึงเรื่องเก่าๆ ในอดีตขึ้นมาอีก จึงเกิดแรงบันดาลใจในการแต่งกวีอย่างที่หาได้ยาก เพียงแต่ว่าเค้นสมองครุ่นคิดอยู่นานกลับยังคิดได้แค่สองประโยค รบกวนพี่หนีช่วยเสริมสักหน่อยได้ไหม?”
หนีหยวนจานหัวเราะเสียงหยัน “ข้าว่าอย่าดีกว่า ความสามารถของเจ้าสำนักเจียงสูงส่ง ข้าที่หางเตียวไม่พอหรือจะกล้าเอาหางหมามาใส่แทน (เปรียบเปรยว่าของที่ไม่ดีมาเสริมเติมของดีที่มีอยู่ก่อนแล้ว สองส่วนก่อนหลังย่อมเห็นความต่างอย่างชัดเจน) มีหรือจะกล้าทำตัวให้เป็นที่ขบขัน”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “หากข้าเดาไม่ผิด หนีหยวนจานเจ้าเองก็มีความเห็นแก่ตัวที่เก็บซ่อนไว้ ไม่มอบโอสถทองให้กับสุยโย่วเปียน แต่กลับกักกระบี่ดีเล่มหนึ่งของอารามกวานเต๋าไว้ให้ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตนี้อย่างสุยโย่วเปียน ข้าก็บอกแล้วอย่างไรล่ะ ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีอาจารย์ที่ไม่คิดพิจารณาเพื่อมหามรรคาของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตัวเองบ้างเลย เจ้าต้องรู้นะว่า ปีนั้นข้าไปเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว การที่ยอมสิ้นเปลืองเวลาหกสิบปีอยู่ในนั้น ก็เพื่ออยากให้ลู่ฝ่างเลื่อนเป็นหนึ่งในสิบคนของรอบหกสิบปี เพื่อที่จะได้รับอาวุธเหมาะมือชิ้นหนึ่งมาจากเจ้าอารามผู้เฒ่า”
เจียงซ่างเจินหลุบตาลงมองน้ำในแม่น้ำท่ามกลางค่ำคืนที่แสงจันทร์สาดส่องแล้วพูดพึมพำกับตัวเองว่า “วันนี้ข้าอยากจะขอยืมกระบี่จากท่านมาก่อน ให้แสงสว่างเปล่งจ้าท่ามกลางฟ้าดินที่มืดมิด”
หนีหยวนจานขมวดคิ้วส่ายหน้า “ไม่มีกระบี่นี้ ข้าไม่ได้โกหก”
เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองผู้เฒ่าคนพายเรือ เอ่ยว่า “เจ้าคนนี้ก็คือกระบี่”
หนีหยวนจานเอ่ยอย่างเดือดดาล “ด่ากันรึ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “อาจารย์หนีไม่ต้องแสร้งทำเป็นเสียกิริยา วางตัวอ่อนข้อให้ข้าทุกเรื่องเช่นนี้ ข้าเคยอ่านตำราประวัติศาสตร์และบันทึกลับของพื้นที่มงคลดอกบัวมาก่อน อาจารย์หนีเชี่ยวชาญความรู้ของสามลัทธิ แม้จะถูกจำกัดอยู่ที่ระดับขั้นของพื้นที่มงคลในเวลานั้น ไม่อาจเดินขึ้นเขาฝึกตน เป็นเหตุให้การบินทะยานล้มเหลว แต่อันที่จริงกลับมีเค้าโครงของจิตแห่งมรรคาที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าเชิญออกมาจากพื้นที่มงคล หากจะบอกว่าติงอิงถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าใช้จูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธเป็นรูปแบบตั้งต้นเพื่ออบรมปลูกฝังอย่างตั้งใจ ถ้าอย่างนั้นอวี๋เจินอี้แห่งพรรคหูซานก็น่าจะควรเรียกอาจารย์หนีไกลๆ ผ่านกาลเวลาหลายร้อยปีว่าอาจารย์สักคำแล้ว”
หนีหยวนจานเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ยังคงสง่างามดุจในอดีต”
