เฉินผิงอันกล่าว “รู้หรือไม่ว่าจุดที่ทำให้ข้านับถือช่างหร่วนที่สุดคืออะไร? คือการรับลูกศิษย์ของช่างหร่วนที่นอกจากจะให้ความสำคัญกับนิสัยใจคอแล้ว เขายังรู้สึกด้วยว่าการรับลูกศิษย์ก็คืออาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้กับลูกศิษย์ ลูกศิษย์แค่สงบใจฝึกกระบี่ไปก็พอ ไม่ใช่เพื่อไปทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นหรือจับกลุ่มสามัคคีกันต่อยตีผู้อื่น สามารถใช้คนมากอำนาจมากสยบคนอื่นได้ ข้ารู้สึกว่าข้อนี้ของช่างหร่วนคู่ควรให้คนนับถือเขามากที่สุด อาจารย์นำพาเข้าสำนักฝึกตนอยู่ที่ตัวคน ลูกศิษย์ที่เข้าสำนักมาฝึกตนไม่ต้องคิดคำนึงถึงแค่ชื่อเสียงของศาลบรรพจารย์ไปทั้งหมด แต่เป็นว่าไม่จำเป็นต้องจงใจไปคิดเล็กคิดน้อยกับสถานะอาจารย์และศิษย์ แล้วลงมือโดยใช้อารมณ์เพราะเรื่องนี้ จะว่าไปแล้วการฝึกตนก็ยังคงอยู่ที่ตัวบุคคล บนภูเขาลั่วพั่ว ข้าไม่มีทางรู้สึกว่าเผยเฉียนจำเป็นต้องเหมือนใคร ไม่จำเป็นต้องเหมือนข้าเลยด้วยซ้ำ และก็ไม่จำเป็นที่ทุกคนบนภูเขาลั่วพั่วต้องเหมือนข้าหรือไม่ก็เหมือนเผยเฉียน ข้อนี้อันที่จริงในอดีตเจ้าเองก็ได้พูดอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งแล้ว เอาล่ะ เจ้าลองพูดเรื่องที่ทำให้มีความสุขบ้างสิ”
ชุยตงซานนอนตะแคงตัว ฝ่ามือของมือสองข้างวางทับซ้อนกัน แนบใบหน้าลงบนหลังมือ ยกขาห่อร่างนอนงอตัว ท่วงท่าเกียจคร้านอย่างยิ่ง หัวเราะร่าเอ่ย่า “อาจารย์ ทุกวันนี้พื้นที่มงคลรากบัวไปถึงคอขวดของพื้นที่มงคลระดับสูงแล้ว เงินทองไหลมาเทมา กำไรเป็นกอบเป็นกำ แม้จะยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้ติด แต่เมื่อเทียบกับพื้นที่มงคลระดับสูงแห่งอื่นในบรรดาเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคลแล้วก็ไม่มีทางอยู่รั้งท้ายแน่นอน ส่วนพื้นที่มงคลระดับกลางทั้งหมด ต่อให้ถูกสำนักอักษรจงจัดการดูแลไปอีกหลายร้อยปีหรืออาจถึงพันปีก็ไม่สามารถทัดเทียมกับพื้นที่มงคลรากบัวได้อยู่ดี”
เฉินผิงอันกลับไม่มีท่าทางปิติยินดีมากนัก กลับกันยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ชุยตงซานเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี รีบยื่นสมุดบัญชีเล่มหนึ่งที่เขียนโดยเหวยเหวินหลงไปให้ “เป็นสมุดบัญชีเก่าเล่มหนึ่งที่ข้าได้มาก่อนจะถูกขังอยู่ในศาลลำน้ำใหญ่”
เฉินผิงอันอ่านที่มาที่ไปเรื่องการเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับบนของพื้นที่มงคลรากบัวแล้วก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก มีครบทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคี
เพียงแต่ว่าต้องติดค้างน้ำใจคนไม่น้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่เป็นไร การไปมาหาสู่กันของคนบนภูเขาไม่เหมือนล่างภูเขา เดิมทีก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับการไหลรินของกาลเวลาสิบปียี่สิบกว่าปีอยู่แล้ว
ในพื้นที่มงคล สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ภูตผีตัวประหลาด ภูตดอกไม้พืชหญ้า วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดิน โชคชะตาบุ๋นบู๊ โชควาสนาตระกูลเซียน มีมากมายนับไม่ถ้วนที่พากันปรากฏตัวขึ้นบนโลก
ดวงตาของเฉินผิงอันฉายประกายเจิดจ้า อ่านสมุดบัญชีอย่างละเอียดพลางถามชวนคุยไปด้วย “ลำน้ำใหญ่? เป็นต้าหลีที่ขุดขึ้นเพื่อให้จื้อกุยเดินลงน้ำกลายเป็นมังกรได้สำเร็จหรือ?”
