บทที่ 756.4 เป็นแขก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เจียงซ่างเจินเอาเรือข้ามฟากเรือเมฆาที่ตลอดทั้งลำเป็นสีขาวหิมะออกมาลำหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นของสะสมส่วนตัว เรือข้ามฟากลำนี้หลอมขึ้นจากแสงจันทร์และเมฆขาวของพื้นที่มงคล ยามเดินทางตอนค่ำคืนจะว่องไวอย่างมาก ระดับขั้นพอๆ กับเรือมังกร ‘ฟานโม่’ ของภูเขาลั่วพั่ว

เจียงซ่างเจินไม่ได้โดยสารเรือขึ้นเหนือไปด้วย บอกว่ายังจำเป็นต้องอยู่ที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาอีกประมาณหนึ่งเดือน รอให้การประเมินเทพีบุปผาสามสิบหกท่านของหอแยนจือเสร็จสิ้นเสียก่อน เขาค่อยออกเดินทางแล้วจะไปเจอกันที่ยอดเขาเทียนแจว๋

ป๋ายเสวียนค่อนข้างมีความสุข ในที่สุดก็สามารถมีห้องพักเพียงลำพังแล้ว สหายอย่างพี่ใหญ่โจวเฝยที่ทั้งมีเงินทั้งมีน้ำใจมีคุณธรรมเช่นนี้ ควรค่าแก่การผูกมิตรอย่างยิ่ง

ในบรรดาเด็กๆ เก้าคน ซุนชุนหวังไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น เพราะนางถูกกักตัวอยู่ในจักรวาลชายแขนเสื้อของชุยตงซานอยู่ตลอด ชุยตงซานสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่าแม่นางน้อยดื้อด้านผู้นี้จะสามารถทนอยู่ข้างในได้สักกี่สิบปีกันแน่

จิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุด อาจเป็นหยกดิบก้อนหนึ่งที่จำเป็นต้องผ่านการขัดเกลาเจียระไนอย่างตั้งใจ อาจเป็นเหล็กก้อนหนึ่งที่จำเป็นต้องทุบตีอย่างรุนแรง อาจเป็นดวงจันทร์ในน้ำที่ต่อให้วัตถุภายนอกจะทุบตีมันให้แหลกสลาย มันก็จะกลับมาเต็มดวงได้ใหม่อีกครั้ง

ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าตัวอ่อนเซียนกระบี่ทุกคนจะเหมาะมาขัดเกลาจิตแห่งมรรคาอยู่ในชายแขนเสื้อของชุยตงซาน นอกจากซุนชุนหวังแล้ว อันที่จริงป๋ายเสวียนและอวี้ชิงจางต่างก็ค่อนข้างเหมาะสม

ชุยตงซานนั่งบนราวรั้ว หยิบพัดพับเล่มหนึ่งออกมาเคาะบนฝ่ามือเบาๆ ถามว่า “ได้ยินเจ้าอ้วนน้อยเล่าว่าตลอดหลายปีที่ฝึกกระบี่อยู่ในปิ่นหยก อันที่จริงเจ้าเหมือนคนใบ้อย่างมาก นอกจากกินข้าว ฝึกกระบี่ นอนหลับแล้ว อย่างมากสุดก็แค่ยืมหนังสือจากอวี้ชิงจางมาอ่าน ตีหน้าเย็นชา ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ ทำไมพอเจอกับอาจารย์ข้าถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ล่ะ?”

ป๋ายเสวียนที่นั่งอยู่ด้านข้างใคร่ครวญหาคำพูดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ประหนึ่งเข้าห้องที่มีกลิ่นหอมของดอกจือหลัน (ดอกไอริสและดอกกล้วยไม้) นานวันเข้ากลิ่นหอมย่อมติดตัว”

ชุยตงซานกระตุกมุมปาก “ไม่มีความจริงใจมากพอ”

ป๋ายเสวียนไหล่ลู่คอตก เงียบไปนานก่อนจะเงยหน้ามองไปยังทะเลเมฆห่างไกล ทะเลเมฆกับดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ทัศนียภาพงามเลิศล้ำ เหมือนหัวกำแพงเมืองอันเป็นบ้านเกิดยิ่งนัก

ชุยตงซานกล่าว “ทำไมถึงต้องตั้งฉายาให้ตัวเองว่าอิ่นกวานน้อยน้อย?”

