บทที่ 756.2 เป็นแขก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หากไม่เป็นเพราะความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายตื้นเขิน ด้วยนิสัยของเย่อวิ๋นอวิ๋นย่อมไม่มีทางเลอะเลือนอย่างแน่นอน ยานั่งลืมตนเป็นของหายากที่มีราคาแต่ไร้ตลาด หากสามารถทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาได้ ต่อให้ราคาเพิ่มมากกว่าเดิมก็ไม่เป็นไร มีมากย่อมเป็นประโยชน์ ตำหนักพยัคฆ์เขียวมีกี่เม็ดภูเขาผูซานก็ยินดีซื้อเท่านั้น

เพียงแต่ว่าปีนั้นตำหนักพยัคฆ์เขียวยึดครองอาณาเขตทางทิศเหนือ มีแต่จะเอายานั่งลืมตนที่ได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครองนี้กึ่งขายกึ่งมอบให้เป็นสินน้ำใจแก่สำนักใหญ่บนยอดเขาอย่างสำนักใบถงหรือไม่ก็ภูเขาไท่ผิง ไหนเลยจะมาถึงคราวของภูเขาผูซาน

แล้วนับประสาอะไรกับที่ลู่ยงคือเจินเหรินบนพื้นดินคนหนึ่งในบรรดาเซียนดินของหนึ่งทวีปที่ได้รับการยอมรับว่าดูแคลนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่สุด

เฉินผิงอันก้มหน้าลงดื่มชาหนึ่งคำ มือประคองถ้วยชาเอาไว้ เงยหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสอาจจะเข้าใจผิดแล้ว เมื่อครู่นี้ต้องโทษที่ข้าพูดจาไม่ชัดเจน ผู้เยาว์แค่กล้ารับรองว่าเทพเซียนผู้เฒ่าลู่จะขายให้กับเรือนอวิ๋นฉ่าวด้วยราคายุติธรรมที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวไม่ได้กำไรแต่ก็ไม่ขาดทุน ตอนนี้ข้าถึงขั้นยังไม่กล้าแน่ใจด้วยซ้ำว่าตำหนักพยัคฆ์เขียวจะต้องมียานั่งลืมตน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ขอแค่ยานี้ออกจากเตา เทพเซียนผู้เฒ่าลู่ก็จะต้องแจ้งข่าวให้แก่ภูเขาผูซานทันที ส่วนเรือนอวิ๋นฉ่าวจะยินดีซื้อหรือไม่ ก็ต้องดูที่แค่การตัดสินใจของเรือนอวิ๋นฉ่าวเท่านั้น”

ดวงตาของเย่เสวียนจีเป็นประกายวาบ หากไม่เป็นเพราะกฎบ้านของสกุลเย่ผูซานมีมากมายและกฎระเบียบก็เข้มงวด นางก็ถึงขั้นอยากจะรีบโน้มน้าวให้ท่านย่าบรรพจารย์ตอบตกลงโดยไว

เผยเฉียนมองดูเหมือนนั่งใจลอยอยู่บนเก้าอี้ แต่อันที่จริงคอยจับตามองสีหน้าและคำพูดของอาจารย์พ่ออยู่ตลอดเวลา

ยังคงเป็นอาจารย์พ่อที่ทำอะไรรอบคอบมีประสบการณ์จริงๆ ทุกเรื่องรัดกุมไร้ช่องโหว่ แม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่อาจเล็ดรอดออกมาได้

หากเย่อวิ๋นอวิ๋นตอบตกลงทันทีตั้งแต่แรกเริ่ม อาจารย์พ่อย่อมต้องผลักเรือตามกระแสน้ำมอบยานั่งลืมตนให้แก่ภูเขาผูซานเปล่าๆ แน่นอน

แต่ในเมื่อเย่อวิ๋นอวิ๋นมีความเกรงใจ อาจารย์พ่อก็ย่อมมีวิธีที่จะชดเชยแก้ไข มีบันไดให้เดินลงได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเมฆคล้อยน้ำไหล