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “ลำน้ำใหญ่ที่ทะลุผ่านภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปสายนั้นมีชื่อว่าฉีตู้”
เฉินผิงอันหยุดมือที่พลิกเปิดหน้ากระดาษลง พยักหน้ารับ สีหน้าสงบนิ่ง ก่อนจะเปิดหน้ากระดาษต่ออีกครั้ง น้ำเสียงที่พูดไม่ได้มีอารมณ์ขึ้นลงสักเท่าไร “จำได้ว่าปีนั้นพวกหลี่ไหวได้รับเทียบตัวอักษรคนละแผ่น ไม่อย่างนั้นข้าที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คงไม่มีทางตัดขาดพันธะสัญญากับจื้อกุยอย่างเด็ดเดี่ยวปานนั้น การคลายพันธะสัญญาสำเร็จต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างเสียดายเล็กน้อย “หากอาจารย์ไม่ได้คลายพันธะสัญญา ตอนนี้ก็จะได้รับการประทานโชคชะตาน้ำมาไม่ขาดสาย หลังจากนี้ร้อยปีพันปีที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็เหมือนคนนั่งตกปลาอย่างมั่นคง ทุกวันคอยนั่งรับส่วนแบ่ง ต่อให้จื้อกุยไม่เต็มใจก็ยังต้องมอบให้”
เฉินผิงอันไม่เห็นเป็นสำคัญ พูดหยอกล้อว่า “ใช้เหตุผล เป็นคนดี แต่กลับต้องให้คนอื่นจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มเติม เดิมทีหลักการเหตุผลข้อนี้ แรกเริ่มสุดที่ข้าได้รู้ก็รู้สึกรับไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผ่านเรื่องราวมามากมายจึงคิดได้ตกอย่างแท้จริงแล้ว หากรับเอามาอย่างจริงใจกลับกลายเป็นว่าจะยิ่งทำให้มองเรื่องกลัดกลุ้มใจมากมายได้เปิดกว้างมากขึ้น แล้วก็เพราะว่าเหตุผลพูดได้ยาก คนดีเป็นไม่ง่าย ถึงได้ยิ่งล้ำค่าอย่างไรล่ะ”
ชุยตงซานพึมพำ “เรื่องราวในใต้หล้านี้ก็มีแค่ได้กับเสียเท่านั้น ได้กับเสียก็แบ่งออกเป็นกระทำกับถูกกระทำ นี่ก็คือวิถีทางโลกและใจคนแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มีเหตุผล”
น่าหลันอวี้เตี๋ยกับเหยาเสี่ยวเหยียนสองคนเดินออกมาจากห้องด้วยกัน กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งมาวางไว้บนริมฝีปาก บอกเป็นนัยว่าอย่าพูดเสียงดัง
เผยเฉียนกำลังนอนหลับสนิท
น่าหลันอวี้เตี๋ยใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อาจารย์เฉา วันนี้พวกเราจะไปภูเขาเยี่ยนซานกันหรือไม่? หากมีธุระ พรุ่งนี้เช้าค่อยไปก็ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไปสิ อีกเดี๋ยวก่อนจะไปข้าจะเรียกเจ้า”
น่าหลันอวี้เตี๋ยจึงพาเหยาเสี่ยวเหยียนจากไป ไปชื่นชมก้อนหินที่กองกันเป็นภูเขาด้วยกัน
เฉินผิงอันมองภูเขาหินลูกเล็กแล้วเงียบไปพักหนึ่ง ลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนใช้เสียงในใจถามว่า “เจ้ารู้จักสตรีคนหนึ่งที่ชื่อว่าเซอเยว่หรือไม่? ได้ยินว่าทุกวันนี้นางอยู่ที่แจกันสมบัติทวีปของพวกเรา?”