เจียงซ่างเจินรู้ว่าพูดคุยกับหนีหยวนจานไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา จึงชมขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือต่ออีกครั้ง มองดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของเว่ยฉงเซียน ใช้เวทคาถาของเซียนเหรินโยนเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญเข้าไปในจวนเปลือกหอยแห่งนั้นโดยไม่เปิดเผยร่องรอย ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าก็คือเจียงซ่างเจินแห่งหลงโจว”
เว่ยฉงเซียนยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว เพียงแค่วาดภาพต่อไป เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญยังไม่ถึงขั้นทำให้เทพธิดาคนหนึ่งที่มีหวังว่าจะเลื่อนอยู่ติดอันดับภาพแยนจือตกอกตกใจได้
ผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำต่างก็ได้ยินประโยคเจียงซ่างเจินนี้ เพียงไม่นานก็มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งทุ่มเงินไปเช่นกัน หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เจียงซ่างเจินแห่งภูเขาชื่ออีอยู่นี่แล้ว”
แล้วก็มีคนทุ่มเงินตามไปอีก “เจียงซ่างเจินแห่งโผหยางอยู่ที่นี่! เจียงซ่างเจินตัวปลอมอย่างพวกเจ้าจงรีบไสหัวออกไปจากบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของเทพธิดาเว่ยซะ!”
บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของบนภูเขาใบถงทวีปทุกวันนี้ คนที่ใช้ชื่อว่า ‘เจียงซ่างเจิน’ นำหน้าสถานที่มีมากมาย
……
ยามเช้าตรู่ บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กใต้ชายคา เฉินผิงอันหลับตาทำสมาธิ สองมือวางทับซ้อนกัน ฝ่ามือหงายขึ้นด้านบน เพียงแค่ปล่อยดวงจิตดวงหนึ่งจมจ่อมลงไปในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ อยู่ดีๆ ก็นึกถึงบทบรรยายท่อนหนึ่งเกี่ยวกับการไปเยี่ยมเยือนเซียน ฝึกตนประสบความสำเร็จในบทประพันธ์ของปัญญาชนเล่มหนึ่งขึ้นมา เป็นบทที่เขียนขึ้นโดยจินตนาการของบัณฑิตล้วนๆ โอสถทองใสกระจ่าง ห้าสีสันส่องประกาย น้ำเมฆาสาดลงหกอวัยวะ น้ำค้างหวานพร่างพรมร้อยกระดูกให้ชุ่มฉ่ำ แต่ความรู้สึกตัวเบาเหมือนนกนางแอ่นจิกใบไม้ที่ร่วงหล่น เรือนกายเหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก จิตวิญญาณประหนึ่งวิหคโผผินบินไประหว่างฟ้าและดิน เสียงต้นสนพัดเสียงคลื่นต้นไผ่ดังไม่ขาดสาย ขยับตัวบินทะยานเบาๆ ก็ราวกับจะสัมผัสถึงแสงตะวันเผาไหม้ พลันหวนคืนสติ เท้าเหยียบลงบนพื้นถึงได้รู้ว่าบนภูเขามีเทพเซียนจริงๆ บนโลกมนุษย์มีเวทคาถาจริงๆ
ตอนที่อยู่ภูเขาไท่ผิง หมัดขอบเขตสิบเอ็ดนั้นคล้ายจะบรรยายถึงวิชาหมัดไร้ตัวอักษรบทหนึ่ง วิชาหมัดแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งอยู่บนคราบร่างเซียนเหรินของหันอวี้ซู่ อีกส่วนหนึ่งฝังเลื่อมอยู่ในขุนเขาสายน้ำร่างกายของเฉินผิงอัน
