กลับเป็นเด็กหนุ่มชุดขาวที่ตอนนั้นนั่งยองอยู่บนราวรั้วที่อย่าเห็นว่าท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย พูดจาเหลวไหลเต็มปาก เพราะมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเซียนดินทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักอักษรจงแห่งหนึ่งที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำ วิธีการที่ใช้เหมือนผู้ฝึกตนอิสระยิ่งกว่าเขาหลูอิงเสียอีก ถึงกับกล้าอาศัยขอบเขตของตัวเองร่ายเวทกักร่างโหยวชีในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของเจียงซ่างเจิน นี่ทำให้หลูอิงสนใจมากเป็นพิเศษ แน่นอนว่ายังมีเจ้าโจวเฝยที่ทำให้หลูอิงเคียดแค้นอยู่ในใจผู้นั้นอีก หลูอิงจึงไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม
ใบถงทวีปในทุกวันนี้มีแต่น้ำขุ่นอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มังกรข้ามแม่น้ำก็มีมากมายจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นสำนักว่านเหยาที่มาจากพื้นที่มงคลสามภูเขาแห่งนั้น คู่พ่อลูกเซียนเหรินหันอวี้ซู่ หยกดิบหันเจี้ยงซู่ เจ้าอารามผู้เฒ่าตู้กริ่งเกรงพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
บอกตามตรง ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนต่างทวีปที่เดินทางไกลมาถึงที่นี่ สำหรับผู้ฝึกตนในพื้นที่ของใบถงทวีปบ้านตัวเองแล้ว ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นจริงๆ ที่จะเข้าตาเขาหลูอิงได้
ยกตัวอย่างเช่นเจ้าคนที่มีตำแหน่งมากถึงสามตำแหน่ง แต่กลับไม่มีตำแหน่งไหนมีน้ำหนักอย่างแท้จริงเช่นเจ้าคนตรงหน้าผู้นี้ หลูอิงเริ่มค่อยๆ หมดความอดทนแล้ว คิดไม่ถึงว่าไอ้หมอนี่ยังมีหน้าขยับเส้นสายตามองไปในประตูใหญ่ คงเป็นการบอกเป็นนัยแก่เจินเหรินผู้ถวายงานเช่นตนว่า เหตุใดไม่พาเขาเข้าไปพูดคุยกันด้านในสินะ? หลูอิงหัวเราะเสียงหยันในใจไม่หยุด พริบตานั้นเขาก็ใช้วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ของผู้ฝึกตนก่อกำเนิด พยายามจะแหวกฝ่าเวทอำพรางตาริ้วคลื่นขุนเขาสายน้ำชั้นนั้นไป หลูอิงไม่สนใจสักนิดว่าการกระทำนี้เป็นการละเมิดข้อห้ามหรือไม่ อยากจะอาศัยสิ่งนี้มายืนยันในฝีมือของเค่อชิงใหญ่เฉาให้แน่ใจสักหน่อย
เฉาโม่ผู้นั้นรีบร่ายเวทอำพรางตาขุนเขาสายน้ำขึ้นมาใหม่ทันใด สีหน้าคล้ายจะมีโทสะเล็กน้อย
ในใจหลูอิงมั่นใจได้แล้ว เป็นโอสถทองบนภูเขาที่ขอบเขตพอใช้ได้คนหนึ่งจริงๆ
เฉาโม่สะบัดชายแขนเสื้อเดินลงไปจากบันได แต่จู่ๆ กลับหันหน้ามาเอ่ยว่า “วันหน้าหากเจินเหรินผู้ถวายงานพาคนลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์อีกครั้ง ทางที่ดีที่สุดควรเลือกออกจากบ้านตอนกลางวัน”
หลูอิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รับฟังด้วยความมึนงง เข้าใจผิดคิดว่าเป็นถ้อยคำลี้ลับที่ผู้ฝึกตนบนภูเขาพูดกัน
เผยเฉียนเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เพราะไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดเรื่อง” (คำว่าไม่ช้าก็เร็วมาจากภาษจีนคำว่า 早晚 早 แปลว่าช่วงเช้า 晚 แปลว่าช่วงเย็น)
หลูอิงสีหน้ามืดทะมึน
ขอบเขตไม่สูง ตำแหน่งไม่สูง แต่กลับใจกล้าไม่เบา สมกับมีชาติกำเนิดมาจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจริงๆ คาดว่าคงอาศัยความสัมพันธ์ควันธูปที่ทางศาลบรรพจารย์สะสมมาถึงได้คว้าเอาตำแหน่งผู้ถวายงาน เค่อชิงของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาและของยอดเขาจิ่วอี้สำนักุกยหยกมาได้