ชุยตงซานพยักหน้า “รู้จักสิ มีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับหมี่ลี่น้อย อาจารย์ ถามเรื่องนี้ทำไมหรือ รู้จักนางหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้จัก”
ชุยตงซานกำลังจะถามเพิ่มอีกสักสองสามคำ เฉินผิงอันกลับยิ้มเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “วันหน้าจำไว้ว่าต้องคอยเตือนข้าบ่อยๆ นอกเหนือจากเวลาคุยเล่นกับคนกันเองและยามถามใจประลองฝีมือกับคนอื่นแล้ว จะต้องพูดจาประหลาดๆ ชวนให้คนตกใจให้น้อยหน่อย ภูเขาลั่วพั่วถูกเจ้ากับเผยเฉียนสองคนพาให้ขนบธรรมเนียมเอนเอียงไปหมดแล้ว ข้อดีเพียงอย่างเดียวคงเป็นข้อที่ว่า เวลาที่ข้าได้ยินคำประจบเยินยอจากคนอื่น ทำให้ข้ารู้สึกเฉยชาได้แล้ว”
ก่อนหน้านี้ตอนที่หวงอีอวิ๋นอยู่ที่หาดหินหวงเฮ้อ มีท่าทางว่าจะถามหมัด
ตัวหวงอีอวิ๋นเองไม่มีอะไร ถามหมัดย่อมต้องมีเหตุผลที่นางจำเป็นต้องถาม เฉินผิงอันยังคงรู้สึกดีต่อหวงอีอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซาน ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่สามารถอยู่เฉยๆ ขัดเกลาวิถีวรยุทธของตัวเองไปอย่างสงบ แต่กลับยินดีที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป เป็นเหตุให้ไม่เสียดายที่จะต้องเดิมพันเกียรติยศอัปยศ ความรุ่งเรืองการล่มสลายของภูเขาผูซานทั้งลูกลงไปด้วย แน่นอนว่าต้องยอดเยี่ยมมาก อันที่จริงการที่เฉินผิงอันไม่ยินดีจะ ‘รับหมัด’ ยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่แม้แต่เจียงซ่างเจินก็ยังเดาไม่ออก สตรีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงก็มีผู้กล้าอยู่มากมายเหมือนกัน หวงอีอวิ๋นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางของใบถงทวีป รวมไปถึงชงเชี่ยนเซียนเหรินหญิงจากหลิวเสียทวีปที่พบเจอกันบนทะเลก่อนหน้านี้โดยบังเอิญ ล้วนทำให้เฉินผิงอันรู้สึกคล้ายได้หวนกลับคืนไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้ง
แต่พวกผู้ชมบนภูเขาที่เดินออกมาจากจวนเปลือกหอยทั้งหลายเหล่านั้น ดวงตาที่เร่าร้อนกระตือรือร้นของแต่ละคนเต็มไปด้วยความคาดหวัง เรื่องเดียวที่ผู้ชมทุกคนสนใจก็คือผลลัพธ์ของการถามหมัด ใครชนะ ใครแพ้ ใครเป็น ใครตาย ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะคนนอกเข้ามาร่วมวงความครึกครื้นจึงไม่กลัวว่ามรสุมจะใหญ่โต ถามหมัดทำให้คนบาดเจ็บหรืออาจถึงขั้นทำให้คนตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกหมัดของหวงอีอวิ๋นคล้ายจะเป็นเรื่องที่ไม่มีค่าพอให้ซักไซ้ถามอะไรให้มากความ สมเหตุสมผล ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