ป๋ายเสวียนตอบเสียงเบา “อาจารย์ของข้าคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร อาจารย์ของอาจารย์ก็เพิ่งจะเป็นแค่โอสถทอง อันที่จริงพวกเราสามคนต่างก็ยากจน เพื่อที่จะให้ข้าได้ฝึกกระบี่จึงยิ่งยากจนเข้าไปใหญ่”

ชุยตงซานถาม “อาจารย์ของเจ้าคือสตรีหรือ?”

ป๋ายเสวียนอืมรับหนึ่งที “หน้าตาไม่งดงาม แล้วยังชอบด่าคน ตอนเด็กๆ ข้าชอบเล่นสนุก ทุกครั้งที่โดนด่าแล้วรู้สึกเสียใจก็จะออกไปจากบ้าน ไปเดินเล่นแถวถนนไท่เซี่ยงและถนนอวี้ฮู่สักรอบหนึ่ง บ่นว่าอาจารย์คือคนยากจน คิดว่าหากตัวเองถูกเซียนกระบี่ที่มีเงินรับเป็นลูกศิษย์ ไหนเลยจะต้องเจอกับความลำบากมากมายขนาดนั้น เงินจะนับเป็นอะไรได้”

ตอนเด็ก…

อันที่จริงป๋ายเสวียนในเวลานี้ก็ยังเป็นเด็ก

เพียงแต่ว่าเด็กทุกคนในใต้หล้าล้วนรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กแล้ว และคนแก่ทุกคนก็มักกลัวว่าตัวเองจะแก่เกินไป

ชุยตงซานกล่าว “ตอนที่อาจารย์ของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสบนสนามรบ ก่อนที่นางจะจากไป เจ้าคอยอยู่เป็นเพื่อนนางตลอดใช่ไหม?”

ป๋ายเสวียนเงียบไปนาน สุดท้ายพยักหน้า เอ่ยเสียงแผ่ว “ก็ไม่ได้อยู่ตลอด แค่อยู่เป็นเพื่อนอาจารย์ได้คืนเดียว ตอนที่อาจารย์ถอยออกมาจากสนามรบ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตไม่เหลืออยู่แล้ว ใบหน้าก็ถูกปราณกระบี่ปั่นคว้านจนเละ หากไม่เป็นเพราะยาชนิดนั้นของใต้เท้าอิ่นกวาน อาจารย์ก็คงไม่อาจอดทนอยู่ได้นานขนาดนั้น ไม่ทันฟ้าสางก็ต้องตายแล้ว ทุกครั้งที่อาจารย์พยายามฝืนลืมตาคล้ายอยากจะมองข้าให้ชัดเจน ล้วนน่าตกใจมาก ทุกครั้งที่นางยิ้มให้ข้าก็น่ากลัวมากยิ่งกว่า ข้าไม่กล้าส่งเสียงร้องไห้ อันที่จริงข้าก็รู้ว่าท่าทางของตัวเองในเวลานั้นไม่ได้เรื่องเลย จะต้องทำให้อาจารย์เสียใจมากแน่ๆ แต่ช่วยไม่ได้ ข้ากลัวจริงๆ นี่นา”

ดังนั้นป๋ายเสวียนถึงได้กลัวผีสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดถึงเพียงนั้น

ป๋ายเสวียนเอ่ยเสียงเบา “สงครามครั้งนั้น ไม่ชนะ แต่พวกเราก็ไม่ได้แพ้นะ ดังนั้นข้าจึงซาบซึ้งใจในตัวเฉินผิงอันอย่างมาก เขาทำให้อาจารย์ของข้า อาจารย์ของอาจารย์ข้า ไม่ได้ตายไปอย่างเปล่าประโยชน์”

ชุยตงซานถาม “ผ่านมานานขนาดนี้แล้วเคยคิดที่จะพูดอะไรกับอาจารย์ของเจ้าบ้างไหม?”