ครั้งแรกที่หลูอิงทำท่ายกเท้าจะก้าวข้ามธรณีประตู คนทั้งสองก็รีบก้าวเร็วๆ จากไปทันที ระหว่างนั้นเค่อชิงใหญ่เฉายังขยับป้ายจำศีลที่ผูกไว้ตรงเอวคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนาไปด้วย
หลูอิงยกเท้ากลับคืน หัวเราะเสียงหยันหนึ่งที พอหันหลังกลับก่อกำเนิดผู้เฒ่าก็พึมพำออกมาหนึ่งประโยค เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลชาติสุนัขพวกนี้ ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็เปลี่ยนนิสัยเสียๆ ที่ชอบกินอาจมไม่ได้จริงๆ
บนถนนใหญ่ เฉินผิงอันกับเผยเฉียนต่างก็ได้ยินประโยคพึมพำของหลูอิง เผยเฉียนยิ้มเอ่ย “อาจารย์พ่อ ไอ้หมอนี่ความสามารถในการชวนทะเลาะสูงมากเลยนะ ด่าตัวเองแรงกว่าด่าคนอื่นเสียอีก แพ้ไม่ได้เลย”
เฉินผิงอันกลับขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่กลับไม่มีเบาะแสให้สืบเสาะ
นี่คือลางสังหรณ์ยามที่เจอกับพิรุธ เจอกับหนึ่งในหมื่น ไม่มีเหตุผลให้อธิบาย
หากจะยกเหตุผลมาพูดคุยกัน คาดว่านี่คงเป็นเพราะใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านนี้โดนต่อยตีมาจนชินแล้วจึงค่อนข้างมีความจำที่ดี
เผยเฉียนกล่าว “อาจารย์พ่อ คนผู้นี้จิตแห่งมรรคาสกปรกโสมมนัก อารามจินติ่งเลือกให้หลูอิงรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ขนบธรรมเนียมคงไม่ดีไปยังไงแน่”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
หลูอิงหัวเราะเยาะอีกฝ่ายกับสาวงามยันต์ที่อยู่ข้างกาย หลังจากเดินเตร่กลับไปถึงที่พักก็ให้สาวงามจากไป ครู่หนึ่งต่อมาก่อกำเนิดผู้เฒ่าก็พลันนั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ในเสี้ยววินาที สองมือจิกกำที่วางแขนเก้าอี้เอาไว้แน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เหงื่อเย็นไหลลงมาตามสันหลัง พึมพำว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร คนผู้นี้ไม่ได้กลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วหรอกหรือ?”
ก่อนหน้านี้หลูอิงใช้เวทลับเฉพาะในการทำลายเวทอำพรางตา เดิมทีคิดว่าจะจงใจแหวกหญ้าให้งูตื่น ยืนยันให้แน่ใจว่าเค่อชิงเฉาโม่ผู้นั้นใช่โอสถทองหรือไม่ และถือโอกาสนี้ยลโฉมหน้าที่แท้จริงของสตรีผู้นั้นไปด้วย หากหน้าตางดงาม ไม่มองก็เสียเปล่า
เวทคาถาที่หลูอิงได้มาจากจวนเซียนพื้นที่ลับแห่งหนึ่งนี้ทำให้มองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของคนผู้หนึ่งได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่ว่าภายใต้สถานการณ์ทั่วไป หลูอิงจะไม่เรียกออกมาใช้ง่ายๆ หนึ่งเพราะไม่มีประโยชน์มากนัก ผู้ฝึกตนบนภูเขาโฉมหน้าเป็นอย่างไร ไม่ได้สำคัญอะไรเลย สิ่งที่สำคัญก็คือทำเนียบวงศ์ตระกูล สถานะ ขอบเขต สมบัติอาคม นอกจากนี้รากฐานในการฝึกตนของหลูอิงเอง การที่เขาสามารถเดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นก่อกำเนิดได้นั้น เกินครึ่งล้วนเป็นเพราะโชควาสนา ล้วนมาจากจวนโบราณของพื้นที่ลับที่ปริแตกแห่งนั้น และบัญชีเก่านั้นก็เกี่ยวพันไปถึงคดีโศกนาฎกรรมของสองสำนักที่มีผู้สืบทอดทำเนียบวงศ์ตระกูลหลายสิบตนต้องตายไป ดังนั้นต่อให้เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มชุดขาว และยังมีโจวเฝยที่อยู่ข้างกายหวงอีอวิ๋น หลูอิงจึงยังคงมองว่าตัวเองไม่มีวิชาอภินิหารที่ค่อนข้างเป็นซี่โครงไก่นี้