“ใช่ๆๆ อาจารย์กล่าวได้ถูกต้องอย่างยิ่ง วิชาการสำรวมระวังตนแม้ยามอยู่เพียงลำพังลึกล้ำจนน่ากลัว เรียกได้ว่าเป็นขอบเขตปลายทางยิ่งกว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเสียอีก”
ชุยตงซานเห็นท่าไม่ดีจึงรีบฉวยโอกาสนี้เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา “ก็เหมือนอย่างเจ้าคนที่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกอวี้พ่านสุ่ยคนนั้น เวลาที่เล่นหมากล้อมกับคนอื่น คนที่มาดูร้องโห่ส่งเสียงดังลั่น ปรบมือให้กำลังใจกันเต็มที่ ที่น่ากลัวที่สุดก็คือพวกผู้ชมเหล่านั้นรู้สึกจริงๆ ว่าตาเฒ่าอวี้ที่ร่ายกระบวนท่าเลอะเลือนบนกระดานหมากไม่หยุดได้เผยฝีมือของเทพเซียนที่ร้ายกาจจริงๆ ตาเฒ่าอวี้ยังไม่ค่อยเท่าไร เพราะรู้ดีว่าตัวเองมีความสามารถกี่จินกี่ตำลึง แต่ในวิถีทางโลกจะมีสักกี่คนกันที่มีความชำนาญเพียงอย่างเดียว นานวันเข้าเลยเข้าใจผิดคิดไปจริงๆ ว่าตัวเองเชี่ยวชาญไปเสียทุกเรื่อง พวกที่คิดว่าฝึกตนประสบความสำเร็จ ไม่เจอหน้าแค่ไม่กี่วัน เล่นหมากล้อมกลายเป็นนักเล่นระดับแคว้น ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็กลายเป็นจิตรกรเอกไปแล้ว ไปถึงล่างภูเขาพูดง่ายๆ แค่ก็ไม่กี่ประโยคก็กลายเป็นนักบรรยายข้อเสียของคนอื่นที่เก่งกลยุทธในนอกประสาน กลายเป็นนักคุยเล่นที่พล่ามคำพูดน่าฟังได้ไม่ขาดปาก พูดเรื่องตลกขำขันที่ไม่ตลกออกมาสองสามเรื่องก็ทำให้ผู้คนโห่ร้องยินดีกันเต็มโถง บนโต๊ะเหล้าก็มีคนกุมท้องหัวเราะก๊าก”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา คลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด ออกจะหักเลี้ยวกะทันหันไปสักหน่อย
ชุยตงซานบ่นว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ แบบนี้ไม่มีคุณธรรมแล้วนะ”
อันที่จริงเผยเฉียนตื่นแล้ว เพียงแต่ว่ายังแกล้งทำเป็นหลับ
ชุยตงซานไม่ยอมเลิกรา “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ตื่นได้แล้ว ตามข้อตกลง เจ้าต้องช่วยอวี้เตี๋ยแบ่งภูเขาหินลูกเล็กออกเป็นระดับขั้นนะ”
เผยเฉียนจึงได้แต่ลืมตาขึ้น อ้าปากหาว แต่นางยังนอนนิ่งไม่ขยับ
เจียงซ่างเจินมาแล้ว
เผยเฉียนจึงลุกขึ้นยืน เดินไปทางน่าหลันอวี้เตี๋ย ช่วยแบ่งระดับสูงต่ำให้กับก้อนหินกองนั้น
วันนี้เฉินผิงอันคิดว่าจะไปเยือนภูเขาเหล่าจวินสักรอบ ส่วนภูเขาเยี่ยนซานที่เป็นภูเขาทายาทนั้น แน่นอนว่าไม่มีทางพลาด
เจียงซ่างเจินเข้ามายังที่แห่งนี้ ในมือหิ้วกระบอกพู่กันไม้ไผ่เหลืองมาด้วย ดวงตาชุยตงซานเป็นประกาย ใจกว้างๆ ไม่เสียแรงที่เป็นพี่ใหญ่โจวผู้มีคุณธรรมน้ำใจ
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “มาปรึกษากับเจ้าขุนเขา ภูเขาเยี่ยนซานน่ะอย่าไปเลย”
เฉินผิงอันยิ้มรับ “ทำไมถึงไม่ให้ข้าไปล่ะ? ข้าไม่ได้บอกให้พื้นที่มงคลแหกกฎเพื่อข้าสักหน่อย แค่ขึ้นเขาลงเขาตามกฎเกณฑ์เท่านั้น”