“ไม่เคยคิด”

ป๋ายเสวียนส่ายหน้า คิดแล้วก็เอ่ยว่า “คาดว่าคงจะพูดแค่ประโยคเดียวว่า ข้าจะตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี อาจารย์โปรดวางใจ”

เด็กชายมีสีหน้าแน่วแน่จริงจัง กำลังคิดถึงอาจารย์ของเขาอยู่

ชุยตงซานร้องอ้อหนึ่งที

พริบตานั้น

ฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาล ป๋ายเสวียนมองเห็นว่าห่างไปไม่ไกลมีผีสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดตนหนึ่ง เขาจำได้ว่านางก็คืออาจารย์ของตัวเอง

อาจารย์กำลังมองเขา

ป๋ายเสวียนพลันค้นพบว่า ที่แท้ตัวเองมีคำพูดมากมายอยากพูดกับอาจารย์ อีกทั้งยังไม่กลัวสภาพของนางมากมายถึงเพียงนั้นอีกแล้ว

ป๋ายเสวียนเดินเข้าไปหา ยื่นมือออกไปกุมชายแขนเสื้อของนางเบาๆ

ชุยตงซานยืนห่างมาทางด้านหลังของอาจารย์และศิษย์สองคน มองภาพนี้อยู่ไกลๆ

บนเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันอยู่ในห้องของตัวเองแกะสลักตราประทับอักษรสีชาดชิ้นหนึ่ง ด้านล่างภูเขา เรื่องของการแกะสลักก้อนหินและทอง แต่ไหนแต่ไรมาการแกะสลักอักษรสีชาดก็ยากกว่าอักษรสีขาวมาโดยตลอด

เผยเฉียนนั่งนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง หลังจากอาจารย์พ่อแกะสลักตัวอักษรเบื้องล่างตราประทับเสร็จก็ถามว่า “อาจารย์พ่อจะมอบมันให้กับเทพเซียนผู้เฒ่าลู่ของตำหนักพยัคฆ์เขียวหรือ?”

ยอดเขาเทียนแจว๋ภูเขาชิงจิ้ง ลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียว

เผยเฉียนมีความทรงจำที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่พูดเก่งมาก ความสามารถในการโอภาปราศรัยอย่างมีมารยาทและการมอบน้ำใจให้ผู้อื่นเรียกได้ว่าสุดยอด

อาจารย์พ่อบอกว่าครั้งนี้เดินทางขึ้นเหนือ สถานที่ที่จะแวะพักเท้ามีอยู่สองสามแห่ง นอกจากยอดเขาเทียนแจว๋แล้ว เรือข้ามฟากจะไปจอดอยู่ใกล้กับลำคลองม่ายเหอและนครเซิ่นจิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียน อาจารย์พ่อบอกว่าจะไปพบเหนียงเนียงเทพวารีท่านนั้น รวมไปถึงแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาที่ว่ากันว่าล้มหมอนนอนเสื่อลุกไม่ขึ้นแล้ว

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ของขวัญพบหน้าไงล่ะ”

ริมขอบของตราประทับสลักคำว่า จิตใจเมตตาคือลมและน้ำที่ดีที่สุด

อักษรด้านล่างของตราประทับ ชิงจิ้ง (ดินแดนที่สะอาดบริสุทธิ์)

เฉินผิงอันหยิบตำราปึกหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ เขาซื้อมาจากตลาดของท่าเรือชวีซาน “กลับห้องไปคัดตัวอักษร”