เป็นอาจารย์พ่อ ภูเขาผูซานและตำหนักพยัคฆ์เขียวสามฝ่ายที่เอาความสัมพันธ์ควันธูปมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงเป็นเพียงการทำการค้าที่ยังคงพูดคุยภาษาการค้าต่อกัน

ถอยไปพูดหมื่นก้าว หากหน้าตาเพียงแค่นี้เย่อวิ๋นอวิ๋นยังวางไม่ลง ยังคงไม่ยอมพยักหน้าตอบตกลง ถ้าอย่างนั้นวันนี้อาจารย์พ่อที่พกของขวัญมาขออภัยด้วยตัวเองถึงบ้านก็จะคล้อยตามสถานการณ์ด้วยการหยุดแค่พอสมควร

เย่อวิ๋นอวิ๋นใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้ายิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอขอบคุณอาจารย์เฉาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว”

เฉินผิงอันพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “หากทางตำหนักพยัคฆ์เขียวยังไม่มียานั่งลืมตนสำเร็จรูป ข้าก็จะขอให้เทพเซียนผู้เฒ่าลู่ส่งจดหมายฉบับหนึ่งมายังภูเขาผูซาน เพื่อบอกสถานการณ์คร่าวๆ ให้ชัดเจน”

เย่อวิ่นอวิ๋นมองบุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่งแล้วยิ้มเอ่ยว่า “รบกวนอาจารย์เฉาช่วยเอ่ยขอบคุณเจินเหรินผู้เฒ่าลู่แทนข้าสักคำ หากตอนนี้ยังไม่มียานั่งลืมตน วันหน้าตำหนักพยัคฆ์เขียวจะหลอมยานี้ก็ให้บอกกล่าวมายังภูเขาผูซานล่วงหน้าก่อน ข้าจะไปรับยาที่ภูเขาชิงจิ้งด้วยตัวเอง แล้วถือโอกาสช่วยปกป้องมรรคาให้กับลู่เจินเหรินและภูเขาชิงจิ้งไปพร้อมกันด้วย”

หากไม่มีคำอธิบายของเจียงซ่างเจินก่อนหน้านี้ เย่อวิ๋นอวิ๋นก็คงรู้สึกว่าไอ้หมอนี่กำลังพูดจาเลอะเทอะอยู่จริงๆ

ลู่ยงแห่งยอดเขาเทียนแจว๋ในทุกวันนี้ ไม่อาจมองเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดธรรมดาได้เด็ดขาด

บนอาณาเขตของทวีปหนึ่ง ทุกวันนี้นอกจากสำนักกุยหยกและสำนักว่านเหยาแล้ว อย่าแต่เรือนอวิ๋นฉ่าวและถ้ำมังกรขาวเลย ขนาดอารามจินติ่งลู่ยงจะไม่ไว้หน้าก็ยังได้

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เผยเฉียนก็ลุกขึ้นตามทันใด

เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รบกวนการสอนหมัดของผู้อาวุโสแล้ว”

เย่อวิ๋นอวิ๋นลุกขึ้น มอง ‘เจิ้งเฉียน’ แวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มถามว่า “ไม่สู้ให้เจิ้งเฉียนมาประลองฝีมีกับเซวียไหวสักหน่อยดีไหม?”

เฉินผิงอันมองเผยเฉียน ท่าทีของเผยเฉียนชัดเจนอย่างมาก จะประลองหรือไม่ ให้อาจารย์พ่อเป็นคนตัดสินใจ หากจะถามหมัดกันจริงๆ หนึ่งหมัดหรือว่าหลายหมัดต่อยให้เซวียไหวล้มคว่ำ อาจารย์พ่อเป็นคนบอกมาก็แล้วกัน นางเผยเฉียนจะได้รู้ว่าต้องทำอย่างไร จะได้กะจำนวนและความหนักเบาในการออกหมัดได้ถูก

เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “วันนี้เอาไว้ก่อนเถอะ วันหน้าพวกเราสองอาจารย์และศิษย์มีโอกาสไปเยือนภูเขาผูซานแล้วค่อยว่ากันอีกที”

เย่อวิ๋นอวิ๋นลุกขึ้นยืนส่ง ครั้งนี้นางเดินไปส่งอาจารย์และศิษย์สองคนจนถึงหน้าประตูวงเดือน ยังคงเป็นเฉาโม่ที่ปฏิเสธไม่ให้นางไปส่งอย่างละมุนละม่อม ไม่อย่างนั้นเย่อวิ๋นอวิ๋นก็คงจะเดินไปส่งจนถึงประตูใหญ่ของจวน

เย่เสวียนจีเดินอยู่บนทางเล็กป่าไผ่เป็นเพื่อนเย่อวิ๋นอวิ๋น ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ท่านย่าบรรพจารย์ อาจารย์เฉาผู้นี้นิสัยดีมากเลย ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าช่วยเติมน้ำชาให้เขา เขายังไม่ลืมผงกศีรษะขอบคุณข้าด้วย”

หากจะบอกว่าสายตาของโจวเฝยทำให้สตรีรู้สึกเหมือนว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่น้อยเกินไป

ถ้าอย่างนั้นสายตาของอาจารย์เฉาผู้นี้ก็ทำให้เย่เสวียนจีรู้สึกว่าต่อให้เขาไปเจอเข้ากับภาพสาวงามลุกขึ้นจากอ่างน้ำโดยบังเอิญ เขาก็จะยังไม่มองในสิ่งที่ไม่สมควรมอง

เย่อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เป็นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงคนหนึ่งจริงๆ”

อันที่จริงนางพูดแค่ครึ่งประโยค ยังมีอีกครึ่งประโยคที่ไม่สะดวกจะพูดกับผู้เยาว์คนหนึ่งในตระกูลมากเกินไป

เฉาโม่ผู้นี้ฉลาดเกินไปแล้ว

เย่เสวียนจียังคงไม่ค่อยกล้าเชื่อ เอ่ยอย่างกังขาว่า “เขาสามารถช่วยให้พวกเราซื้อยานั่งลืมตนเตาหนึ่งมาจากยอดเขาเทียนแจว๋ได้จริงหรือ? น้ำใจนี้ไม่ถือว่าเล็กเลยจริงๆ เพราะบุญคุณความแค้นในอดีต เจ้าอารามผู้เฒ่าลู่ของตำหนักพยัคฆ์เขียวจึงมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผู้ฝึกยุทธล่างภูเขาทุกคน”

จุดที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดของยานี้อยู่ที่ว่าสามารถทำให้ผู้ฝึกตนคล้ายบ่มเพาะหล่อเลี้ยงเทพทวารบาลสององค์ที่ชาวบ้านล่างภูเขาใช้ขับไล่สิ่งสกปรกกำจัดเสนียดจัญไรไว้ที่ด่านหัวใจของตัวเอง ช่วยปกป้องด่านหัวใจให้กับผู้ฝึกตน

ทุกครั้งที่ผู้ฝึกลมปราณนั่งเข้าฌานลืมตน จิตใจจะจมจ่อมอยู่ในฟ้าดินเล็ก แล้วยังสามารถทำให้โอสถทอง ก่อกำเนิดที่เป็นผู้ฝึกตนเซียนดินคนหนึ่งเหมือนสวมชุดคลุมอาคมขนนก ดังนั้นยานั่งลืมตนที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวหลอมด้วยวิชาลับเฉพาะจึงได้รับคำขนานนามที่ไพเราะบนภูเขาของใบถงทวีปว่าเป็น ‘เม็ดชุดขนนก’ มาโดยตลอด

เจินเหรินลัทธิเต๋าท่านหนึ่งของตำหนักพยัคฆ์เขียวเคยปกป้องลูกศิษย์ให้ลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ แต่ถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส โอสถทองปริแตก นับแต่นั้นมหามรรคาก็ขาดสะบั้น

และผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดที่ทำร้ายคนผู้นี้ ภายหลังอาจารย์ของเขาได้ถูกอริยะบู๊อู๋ซูทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องใช้ยาวิเศษหลายชนิดมาต่อชีวิต ยานั่งลืมตนของตำหนักพยัคฆ์เขียวก็คือหนึ่งในนั้น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลไปขอยาที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวด้วยตัวเอง ลู่ยงไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะยอมก้มหัวเอ่ยขออภัยอย่างไร เพียงแค่ปิดประตูไม่ต้อนรับแขกเท่านั้น สุดท้ายผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนนั้นทนได้แค่สิบปีก็ลาจากโลกนี้ไป ไม่อย่างนั้นหากได้กินยานั่งลืมตนสักหลายๆ เตา มีชีวิตอยู่เพิ่มไปอีกห้าหกปีย่อมไม่เป็นปัญหา ดังนั้นถึงได้บอกว่าบุญคุณความแค้นบนภูเขานั้นง่ายนักที่จะเป็นดั่งลมน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนทิศ ยามที่ดูเรื่องตลกของคนอื่นแค่แอบหัวเราะเยาะมีความสุขก็พอ ต่อให้กลั้นเสียงหัวเราะไม่อยู่ก็อย่าหัวเราะดังเกินไปนัก

เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้ากล่าว “ในเมื่อเฉาโม่เปิดปากเช่นนี้แล้ว เกินครึ่งลู่ยงก็น่าจะตอบตกลง”

เย่เสวียนจีคลี่ยิ้มหวาน กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “แค่มองก็รู้แล้วว่าอาจารย์เฉามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลสูงศักดิ์ ไม่ว่าจะนั่งจะเดินหรือคำพูดคำจาก็ล้วนแฝงไว้ด้วยมาดของความสง่างาม”

ยากนักที่เย่อวิ๋อวิ๋นจะมีรอยยิ้มให้กับผู้เยาว์ของภูเขาผูซาน นางเอ่ยสัพยอกอย่างที่หาได้ยาก “อะไรกัน เพิ่งลงจากเขามาหาประสบการณ์ได้แค่ไม่กี่วันก็ลืมความกลัดกลุ้มเดียวดายยามที่อยู่เพียงลำพังบนภูเขาแล้วหรือ?”

แม้ว่าเวลาปกติเย่อวิ๋นอวิ๋นจะไม่ค่อยแย้มยิ้มพูดคุย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเจ้าขุนเขาคนหนึ่ง นางเองก็ไม่ใช่คนคลั่งวรยุทธที่เอาแต่เรียนวิชาหมัดอะไร ไม่อย่างนั้นภูเขาผูซานก็คงไม่ได้รุ่งเรืองอย่างในทุกวันนี้

เย่เสวียนจีหน้าแดงก่ำ ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านย่าบรรพจารย์ ชีวิตนี้คงยังไม่เคยเจอบุรุษที่ทำให้ใจหวั่นไหวได้กระมัง?”

เย่อวิ๋นอวิ๋นส่ายหน้า “ความรักของชายหญิงไร้ความหมายใดๆ ไม่สู้เรียนวิชาหมัด ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขา”

หลังจากที่เฉินผิงอันออกมาจากจวนแห่งนี้ก็ไม่ได้ออกจากหาดหินหวงเฮ้อกลับไปยังยอดเขาอวิ๋นจี๋ทันที แต่ร่ายเวทอำพรางตาให้ตัวเองกับเผยเฉียน ริ้วคลื่นปราณวิญญาณล้อมวนอยู่รอบด้าน ทั้งใบหน้าและเรือนกายล้วนทำให้ผู้อื่นมองเห็นได้ไม่ชัดเจน จากนั้นก็พาเผยเฉียนไปยังจวนอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน ตอนที่ยังไม่ออกมาจากเรือนของเย่อวิ๋นอวิ๋น เฉินผิงอันก็กลับมาสวมหน้ากากอีกครั้งหนึ่งแล้ว