ไหนเลยจะคิดได้ว่าการมองครั้งนี้กลับทำให้หลูอิงมองเห็นหายนะใหญ่เทียมฟ้า
ปีนั้นตอนที่อยู่ในสถานที่ฝึกตนของเส้ายวนหรานโอสถทองหนุ่มของอารามจินติ่ง หลูอิงเหลือบไปเห็นภาพวาดของบุคคลผู้หนึ่งบนโต๊ะหนังสือโดยบังเอิญ ด้านข้างภาพนั้นเส้ายวนหรานเขียนชื่อไว้สองชื่อ
เฉินอิ่น เฉินผิงอัน
ตอนนั้นเส้ายวนหรานหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย หลูจิงจึงรู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีความลับใหญ่ซ่อนอยู่แน่นอน สุดท้ายทั้งสองฝ่ายวางแผนวางอุบายต่อกัน หลูอิงถึงได้รับคำตอบอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างพร่าเลือนมา สถานะของคนผู้นี้ยากจะคาดเดา ประวัติความเป็นมาแปลกประหลาด เคยก่อลมมรสุมที่ราชวงศ์ต้าเฉวียนมาครั้งหนึ่ง แต่เส้ายวนหรานกลับเอ่ยเพียงว่า เขามั่นใจได้แค่ว่านครเซิ่นจิ่งต้าเฉวียนแค่ถูกล้อมไว้ ไม่โดนโจมตี สามารถรักษาตัวรอดได้ เป็นเพราะเดิมทีคนผู้นี้มองเมืองหลวงแห่งนั้นเป็นของในกระเป๋าของตัวเอง เจ้าเด็กเส้ายวนหรานผู้นั้นก็อำมหิตมากพอ ไม่เพียงแต่ไม่ต้องให้หลูอิงเอ่ยสาบานในใจ เพียงแค่เอ่ยประโยคหนึ่งเพิ่มขึ้นมา แค่นั้นก็ได้ผลยิ่งกว่าการให้หลูอิงสาบานว่าจะรักษาความลับเสียอีก เพราะเส้ายวนหรานบอกว่าคนผู้นี้ เฉินอิ่นและเฉินผิงอันต่างก็เป็นนามแฝง สถานะที่แท้จริงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ คือผู้นำร้อยเซียนกระบี่แห่งภูเขาทัวเยว่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เฝ่ยหราน
หลูอิงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด
เฝ่ยหราน เฉินอิ่น เฉินผิงอัน
เฉาโม่ ผู้ถวายงานสกุลเจียง? เค่อชิงยอดเขาเสินจ้วน?
เหตุใดสุดท้ายแล้วสำนักกุยหยกถึงได้เป็นเหมือนกับราชวงศ์ต้าเฉวียน แม้จะเจออันตรายแล้วอันตรายอีก แต่สุดท้ายแล้วกลับยืนหยัดตระหง่านไม่ล้มลง? เป็นเพราะว่าภายในเรื่องนี้…?
เหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากของหลูอิงอีกครั้ง เขาไม่คิดจะเช็ดมันอีกแล้ว จิตแห่งมรรคาไม่มั่นคง รู้สึกเพียงว่าไปเดินวนผ่านหน้าประตูผีมารอบหนึ่ง
เอาเป็นว่าข้าผู้อาวุโสไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่พอหันหน้ากลับมาช้าๆ มองไปทางประตูเรือน กลับเห็นหญิงสาวชุดดำที่มวยผมทรงกลมยืนพิงกรอบประตู นางยกสองแขนกอดอก สีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
หลูอิงกำลังจะลุกขึ้น ด้านหลังก็มีน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มทุ้มดังขึ้นมา “นั่ง”
คนสวมชุดเขียวคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ มือข้างหนึ่งดันพนักเก้าอี้ไว้เบาๆ
หลูอิงจึงรีบวางก้นที่เพิ่งกระดกขึ้นลงทันที นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ เหมือนตกอยู่ในสภาพการณ์เดียวกับโหยวชีที่โดนเวทกักร่าง ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่เคยเห็นคลื่นลมมรสุมมานับไม่ถ้วนนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน นอกจากเหงื่อที่แตกพลั่กๆ แล้ว คนทั้งคนก็ไม่กล้ามีความคิดใดๆ บังเกิดขึ้นอีก
คนที่อยู่ด้านหลังวางสองมือทับซ้อนกันไว้บนพนักเก้าอี้ หัวเราะร่าถามว่า “ผู้เยาว์บุกเข้ามาในเรือนเองโดยพลการ เจินเหรินผู้ถวายงานโกรธหรือไม่?”