ก่อนหน้านี้ที่งีบหลับอยู่ในกระท่อมทะเลไผ่ อันที่จริงเฉินผิงอันตั้งใจศึกษาวิชาหมัด กระบวนท่า พลังอำนาจ พลังจิตอยู่ตลอดเวลาเป็นลำดับขั้นตอน จากสัจธรรมหมัดไปจนถึงวิชาหมัด ไม่มีสิ่งใดเล็ดรอดผ่านไปได้ ได้รับประโยชน์มหาศาล
ขอบเขตสิบบนวิถีวรยุทธไม่เสียแรงที่เป็นขอบเขตปลายทาง หอเรือนสามชั้นสำคัญอย่างปราณโชติช่วง คืนความจริงและเทพมาเยือน ห่างกันเพียงชั้นเดียว ความต่างก็เหมือนความต่างของหนึ่งขอบเขตก่อนหน้านี้
ดังนั้นครึ่งหมัดของขอบเขตสิบเอ็ดก็สามารถทำให้เฉินผิงอันที่เป็นขอบเขตสิบปราณโชติช่วงมีเพียงเรี่ยวแรงให้ตั้งกระบวนท่ารับ แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงเหลือให้เอาคืนแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันเก็บดวงจิตนั้นมา ความรู้สึกคล้ายออกเดินทางไกลแล้วได้กลับคืนบ้านเกิดอีกครั้ง เขาค่อยๆ ถอยออกมาจากขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ของเส้นสายชีพจรในร่างกายมนุษย์ ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ตื่นแล้วหรือ?”
ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง ตายังงัวเงีย ยกมือขยี้ตา รู้สึกมึนงงเล็กน้อย ก่อนจะยืดแขนบิดขี้เกียจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ยังหลับอยู่หรือ? ทำไมถึงได้เหมือนเด็กเล็กๆ เลยล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ยเสียงเบา “เส้นเอ็นหัวใจของนางขึงตึงมานานเกินไป ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือข้ามแม่น้ำได้หลับสนิทไปครั้งหนึ่ง แต่เวลายังสั้นเกินไป อยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก”
ชุยตงซานนอนตะแคงข้าง “อาจารย์ ครั้งนี้ระหว่างทางที่กลับบ้านเกิดอย่างแจกันสมบัติทวีป และยังมีในอนาคตที่จะเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างอยู่ในใบถงทวีป เรื่องที่วุ่นวายใจต้องมีไม่น้อยแน่”
“ข้ามีเหตุผลก็พอแล้ว”
เฉินผิงอันยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นแล้ววางลงพื้นอย่างเงียบเชียบ เอ่ยเนิบช้าว่า “วิถีทางโลกก็คงยังเป็นวิถีทางโลกอยู่เช่นนั้น ใช้เหตุผลง่ายที่จะทำให้คนรำคาญใจ เรียนหมัดเรียนกระบี่เพื่ออะไร แน่นอนว่าเพื่อทำให้คนมีความอดทนมากขึ้น เปลี่ยนจากไม่ยินดีจะฟังแม้แต่คำเดียวมาเป็นอดทนยอมฟังหลายประโยค เปลี่ยนจากเดิมทีที่แค่ยินดีรับฟังคำบ่นไม่กี่ประโยคมาเป็นยินดีรับฟังทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ”
ชุยตงซานทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ความใกล้ชิดและห่างเหินมีความต่าง เป็นความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์ ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ ข้าจะกะน้ำหนักให้ดี”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เริ่มเดินนิ่งหกก้าว ออกหมัดเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด ทำเอาชุยตงซานที่มองดูอยู่รู้สึกง่วงขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ได้กังวลเรื่องนี้”
ชุยตงซานส่ายหน้า ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย “เจ้าตะพาบเฒ่าเสียสติกักบริเวณข้าอยู่ในศาลลำน้ำใหญ่นานหลายปี ข้าสิ้นเปลืองความคิดจิตใจแทบตายก็ยังหนีออกมาไม่ได้ กระทั่งเมื่อปลายปี ข้าถึงได้รับคำสั่งหนึ่งมาจากหลินโส่วอีที่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าศาล อนุญาตให้ข้าออกมาจากศาลได้ รอกระทั่งข้าปรากฎตัวถึงได้ค้นพบว่าเจ้าตะพาบเฒ่าอำมหิตชั่วร้ายจนเลอะเลือน แม้แต่ข้าก็ยังถูกหลอกไปด้วย ดังนั้นอันที่จริงทุกวันนี้นอกจากขอบเขตแล้ว ข้าก็ไม่เหลืออะไรสักอย่าง ดูเหมือนว่าที่ราชสำนักต้าหลีจะไม่มีบุคคลที่ชื่อชุยตงซานปรากฎตัวมาก่อน ข้าสูญเสียสถานะทั้งในและนอกทั้งหมดของราชวงศ์ต้าหลีไป เจ้าตะพาบเฒ่าจงใจให้ข้าเปลี่ยนจากคนในสถานการณ์ของหนึ่งทวีป มาเป็นคนนอกสถานการณ์อย่างสิ้นเชิงในช่วงเวลาสุดท้ายของสถานการณ์ใหญ่ แล้วก็เปลี่ยนจากคนนอกสถานการณ์ของภูเขาลั่วพั่วครึ่งตัวมาเป็นคนในสถานการณ์ที่จริงแท้แน่นอน อาจารย์ ท่านว่าเจ้าหมอนี่สมองมีปัญหาหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เพราะว่าหวังดีต่อเจ้า แล้วก็หวังดีต่อภูเขาลั่วพั่ว ไม่อย่างนั้นมองดูเหมือนทุกเรื่องล้วนช่วงชิงโอกาสได้เปรียบไปทั้งหมด แต่แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นว่าพัวพันกับต้าหลีจนแยกแยะไม่ชัด กลับกลายเป็นว่าจะทำอะไรไม่สะดวก ถึงเวลานั้นข้าจะใช้เหตุผลกับต้าหลี ต้าหลีจะพูดถึงความสัมพันธ์ควันธูปกับข้า ข้ากับเรื่องถูกผิดกับต้าหลี ต้าหลีพูดเรื่องสถานการณ์ใหญ่กับข้า นั่นต่างหากถึงจะเป็นปัญหา”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างจนใจ “เหตุผลนั้นข้าเข้าใจ ก่อนที่ข้าจะมาพบอาจารย์ ข้าเองก็ปลอบใจตัวเองเช่นนี้เหมือนกัน แต่พออาจารย์พูดถึงหวังอวี้ซู่ของสำนักว่านเหยานั่น ข้าก็เริ่มอกสั่นขวัญผวาขึ้นมาอีก สามารถทำให้เซียนเหรินคนหนึ่งยอมสละกิจการรากฐานของบรรพบุรุษทิ้งอย่างไม่สนใจใยดี แต่ก็ต้องตัดสินเป็นตายกับอาจารย์ให้ได้ ใช้สิ่งนี้แลกมาด้วยคุณความชอบ นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่าเบื้องหลังหวังอวี้ซู่ อย่างน้อยที่สุดต้องมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานสองคนยืนอยู่ กลัวก็แต่ว่าแม้แต่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางยังจับจุดอ่อนพวกเขาเอาไว้ไม่ได้ ข้ามั่นใจได้เลยว่าเมื่อช่วงเวลาหลายปีก่อน เห็นได้ชัดว่าเจ้าตะพาบเฒ่าสัมผัสถึงเรื่องนี้ได้แล้ว แต่กลับจงใจไม่บอกกับข้าแม้แต่ครึ่งคำ”