เผยเฉียนกลับไม่ได้ขยับเท้า นางหยิบกระดาษพู่กันออกมานั่งคัดตัวอักษรอยู่กับอาจารย์พ่อ

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ห้ามปราม ลุกขึ้นมาดูการคัดตำราของเผยเฉียน พยักหน้าเอ่ยว่า “ตัวอักษรเขียนได้ไม่เลว มีมาดครึ่งหนึ่งของอาจารย์พ่อแล้ว”

เผยเฉียนกำลังจะพูดประโยคจากใจจริงสักสองสามคำ เฉินผิงอันกลับงอนิ้วเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ พร้อมเอ่ยเตือนเสียก่อน “คัดตัวอักษรต้องมีสมาธิ”

เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปที่เดิม หยิบตำราขึ้นมาหนึ่งเล่ม

ลูกศิษย์คัดตำรา อาจารย์พ่ออ่านตำรา

แคว้นเป่ยจิ้นที่ชายแดนทางทิศใต้เชื่อมติดกับราชวงศ์ต้าเฉวียน มีดีกว่าหนันฉีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือได้สืบทอดโชคชะตาแคว้นต่อ หลังจากผ่านการพักฟื้นตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาได้บ้างแล้ว

เมืองหลวงของหนันฉี ในฐานะที่เคยเป็นพื้นที่ตั้งฐานทัพของกระโจมทัพแห่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จุดจบของขุนเขาสายน้ำในหนึ่งแคว้นจะเป็นเช่นไร แค่คิดก็พอจะรู้ได้ ศาลบุ๋นบู๊ทุกแห่งถูกทุบทำลาย ส่วนเทพอภิบาลเมือง เทพแห่งผืนดินและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำทั้งหลายก็ล้วนถูกเผ่าปีศาจในพื้นที่ของใบถงทวีปยึดครองตำแหน่งสูงไปหมด นับตั้งแต่ราชสำนักไปจนถึงยุทธภพ แค่คำว่าเต็มไปด้วยมลพิษสกปรกจึงไม่มากพอจะเอามาบรรยายได้แล้ว

วันนี้เฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง มาที่หัวเรือ เผยเฉียนกำลังก้มหน้าหลุบตาลงมองพื้นดิน ข้างกายของนางมีแม่นางน้อยสองคนอย่างน่าหลันอวี้เตี๋ยและเหยาเสี่ยวเหยียนยืนอยู่ด้วย

เฉินผิงอันถาม “จะต้องผ่านอาณาเขตของจวนจินหวงใช่หรือไม่?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง คำนวณอยู่ครู่หนึ่ง “อีกประมาณแปดร้อยลี้”

นางยังนึกว่าอาจารย์พ่อจะลืมเรื่องนี้แล้วเสียอีก

หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ยามนั้นมีเพียงนางคนเดียวที่เดินทางท่องเที่ยวใบถงทวีปเป็นเพื่อนอาจารย์พ่อ เป็นครั้งแรกที่เผยเฉียนได้เห็นขบวนตีฆ้องตีกลองของเทพภูเขาแต่งภรรยา ภายหลังยังถูกหอบเข้าไปในการเข่นฆ่าระหว่างเทพภูเขาและสุ่ยจวินโดยบังเอิญอีกด้วย

ก่อนจะได้กลับมาเจอกับอาจารย์พ่ออีกครั้ง เผยเฉียนเดินทางท่องเที่ยวใบถงทวีปคนเดียวโดยใช้เส้นทางเดิม ระหว่างทางจึงผ่านจวนจินหวงที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ เพียงแต่เผยเฉียนไม่มีความคิดจะแวะไปเยี่ยมเยือน