เจียงซ่างเจินชูกระบอกพู่กันไม้ไผ่แกะสลักในมือขึ้นมา พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ทำการค้าพูดภาษาการค้า การค้าครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาจะต้องขาดทุนป่นปี้ไปถึงบ้านท่านยายแน่ (เปรียบเปรยว่าขาดทุนอย่างหนัก ขาดทุนถึงคนสามรุ่น ไม่เพียงแต่ตัวเองขาดทุน แม่ก็ขาดทุน กระทั่งยายก็ยังขาดทุนไปด้วย) ข้าทนมองต่อไปไม่ได้”
เฉินผิงอันคิดจะหาเงินจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ในใจเจียงซ่างเจินรู้สึกห่อเหี่ยวจริงๆ
วัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งของแม่นางน้อยน่าหลันอวี้เตี๋ยยังไม่เท่าไร แต่เผยเฉียนล่ะ? น้องชุยล่ะ? เจ้าขุนเขาหนุ่มล่ะ?! ใครบ้างที่ไม่มีวัตถุจื่อชื่อ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ถ้ำเก่าทั้งหลายของที่นั่นจะทนถูกคนทั้งสามพลิกค้นได้สักเท่าไรกันเชียว?
ขอแค่ปล่อยให้ไอ้หมอนี่ขึ้นไปบนภูเขาเยี่ยนซาน ด้วยนิสัยของเฉินผิงอัน คงจะขนเอาหินงามวัตถุดิบชั้นเยี่ยมของภูเขาเยี่ยนซานไปครึ่งหนึ่งจริงๆ! อีกทั้งตายังไม่กะพริบสักครั้งด้วย
แต่เจียงซ่างเจินจ่ายเงินเอง ในใจเขากลับชื่นบานนัก แม้จะบอกว่ามอบกระบอกไม้ไผ่พู่กันเหลืองที่เท่ากับพื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำหนึ่งแห่งอันนี้ออกไป เจียงซ่างเจินใช้เงินเช่นนี้มีแต่จะขาดทุนยิ่งกว่าภูเขาเยี่ยนซานของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา แต่นั่นกลับเป็นคนละเรื่องกัน
นี่คือพื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำที่เฉินผิงอันใช้พักรักษาอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้
เฉินผิงอันยิ้มรับเอาไว้ เก็บกระบอกพู่กันใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ คิดจะเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง หากไม่มีความจริงใจเลยจะได้อย่างไร การประชุมในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ เขายังต้องออกแรงคัดค้านความเห็นต่างของผู้คนอยู่นะ
พื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำที่กระท่อมถูกกลบทับอยู่ท่ามกลางทะเลไผ่แห่งนี้ ทัศนียภาพงดงามสดชื่น เฉินผิงอันมีใจที่เห็นแก่ตัวอยู่บ้าง คิดว่าพอกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วจะให้เว่ยป้อช่วยเชื่อมโยงรากภูเขาชะตาน้ำให้ เอาไว้เป็นสถานที่ฝึกตนที่ตนใช้สำหรับปิดด่าน
ป๋ายเสวียนบอกว่าจะมานะตั้งใจฝึกกระบี่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน สุดท้ายจึงมีแค่น่าหลันอวี้เตี๋ย เหยาเสี่ยวเหยียนและเฉิงเฉาลู่สามคนเท่านั้นที่ตามพวกเฉินผิงอันไปยังภูเขาเหล่าจวิน