“ไม่เป็นไร บัญชีเก่าเรื่องนี้มีเรื่องให้ต้องคิดคำนวณกันอยู่แล้ว ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป พวกเราค่อยๆ สาวรังไหมกันไปทีละนิด ไม่ต้องรีบร้อน คิดจะเขย่าคลอนสิ่งใหญ่ทำลายสิ่งแข็งแกร่ง ต้องค่อยๆ วางแผนกันไป ถือเสียว่าเป็นการไขปริศนาที่เปี่ยมไปด้วยอันตรายครั้งหนึ่งก็แล้วกัน การที่ข้าจงใจปล่อยนครลมเย็นและภูเขาตะวันเที่ยงไว้ไม่ไปแตะต้องพวกมันก็เพราะกังวลว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเร็วเกินไป ไม่อย่างนั้นก่อนจะออกเดินทางไกลครั้งสุดท้าย หากอิงตามรากฐานสมบัติของภูเขาลั่วพั่วในเวลานั้น อันที่จริงข้าก็เชื่อมั่นว่าสามารถงัดข้อกับนครลมเย็นได้แล้ว”
เฉินผิงอันหยุดการเดินนิ่งครึ่งทางตามใจปรารถนา กลับไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก หงายฝ่ามือขึ้น ท้องนิ้วของนิ้วมือทั้งห้าตีกันเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นับตั้งแต่เครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตของหลิวเสี้ยนหยาง จนถึงผู้บงการเบื้องหลังที่แท้จริงของภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็น กระทั่งมาถึงการพบเจอกันบนทางแคบกับหันอวี้ซู่ครั้งนี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าต้องเพิ่มศึกสิบสามของกำแพงเมืองปราณกระบี่เข้าไปด้วย จะต้องเป็นบุญคุณความแค้นน้อยใหญ่ที่ต้องแบ่งแยกออกมาจากเส้นสายเส้นใดเส้นสายหนึ่ง ต้นกำเนิดเหมือนกันแต่แค่แยกสาขาออกไปเท่านั้น ช่วงที่เพิ่งเริ่มต้นพวกเขาต้องไม่ได้คิดจงใจเล่นงานข้าแน่นอน เด็กกำพร้าคนหนึ่งของตรอกหนีผิงถ้ำสวรรค์หลีจูยังไม่ถึงขั้นทำให้พวกเขาให้ความสำคัญขนาดนี้ แต่รอกระทั่งข้าได้เป็นอิ่นกวาน อีกทั้งยังมีชีวิตกลับคืนมายังใต้หล้าไพศาล พวกเขาจะไม่สนใจก็คงไม่ได้แล้ว”
ชุยตงซานมีสีหน้าปั้นยาก ยื่นหัวออกไปมองทางเผยเฉียน ดูเหมือนจะหวังให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกมาแหย่รังแตน
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างสงสัย “ทำไม หลิวเสี้ยนหยางหันไปเล่นงานนครลมเย็นกับภูเขาตะวันเที่ยงเต็มกำลังแล้วหรือ?”
ชุยตงซานส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “เป็นพ่อครัวเฒ่าที่หลอกแคว้นหูทั้งแห่งให้ย้ายมาอยู่ในพื้นที่มงคลรากบัว”
เฉินผิงอันอึ้งไปนาน ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่เอ่ยอย่างจนใจว่า “เพ่ยเซียงเจ้าแห่งแคว้นหูเป็นขอบเขตก่อกำเนิดกระมัง? หลอกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ? ทางหนีทีไล่ที่สกุลสวี่นครลมเย็นจัดไว้ในแคว้นหูล่ะ ภัยแฝงกำจัดหมดสิ้นแล้วหรือยัง?”