ฝู่จวินของจวนจินหวงแคว้นเป่ยจิ้น ปีนั้นถูกองค์ชายสามของราชวงศ์ต้าเฉวียนพาคนมาวางแผนเล่นงาน จึงกลายเป็นนักโทษ ถูกกุมตัวไปขังที่นครเซิ่นจิ่ง คิดไม่ถึงว่ากลับได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย ทำให้หนีพ้นหายนะครานั้นมาได้

เผยเฉียนบอกเล่าสถานการณ์ของจวนจินหวงช่วงที่ผ่านมาให้อาจารย์พ่อฟังคร่าวๆ ล้วนเป็นเรื่องที่นางได้ยินได้ฟังมาจากล่างภูเขาช่วงก่อนหน้านี้ที่นางออกเดินทางเพียงคนเดียว ผีสาวภรรยาที่ฝู่จวินรับมาในปีนั้น ทุกวันนี้ได้กลายเป็นสุ่ยจวินของทะเลสาบใหญ่บริเวณใกล้เคียงแล้ว แม้ว่าขอบเขตของนางจะไม่สูง แต่ระดับขั้นก็ไม่ถือว่าต่ำ ว่ากันว่าล้วนเป็นฝีมือของฮ่องเต้หญิงแห่งต้าเฉวียน กลายเป็นเรื่องเล่างดงามบนภูเขาที่ผู้คนพูดถึงกันอย่างแพร่หลายเรื่องหนึ่ง

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พอดีเลย ปีนั้นข้ากับฝู่จวินเทพภูเขาท่านนั้นนัดหมายกันไว้ว่าในอนาคตขอแค่ผ่านทางไปเป็นแขกที่จวนจินหวง จะต้องไปขอสุราจากเขาดื่มสักจอก”

ชุยตงซานเดินเล่นอยู่บนราวรั้ว ด้านหลังมีป๋ายเสวียนที่เอาสองมือไพล่หลังเดินตามมา ด้านหลังป๋ายเสวียนก็คือเฉิงเฉาลู่ที่ฝึกหมัดเดินนิ่ง ชุยตงซานตะโกนคุย “อาจารย์กับพี่หญิงใหญ่เชิญไปเป็นแขกได้ตามสบาย มอบให้เรือข้ามฟากให้ข้าจัดการเอง”

ด้านหลังป๋ายเสวียนสะพายกระบี่ไม้ไผ่ที่อยู่ในฝักไม้ไผ่เล่มหนึ่ง

น่าหลันอวี้เตี๋ยกับเหยาเสี่ยวเหยียนต่างก็รู้สึกลิงโลด คาดหวังกันอยู่ไม่น้อย

จวนของเทพภูเขาเชียวนะ เป็นสถานที่ที่หาได้ยากจะตายไป พวกนางยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

เฉินผิงอันเรียกเรือยันต์ลำหนึ่งออกมา จะพาเผยเฉียนกับแม่นางน้อยสองคนทะยานลมเดินทางไกลไปด้วยกัน

เหอกูและอวี๋เสียหุยสองคนวิ่งตะบึงมาถึง โหวกเหวกว่าจะไปเปิดหูเปิดตาด้วย

ป๋ายเสวียนถอนหายใจ โคลงศีรษะพูด “นิสัยเด็กน้อย ช่างอ่อนหัดนัก”

ผลคือถูกชุยตงซานคว้าจับหัวเอาไว้แล้วโยนไกลๆ ไปทางเรือยันต์ลำนั้น

ป๋ายเสวียนหัวเราะร่าเสียงดัง บิดหมุนตัว กระบี่ไม้ไผ่ออกจากฝัก ป๋ายเสวียนเหยียบลงบนกระบี่ไม้ไผ่ เร่งความเร็วไล่ตามไปทางเรือยันต์ ครั้นจึงพลิ้วกายลงลำเรือ กระบี่ไม้ไผ่สอดกลับเข้าฝักด้วยตัวเอง

ทำเอาเหอกูและอวี๋เสียหุยที่มองดูอยู่รู้สึกอิจฉายิ่งนัก เจ้าป๋ายเสวียนผู้นี้ไม่เสียแรงที่เป็นขอบเขตถ้ำสถิต