หลูอิงไม่กล้าส่ายหน้าแรงเกินไป ได้แต่ขยับศีรษะส่ายเบาๆ เท่านั้น ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาที่ไม่นับญาตินับมิตรกับผู้ใดคล้ายเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ได้พบเจอกับบรรพจารย์เปิดขุนเขาบ้านตัวเอง เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ไม่เลยๆ ผู้เยาว์มิกล้า ไม่กล้าเด็ดขาด!”
ครู่หนึ่งต่อมาหลูอิงก็มีสีหน้าเหมือนขี้เถ้ามอด ริมฝีปากสั่นระริก
เพราะก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่ไม่ยินดีจะอยู่เฉยรอความตายได้ร่ายวิชาก้นกรุอันเป็นความสามารถในการหลบหนีออกมา แอบรวบรวมโอสถทองและก่อกำเนิดไว้บนดวงจิตดวงหนึ่งอย่างเงียบเชียบ แล้วพลันพุ่งตัวหายไป คิดอยากจะออกไปจากจวนแห่งนี้ ไปแจ้งข่าวแก่หวงอีอวิ๋นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางซึ่งเป็นคนเดียวที่เชื่อใจได้ในเวลานี้ ส่วนสกุลเจียงพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาอะไรนั่น ยอดเขาเสินจ้วนสำนักกุยหยกอะไรนั่น เขาล้วนไม่กล้าเชื่อ ถึงเวลานั้นลากเอาเย่อวิ๋นอวิ๋นมาเกี่ยวข้อง ไปหลบอยู่ข้างกายนาง จากนั้นค่อยปกป้องบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำแห่งหนึ่งไว้อย่างแน่นหนา แจ้งข่าวแก่อารามจินติ่งอย่างรวดเร็ว ตนก็จะมีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง อีกทั้งอย่างมากก็แค่เป็นโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งดังที่กล่าวจริงๆ คิดจะไปป่าวประกาศความลับแก่ฟ้าดินอะไรก็ฝันไปเถอะ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจียงซ่างเจินผู้นั้นจะให้โอกาสเขาหรือไม่ ต่อให้ทำได้ หลูอิงที่เดิมทีไม่ถึงขั้นต้องตายสถานเดียวก็ไม่มีทางยินดีเอาชีวิตไปแลกกับคุณความชอบเช่นนี้ เปิดโปงเรื่องวงในที่สำนักกุยหยกสมคบคิดกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แล้วอย่างไร? คุณความชอบจากศาลบุ๋นล้วนหล่นลงบนหัวของอารามจินติ่ง เขาหลูอิงกลับต้องกายดับมรรคาสลายไปอย่างสิ้นเชิง
เพียงแต่ว่าพันคำนวณหมื่นคำนวณ หลูอิงก็ยังคำนวณไม่ถึงว่า ดวงจิตที่สามารถทำให้เซียนเหรินยากจะคาดเดาได้นั้นดันวกวนไปมาอยู่ที่เดิมคล้ายถูกผีบังตาอยู่ระหว่างฟ้าดินอย่างไรอย่างนั้น
คนที่อยู่ด้านหลังยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะขับเรือตามกระแสลมหรือหญ้าบนยอดกำแพงก็ล้วนเป็นได้ไม่ดี แล้วจะเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าผู้อาวุโสก่อกำเนิดได้อย่างไร?”