เวลานี้ยังคงเป็นสาวงามยันต์ตนหนึ่งที่มาเปิดประตูให้ เฉินผิงอันถามว่าสถานที่แห่งนี้ใช่ที่พักของหลูอิงผู้ถวายงานอารามจินติ่งหรือไม่ สาวงามยันต์เองก็ไม่มีโทสะ เพียงแค่คลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด เพราะไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ เฉินผิงอันจึงได้แต่บอกกล่าวชื่อแซ่และความเป็นมา เฉาโม่ ผู้ถวายงานสกุลเจียง พอได้ยินว่าอีกฝ่ายคือผู้ถวายงานสกุลเจียง อีกทั้งยังห้อยป้ายจำศีลระดับต้นไว้ตรงเอว สาวงามยันต์จึงรีบเอาเรื่องนี้ไปแจ้งทันที บอกว่ารบกวนผู้ถวายงานเฉารอสักครู่

แม้ว่าสาวงามยันต์จะเป็นหุ่นเชิด แต่หอซูอี๋ของอวี้จือก่างได้ใช้วิธี ‘เรือนหยิน’ ทำให้รากฐานเนื้อหนังมังสาของสาวงามที่ทำมาจากยันต์คล้ายโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จากนั้นค่อยให้ผีหญิงหรือวิญญาณเข้ามาพักอยู่ด้านใน นี่จึงทำให้สาวงามยันต์ทุกตน ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉมหรือสติปัญญาล้วนไม่ต่างอะไรจากคนปกติทั่วไป แต่การที่สาวงามยันต์ของหอซูอี๋สามารถเป็นอันดับหนึ่งของทวีปได้ก็เพราะจิตรกรเอกสองท่านที่รับผิดชอบสร้างยันต์ ท่านหนึ่งสามารถวาดท่วงทำนองเฉพาะส่วนหนึ่งของหญิงสาวลงบนกระดาษยันต์ได้ เป็นเหตุให้สาวงามยันต์ของหอซูอี๋แต่ละตนมีความแตกต่าง ดวงตางดงามเฉลียวฉลาด มองดูแล้วมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนวัตถุไร้ชีวิต ส่วนอีกท่านก็สามารถเสริมเติมแต่งให้ดีเยี่ยมมากขึ้น เป็นเหตุให้สาวงามยันต์ทุกตนเหมือนตำราฉบับสมบูรณ์อีกทั้งยังเป็นตำราที่มีเล่มเดียวซึ่งถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี

น่าเสียดายที่การโจมตีของปีศาจใหญ่ทรงพลังมิอาจขัดขวางได้ อีกทั้งวิธีการยังอำมหิตอย่างยิ่ง สุดท้ายอวี้จือก่างถูกทำลาย หอซูอี๋พังครืนลง จิตรกรเอกสองท่านที่เป็นคู่รักบนภูเขาเลือกที่จะเผากระดาษยันต์ให้หมดสิ้น จากนั้นก็ทำลายโอสถทองของตนเองปลิดชีพบูชารักตายไปพร้อมกัน

ตอนที่รออยู่หน้าประตู เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถาม “คิดอะไรอยู่?”

เผยเฉียนกล่าว “ดูเหมือนว่ามอบน้ำใจให้คนอื่นจะง่ายกว่ารับน้ำใจมาจากคนอื่น”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่องยุทธภพมาได้ไม่เสียเปล่า”

เผยเฉียนถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “อาจารย์พ่อมาหาหลูอิงผู้นี้เพราะคิดจะทำอะไร?”