เจียงซ่างเจินยอมตอบตกลงให้พวกเด็กๆ สามคนไปเสี่ยงดวงที่ภูเขาเยี่ยนซานต่อไป
คนทั้งกลุ่มออกจากยอดเขาอวิ๋นจี้ไปยังภูเขาเหล่าจวิน เดินเข้าไปในภาพขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ เผยเฉียนบอกว่าจะไปกับพวกน่าหลันอวี้เตี๋ย เฉินผิงอันจึงพยักหน้าตอบตกลง แม้จะบอกว่าอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ แต่มีเผยเฉียนอยู่ข้างกายพวกเด็กๆ …คิดมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันก็พลันเหม่อลอย เมื่อไหร่กันนะที่เผยเฉียนสามารถเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้พวกเขาได้แล้ว? เมื่อไหร่กันที่เผยเฉียนไม่ได้เป็นเด็กน้อยคนหนึ่งอีกต่อไปแล้ว? ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอดหันไปมองแผ่นหลังของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาไม่ได้ เอ่ยประโยคหนึ่งที่เกินความจำเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าเองก็ต้องระวังตัวด้วย เจอเรื่องอะไรให้มาหาอาจารย์พ่อ”
เผยเฉียนหันหน้ากลับมาคลี่ยิ้มกว้าง ยกมือทำท่าแปะหน้าผากเบาๆ หนึ่งที
ในม้วนภาพขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ที่อยู่บนยอดสูงของภูเขาเหล่าจวิน มีสถานที่ที่ชัยภูมิดีเยี่ยมนับร้อยแห่ง เฉินผิงอันเสียเวลาไปถึงครึ่งวันเต็มๆ อย่างไม่เสียดาย เดินทางจากท่าเรือชวีซานเขตอวี๋โจวที่อยู่ทางทิศใต้สุด ขึ้นเหนือไปตลอดทาง ไล่เดินผ่านไปแต่ละสถานที่ เดินทางผ่านทุกแห่งจนถ้วนทั่ว
ระหว่างนี้เฉินผิงอันได้ไปเยือนนครเซิ่นจิ่งต้าเฉวียนที่ยังไม่เคยเหยียบย่างไปเยือนอย่างแท้จริง แน่นอนว่ายังมียอดเขาเทียนแจว๋และอารามจินติ่งที่เป็นพรรคใหญ่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ โดยเฉพาะอารามจินติ่งที่เฉินผิงอันแทบจะไม่ได้หดย่อพื้นที่ เดินอย่างเชื่องช้า สุดท้ายเมื่อหวนกลับคืนมายังที่เดิมอีกครั้งในครั้งแรก เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนยอดเขาของภูเขาใต้อาณัติอารามจินติ่งซึ่งเป็นพันธมิตรใบท้อก็ไม่ได้ขยับเท้าไปไหนอีก เขาหยิบเอาหยกพกที่มีเฉพาะในภูเขาเหล่าจวินซึ่งสกุลเจียงพื้นที่มงคลถ้ำเมฆามอบให้ออกมา โคจรปราณวิญญาณแต่ละเสี้ยวให้กรอกเทลงไปยังชื่อของสถานที่ที่แกะสลักไว้ริมขอบของแผ่นหยก สุดท้ายภูเขาตระกูลเซียนสิบกว่าแห่งที่อยู่ในภาพขุนเขาสายน้ำก็พลันขยายใหญ่ ผุดทะยานขึ้นจากพื้นดิน เฉินผิงอันถือแผ่นหยกไว้ในมือ บนพื้นดินก็มีพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลอีกสิบกว่าแห่งตั้งตระหง่านขึ้นมา กวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายถอนปราณวิญญาณส่วนหนึ่งออก หดย่อทัศนียภาพของภูเขาครึ่งหนึ่งให้กลับเข้าไปในม้วนภาพ