หลูอิงถอนหายใจ เปิดปากพูดด้วยภาษากลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ค่อนข้างจะติดขัด “เฝ่ยหราน ตกมาอยู่ในมือเจ้า ข้ายอมแพ้ทั้งกายและใจ จะฆ่าจะแกงกันอย่างไรก็ตามแต่ใจเจ้าเถอะ”
คนผู้นั้นพยักหน้า เอ่ยแค่สองคำว่า ตกลง
หลูอิงหน้าม่อยทันใด ไม่เหลือมาดวีรบุรุษผู้องอาจอีกแม้แต่น้อย “เซียนกระบี่เฝ่ยหราน พวกเรามาคุยกันอีกสักหน่อยดีไหม? ขอแค่เหลือทางรอดให้ข้า ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็สามารถทำให้ท่านได้ทุกเรื่องแน่นอน”
คนผู้นั้นยื่นมือข้างหนึ่งออกมา นิ้วทั้งห้างอเป็นตะขอบีบลำคอของหลูอิง พริบตานั้นอย่าว่าแต่หลูอิงจะขยับปากพูดอะไรได้เลย แม้แต่จะใช้เสียงในใจพูดก็ยังเป็นความเพ้อฝัน แต่คนผู้นั้นกลับพูดเร่งเร้าว่า “คุย? เจ้าก็คุยมาสิ ทางรอด? อย่าว่าแต่หลูอิงก่อกำเนิดเลย คนมากมายขนาดนั้นที่ตายไปล้วนเพื่อเหลือทางรอดไว้ให้แก่ใบถงทวีปของพวกเจ้า ความสามารถในการด่าคนและหัวเราะเยาะคนของเจินเหรินผู้ถวายงานช่างเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าจริงๆ”
เผยเฉียนอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงนั่งลงบนธรณีประตู
อาจารย์พ่อทำอะไรพูดอะไร นางล้วนไม่สนใจ เผยเฉียเพียงแค่ยื่นมือออกไปลูบมวยผม จากนั้นนวดคลึงหน้าผาก โดยไม่ทันรู้ตัว นางก็ไม่ได้แปะแผ่นยันต์มานานหลายปีแล้ว
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่หญิงสาวยังเป็นถ่านดำน้อย อาจารย์พ่อจะช่วยสระผมให้นาง สอนนางว่าควรจะจัดการกับเส้นผมที่พันกันรุงรังอย่างไร ไม่มีเทือกเขาแห้งแล้งสายน้ำแห้งขอดหรือจิตใจคนมัวเมาชั่วร้ายอะไร บนเส้นทางการเดินทางไกลของอาจารย์และศิษย์สองคน ดูเหมือนว่าทุกที่ล้วนมีแต่ขุนเขาเขียวน้ำใส
หลายปีให้หลัง นางออกท่องยุทธภพเพียงลำพัง มักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่าหาอาจารย์ก็เหมือนหาครรภ์มาเกิด นางรู้สึกว่าคำพูดของคนโบราณช่างมีเหตุผลยิ่งนัก มีอาจารย์พ่อ นางก็เหมือนแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ได้มาเกิดใหม่เป็นคนใหม่ ได้เกิดในครรภ์ที่ดีคือเรื่องที่ดีที่สุดในใต้หล้าแล้ว
อันที่จริงตลอดหลายปีมานี้อาจารย์พ่อไม่อยู่ข้างกาย บางครั้งเผยเฉียนก็รู้สึกว่าการฝึกหมัดช่างลำบากยิ่งนัก ปีนั้นหากไม่ได้ฝึกหมัดก็คงจะหลบอยู่บนภูเขาลั่วพั่วตลอดไป แบบนั้นจะดีกว่าหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพออาจารย์พ่อหวนกลับคืนมา แม้แต่ชายแขนเสื้อของอาจารย์พ่อเผยเฉียนยังไม่กล้าจับ นี่ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกเช่นนั้นเข้าไปใหญ่ เติบโต ไม่มีอะไรดีเลย แต่เมื่อวันนี้นางแฝงตัวเข้ามาในจวนแห่งนี้เป็นเพื่อนอาจารย์พ่อ ดูเหมือนว่าในที่สุดอาจารย์พ่อก็ไม่ต้องแบ่งสมาธิมาคอยดูแลนาง ไม่จำเป็นต้องกำชับนางว่าต้องทำอะไร ไม่ควรทำอะไรอีกแล้ว และดูเหมือนว่าในที่สุดนางก็พอจะทำอะไรบางอย่างเพื่ออาจารย์พ่อได้บ้างแล้ว เผยเฉียนจึงรู้สึกขึ้นมาอีกว่าฝึกหมัดนั้นดีมาก ความลำบากที่เจอมายังไม่มากพอ ขอบเขตยังไม่สูงพอ
รอกระทั่งเผยเฉียนคืนสติก็สังเกตเห็นว่าอาจารย์พ่อยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงตรงข้ามกับหลูอิง
เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ยสั่งสอน “อยู่ต่อหน้าศัตรูตัวกฉกาจก็กล้าเสียสมาธิแบบนี้หรือ?”