“แน่นอนว่าหลอกได้ไม่ง่าย เพียงแต่ว่าพ่อครัวเฒ่ารับมือกับสตรี ดูเหมือนว่าจะร้ายกาจกว่าพี่ใหญ่เจียงเสียอีก”
ชุยตงซานพยักหน้าอย่างแรง “ส่วนเรื่องภัยแฝงนั่น ถูกข้ากับพ่อครัวเฒ่าร่วมมือกันกำจัดจนสิ้นแล้วจริงๆ มีคนเล่นตุกติกในจิตวิญญาณของเพ่ยเซียง คนผู้นี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็น…”
พูดมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็หน้าซีดขาวเล็กน้อย เหงื่อแตกเต็มหลัง ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาดันหว่างคิ้ว
“ความคิดบางอย่างถูกผนึกไว้เหมือนการผนึกภูเขา เป็นศัตรูกับตัวเองนั้นยากที่สุด ในเมื่อตนเองไม่สามารถพูดออกมาได้เอง ถ้าอย่างนั้นอะไรที่พูดไม่ได้ก็อย่าพูดเลยดีกว่า”
เฉินผิงอันยื่นมือไปตบที่วางแขนเก้าอี้นอนซึ่งอยู่ด้านข้าง บอกเป็นนัยแก่ชุยตงซานว่าอย่าทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย ยิ้มเอ่ยว่า “เกี่ยวกับคนเบื้องหลังนี้ อันที่จริงข้ามีการคาดเดามานานแล้ว เกินครึ่งน่าจะมีรากฐานและวิธีการไม่ต่างกับหันอวี้ซู่ ชอบแอบควบคุมสถานการณ์ใหญ่ของหนึ่งทวีปอย่างลับๆ การไหลเวียนของโชคชะตาวิถีกระบี่ในแจกันสมบัติทวีปนั้นประหลาดมาก นับตั้งแต่หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้ามาจนถึงเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ มีความเป็นไปได้ว่าอาจต้องเพิ่มหลิวป้าเฉียวไปอีกคน แน่นอนว่ายังมีข้ากับหลิวเสี้ยนหยาง เห็นได้ชัดว่าถูกคนลงมือกับคำว่าความรัก ในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักชิงเหลียงเหมือนถูกผู้เฒ่าจันทราพลิกสมุดแห่งบุพเพวาสนาตรวจสอบอย่างไรอย่างนั้น ถึงได้ถูกคนแอบผูกด้ายแดง ดังนั้นเรื่องนี้จึงคาดเดาได้ไม่ยาก น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรพบุรุษเจ็ดลูกถึงกับมีสองลูกที่ตกหล่นอยู่ในแจกันสมบัติทวีปทวีปเล็กๆ ไม่แปลกหรือ? อีกทั้งลูกที่ซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงพกไว้ในอดีตปีนั้น ประวัติความเป็นมาก็พร่าเลือนเหมือนถูกเมฆหมอกบดบัง ถึงเวลานั้นข้าแค่ต้องสืบสาวไปตามเบาะแสเส้นนี้ ไปเป็นแขกที่ศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยง พลิกเปิดสมุดคุณความชอบปฏิทินเหลืองสองสามแผ่นก็มากพอจะทำให้ข้าขยับเข้าใกล้ความจริงแล้ว ตอนนี้เรื่องเดียวที่ข้าเป็นกังวลก็คือก่อนที่คนผู้นั้นจะรอให้ข้ากับหลิวเสี้ยนหยางไปถามกระบี่ ได้แอบลงจากเขาไปท่องเที่ยวทวีปอื่นแล้ว”
ชุยตงซานถึงขั้นกัดฟัน งอสองนิ้วคิดอยากจะดึงความคิดที่ ‘ตนและชุยฉาน’ ปิดประตูลงดาลแน่นออกมาจากจิตวิญญาณให้ได้
เฉินผิงอันประกบสองนิ้วเคาะที่วางแขนเก้าอี้นอนเบาๆ หนึ่งที ใช้ปณิธานหมัดขัดขวางการกระทำที่อันตรายนั้นของชุยตงซาน แล้วจึงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ร่างทั้งร่างของชุยตงซานหงายหลังผลึ่ง แนบติดเก้าอี้ทันที เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ข้าก็แค่ไม่มีไม้บรรทัดตีมือเท่านั้น”
ชุยตงซานพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งเฮือก “ศิษย์ไร้ประโยชน์”
——