เฉินผิงอันตอบ “ต้องมาดูและมาฟังขนบธรรมเนียมของอารามจินติ่งกับตัวเองสักครั้ง”

เผยเฉียนกล่าว “อารามจินติ่ง? ยอดเขาอิ่นเมี่ยวและเส้ายวนหราน?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ผู้ถวายงานต้าเฉวียนสองคนนั้นล้วนถือว่าเป็นคนคุ้นเคยของพวกเราแล้ว”

หลูอิงเดินช้าๆ มาถึงหน้าประตู ครั้นจึงคารวะด้วยพิธีการของลัทธิเต๋า “ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของอารามจินติ่ง หลูอิง”

เฉินผิงอันคารวะกลับคืนด้วยพิธีการของลัทธิเต๋าเช่นเดียวกัน “ผู้ถวายงานลำดับสองตระกูลเจียงถ้ำเมฆา เค่อชิงลำดับสองยอดเขาจิ่วอี้แห่งสำนักกุยหยก เค่อชิงลำดับสามแห่งศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ เฉาโม่”

เผยเฉียนตีหน้าเคร่ง กลั้นขำ

อาจารย์พ่อทำอะไรกัน พูดตำแหน่งออกมารวดเดียวส่งเดช นี่สรุปแล้วว่าจงใจโอ้อวดสถานะ หรือว่าจงใจแสดงความขลาดกลัวต่อหน้าคนอื่นกันแน่?

หลูอิงข่มกลั้นความอึดอัดในใจ พูดด้วยสีหน้าเป็นมิตร “ไม่ทราบว่าวันนี้เฉาเค่อชิงมาเยือนถึงจวนด้วยธุระอะไร?”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ก่อนหน้านี้มีความเข้าใจผิดกัน จึงจำเป็นต้องมาเยือนโดยเฉพาะ จะได้ขออภัยเจินเหรินผู้ถวายงานด้วยตัวเอง”

หลูอิงถามว่า “เรื่องที่โหยวชีแห่งถ้ำมังกรขาวประลองวิชาหมัดกับคนอื่นงั้นหรือ?”

โหยวชีผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร หม่าหลินซื่อผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนบนภูเขาลำดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลินจื่อที่มีลำดับศักดิ์สูงมากในถ้ำมังกรขาวที่ต้องมีคุณสมบัติของเซียนดินอย่างแน่นอน มีหวังว่าจะกลายเป็นบรรพาจารย์ผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประวัติศาสตร์ของถ้ำมังกรขาว ในอนาคตการเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน แม้จะถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่ง่ายดาย แต่จะดีจะชั่วก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง ผู้ฝึกตนกี่มากน้อยที่เป็นคนรุ่นเยาว์มากความสามารถ แต่แท้จริงแล้วแม้แต่คำว่าเซียนดินก็ยังไม่กล้าคาดหวัง

เฉินผิงอันพยักหน้า “ก็คือเรื่องนี้แหละ”

หลูอิงยิ้มกล่าว “เฉาเค่อชิงเคาะประตูผิดบ้านหรือไม่ ข้าผู้อาวุโสมาจากอารามจินติ่ง ไม่ใช่ผู้ฝึกตนของถ้ำวังมังกรอะไรทั้งนั้น การที่ครั้งนี้ออกมาจากอารามก็เพียงแค่เพื่อปกป้องมรรคาให้พวกเด็กๆ ใครที่ผูกคนนั้นก็ต้องแก้เอง ในเมื่อเข้าใจผิดว่าผูกปมแค้นกับถ้ำวังมังกรขาวก็ควรจะไปแก้ไขคลี่คลายความเข้าใจผิดกับถ้ำมังกรขาวแต่เนิ่นๆ เฉาเค่อชิง ใช่หลักการข้อนี้หรือไม่?”