เฉินผิงอันดันดาบแคบพิฆาตไว้บนกลางฝ่ามือ ใช้ฝ่ามือตีด้ามดาบเบาๆ จมสู่ภวังค์ความคิด
ตำราที่เก็บไว้ในคฤหาสน์หลบร้อนมีเยอะมาก ตอนนั้นเฉินผิงอันคนเดียวต้องใช้พละกำลังมหาศาลถึงจะแบ่งประเภทของเอกสารลับทั้งหมดออกมาได้ หนึ่งในนั้นคืออวิ๋นจี๋ชีเชียนยี่สิบสี่ฉบับที่เฉินผิงอันได้อ่านอย่างละเอียด ในนั้นมีการพูดถึงบทตะวันจันทราดารา นอกจากจะพูดดาวเป่ยโต่วเจ็ดดวงแล้ว ยังมีดาว ‘สองอำพราง’ อย่างฝู่ซิงและปี้ซิง ในใต้หล้าไพศาล ภูตตามป่าเขาลำนำไพรมักจะกราบไหว้ดวงจันทร์เพื่อหล่อหลอมเรือนกาย แล้วก็มีผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญการชักนำดวงดาวมาหล่อหลอมช่องโพรงลมปราณ
ทว่าในเวลาหมื่นปีที่ผ่านมานี้ เป่ยโต่วค่อยๆ เกิดสถานการณ์ประหลาดเจ็ดสำแดงสองอำพราง เฉินผิงอันเคยเปิดปฏิทินเหลืองจึงรู้ความจริงว่า เป็นหลี่เซิ่งที่ปีนั้นพาอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปในศาลบุ๋นและผู้ฝึกตนบนยอดเขากลุ่มใหญ่จับมือกันเดินทางออกไปนอกฟ้า เป็นฝ่ายไปตามหากากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลืออยู่
สายของหย่าเซิ่งได้รับความสูญเสียมากที่สุด เทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ก็ต้องตายอยู่นอกฟ้าเช่นกัน
การที่อยู่ดีๆ สองดาวอย่างฝู่ซิงและปี้ซิงเร้นอำพรางหายไป ก็เพราะว่าพวกมันคือหนึ่งในสนามรบที่ใช้เข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกตนใหญ่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาล
ชุยตงซานนั่งยองอยู่ข้างเท้าของเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มชุดขาวเหมือนเมฆขาวก้อนใหญ่ที่มาพักเท้าบนยอดเขา
“เจ้าอารามผู้เฒ่าตู้ที่ได้ยินชื่อเสียงมานานแต่ไม่เคยได้เห็นหน้าผู้นี้ เปี่ยมไปด้วยมาดของเทพเซียนจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “การที่เสี่ยวหลงชิวไม่ได้เข้าร่วมสันนิบาตใบท้อ อะไรที่บอกว่าอนุมานหาท่วงทำนองที่หลงเหลืออยู่ของกระจกโบราณ จะสร้างคันฉ่องจันทราขึ้นมาใหม่อีกบานหนึ่ง เป็นทั้งผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริง ขณะเดียวกันก็เป็นเวทอำพรางตาอย่างหนึ่ง ไม่แน่ว่าเสี่ยวหลงชิวอาจจะมีความสัมพันธ์กับอารามจินติ่งเป็นการส่วนตัวมาก่อนนานแล้ว หากเสี่ยวหลงชิวยึดครองภูเขาไท่ผิงได้สำเร็จ จากนั้นค่อยหันไปลงนามสัญญาภูเขากับอารามจินติ่ง ก็จะได้รับคำสัญญาบางอย่างเพิ่มมาอีก แอบฉกฉวยผลกำไรส่วนหนึ่งไปได้อย่างลับๆ แต่คนที่ได้กำไรมากที่สุดกลับยังคงเป็นอารามจินติ่ง ขอแค่ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขานี้สร้างสำเร็จ ก็เรียกได้ว่าครอบคลุมใบถงทวีปไปถึงครึ่งหนึ่ง มากพอจะทัดเทียมค่ายกลขุนเขาสายน้ำของสำนักกุยหยกพวกเจ้าได้เลยกระมัง?”
——