เผาเฉียนเกาหัว “ก็มีอาจารย์พ่ออยู่นี่นา ข้าเลยแอบอู้”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่
เผยเฉียนรีบกล่าวทันใด “ทราบแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์พ่อ ครั้งหน้าข้าจะระวัง”
แต่บอกตามตรง ต่อให้เผยเฉียนยืนนิ่งไม่ขยับรับเวทคาถาท่าไม้ตายของหลูอิงที่เป็นก่อกำเนิด แล้วอย่างไร นางก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อย จากนั้นเขาก็จะต้องถูกสองสามหมัดต่อยตายอย่างไร้ข้อกังขาไม่ใช่หรือ?
ไม่ใช่ว่าเผยเฉียนดูแคลนผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลจริงๆ แต่หากพูดกันถึงแค่ร่างกาย ต่อให้เป็นขอบเขตหยกดิบก็เหมือนกับแผ่นไม้ไผ่บางๆ เหมือนกระดาษเปียกอย่างไรอย่างนั้น
โดนแค่หมัดสองหมัดก็ชอบล้มผลึ่งแกล้งตาย พยายามขุดเงินไปจากนางเต็มที่
เพียงแต่ว่าเผยเฉียนหรือจะกล้าพูดแบบนี้กับอาจารย์พ่อ ขออะไรก็อย่าได้ขอมะเหงกเด็ดขาด สตรีมีอายุอย่างผู้คุมกฎฉางมิ่งนับว่าพูดจาพอจะเข้าเค้าได้มาตรฐานอยู่บ้างจริงๆ
เผยเฉียนกวาดตามองไปรอบด้าน คือฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งที่ปราณกระบี่อึมครึมน่าสะพรึงกลัว
อาจารย์พ่อเป็นเซียนกระบี่แล้วหรือนี่
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเผยเฉียนคิดเหลวไหลอะไรอยู่ เขาเพียงแค่ลากตัวผู้อาวุโสก่อกำเนิดที่ได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่มานานมาพูดคุยความในใจกันเท่านั้น
ด้านหนึ่งฟังหลูอิงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเฝ่ยหรานที่แพร่ไปไม่กว้างขวางนัก ด้านหนึ่งด่าขำๆ ไปด้วยว่า “เจ้าชาติสุนัข หน้าด้านไร้ยางอาย ข้าไม่มีหลานอย่างเขาหรอก”
ในใจหลูอิงตะลึงลานสุดขีด เซียนกระบี่เฝ่ยหรานท่านยังจะแสดงอะไรให้ข้าดูอีกเล่า? เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มีความหมายที่ตรงใด?
เฉินผิงอันกลับไม่ถือสาที่หลูอิงจะยืนหยัดเชื่อมั่นว่าตนคือเฝ่ยหราน
ทางที่ดีที่สุดก็ให้ตู้หันหลิงของอารามจินติ่งคิดแบบนี้ไปด้วย หากทั้งสองฝ่ายต่างก็ ‘รู้กันดีอยู่แก่ใจ’ สถานการณ์จะเปลี่ยนมาเป็นน่าสนใจอย่างถึงที่สุด
ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา หลูอิงร่ายเวทกักตัวใส่สาวงามยันต์ที่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูของจวนอยู่ไกลๆ ก่อน จากนั้นค่อยพาเค่อชิงเฉาโม่ไปส่งที่หน้าประตูใหญ่เพียงลำพัง แม้ว่าผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแห่งอารามจินติ่งจะมีท่าทางเป็นมิตรปรองดอง ทว่าสีหน้ากลับเผยความเย่อหยิ่งลำพองออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เห็นได้ชัดว่ายังคงเห็นตัวเองเป็นผู้อาวุโส พูดจาให้กำลังใจเฉาโม่อยู่สองสามคำแล้วทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกันไป
——