“ข้าไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยกับผู้เยาว์ที่เป็นขอบเขตประตูมังกรตัวน้อยๆ คนหนึ่งของถ้ำมังกรขาว”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความดูแคลนหลายส่วน “เจินเหรินผู้ถวายงานคือผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมสูงส่งบนภูเขาของใบถงทวีป เฉาโม่เลื่อมใสในชื่อเสียงอันเลื่องลือของท่านมานานแล้ว หากไม่มาที่นี่แล้วควรจะไปที่ใด? ต่อให้วันนี้บรรพจารย์สองท่านของถ้ำมังกรขาวมาเป็นแขกที่หาดหินหวงเฮ้อ ข้าก็จะแค่ทำเป็นว่ามองไม่เห็น ส่วนเรื่องเข้าใจผิดเข้าใจถูกอะไรนั่น บอกตามตรง ข้าไม่เก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย ใครควรจะขอโทษใคร ใครควรจะไปเป็นแขกที่บ้านใคร อันที่จริงตอนนี้ก็ยังเป็นคนละเรื่องกัน”

หลูอิงลูบหนวดคลี่ยิ้ม พยักหน้ารับเบาๆ เอ่ยทอดถอนใจว่า “เฉาเค่อชิงเป็นคนจริงใจจริงๆ”

ที่แท้ก็เป็นอีกคนที่มาเพราะตำแหน่งของอารามจินติ่งบ้านตน

ตลอดทางมานี้หลูอิงพบเจอมานักต่อนักแล้ว เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขา ฮ่องเต้อัครเสนาบดีล่างภูเขา วีรบุรุษผู้กล้าผู้ฝึกยุทธแห่งยุทธภพ มีมากมายดุจปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำ

โดยภาพรวมแล้วล้วนได้สมดังใจปรารถนา กวอป๋ายลู่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอู๋ซูและผู้ฝึกตนผู้ฝึกยุทธของเรือนอวิ๋นฉ่าวต่างก็สำรวมกันดี มีแต่ถ้ำมังกรขาวนี่แหละที่ไม่ยอมอยู่เฉยเสียที นี่กลับดี เพราะทำให้เขาหลูอิงมีโอกาสได้เปิดเผยหน้าตามากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในนครเซิ่นจิ่งของต้าเฉวียน เจ้าตัวก่อเรื่องอย่างหม่าหลินซื่อนั่นได้ไปหาเรื่องเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง

ชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกที่ขากะเผลกแขนหักคนหนึ่งดื่มเหล้ากับชายฉกรรจ์หยาบกระด้างกลุ่มหนึ่งอยู่ในเหลาสุรา พูดจาเอะอะโวยวาย บนร่างคล้ายจะมีกลิ่นขี้ม้าติดตัวมาด้วย ใครเล่าจะคิดได้ว่าคนประเภทนี้กลับเป็นถึงน้องชายของฮ่องเต้หญิงของต้าเฉวียน?

จากนั้นในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่กฎระเบียบเข้มงวดแห่งนี้ก็เป็นเจ้าเด็กหม่าหลินซื่อนี่อีกที่ทำให้โหยวชีถูกเจ้าอ้วนน้อยคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าหมัดเทพน้อยไร้เทียมทานต่อยจนสลบไสลไม่ได้สติ ขายหน้าจนหมดสิ้น หลายวันมานี้โหยวชีโวยวายว่าจะกลับไปยังสำนักพลางส่งกระบี่บินแจ้งไปยังถ้ำมังกรขาวอย่างลับๆ หลูอิงจึงคิดเสียว่าชมเรื่องสนุกสนานเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ เวลานี้การที่หลูอิงมีความอดทนดีเยี่ยมขนาดนี้ ยอมเสียเวลากับเค่อชิงปลายแถวของสำนักกุยหยกที่พูดจาเลื่อนเปื้อนไร้สาระผู้นี้ ก็เพราะว่าในทำเนียบวงศ์ตระกูล เค่อชิงที่มีชีวิตอิสระเสรีมากยิ่งกว่า เดิมทีก็สู้ผู้ถวายงานไม่ได้อยู่แล้ว เจ้าคนที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ถวายงานปลายแถวของสำนักกุยหยกผู้นี้ไม่ถึงขั้นทำให้หลูอิงเกิดความสนใจที่จะผูกมิตรอะไรด้วยจริงๆ

——