น่าหลันอวี้เตี๋ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อาจารย์เฉาบอกแล้วว่าไม่อนุญาตให้พวกเราเปิดเผยสถานะของผู้ฝึกกระบี่”

ป๋ายเสวียนหลุดหัวเราะพรืด “แม่นางน้อยหนอแม่นางน้อย ผมยาวความรู้ย่อมสั้น มีพี่ใหญ่ชุยอยู่ด้วย ขุนเขาสายน้ำ ลมพัดไปเมฆพัดมา นายน้อยอย่างข้าไม่มีเรื่องใดให้ต้องกริ่งเกรง”

เผยเฉียนยิ้มถาม “ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกริ่งเกรง? นี่เป็นหลักการเหตุผลที่ห่านขาวใหญ่สอนเจ้าหรือ?”

ป๋ายเสวียนรีบชั่งน้ำหนักระหว่าง ‘ศิษย์พี่หญิงใหญ่’ กับ ‘ศิษย์พี่เล็ก’ ทันที คงเพราะรู้สึกว่ายังคงเป็นชุยตงซานที่ร้ายกาจมากกว่า เป็นคนจะเป็นหญ้ายอดกำแพงไม่ได้ เขาที่เอาสองมือไพล่หลังจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ก็ใช่น่ะสิ พี่ใหญ่ชุยยังกำชับข้าว่า วันหน้าเวลาจะพูดคุยกับใครก็ให้ใจกล้าๆ หน่อย พี่ใหญ่ชุยยังบอกด้วยว่าจะสอนวิชาหมัดล้ำโลกหลายบทให้กับข้า บอกว่าด้วยคุณสมบัติของข้าฝึกหมัดแค่ไม่กี่วันก็เท่ากับเจ้าอ้วนน้อยเรียนวิชาหมัดหลายปีแล้ว วันหน้ารอให้ข้าลงจากเขาไปหาประสบการณ์เพียงลำพังเมื่อไหร่ เดินนิ่งลุยน้ำข้ามผ่านแม่น้ำลำคลอง ขี่กระบี่บินสูงเหนือยอดเขา สง่างามอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ชุยทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง บอกว่าในอนาคตบนภูเขาลั่วพั่ว ข้าจะเป็นทั้งเซียนกระบี่ทั้งปรมาจารย์ ดังนั้นจึงเป็นข้าที่เหมือนอาจารย์ของเขามากที่สุด”

เผยเฉียนยิ้มบางๆ “เรียนหมัดก็ดีสิ”

ป๋ายเสวียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบพูดเหมือนล้อมคอกเมื่อวัวหาย “พี่หญิงเผย วันหน้าหากต้องประลองฝีมือกันจริงๆ ท่านต้องกดขอบเขตนะ ถึงอย่างไรข้าก็อายุยังน้อย เรียนหมัดช้ากว่า”

เผยเฉียนพยักหน้า “ไม่มีปัญหา ถึงเวลานั้นข้าจะต้องกดขอบเขตไว้กี่ขั้นก็ล้วนให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจ”

ป๋ายเสวียนหัวเราะฮ่าๆ “พี่หญิงเผยคือคนฝึกยุทธ น้ำลายหนึ่งคำก็เทียบเท่าตะปูหนึ่งดอก แต่พี่หญิงเผยก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไป แม้ว่าข้าจะเรียนหมัดทีหลัง แต่ข้าเรียนหมัดได้เร็ว ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วยิ่งกว่า ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนประลองฝีมือกัน คาดว่าพี่หญิงเผยคงไม่ต้องกดขอบเขตไว้มากนัก”

เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที “แน่นอนอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองป๋ายเสวียนด้วยสายตาเวทนา เจ้าตะพาบน้อยที่อวดฉลาดผู้นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นต้นครามเกิดจากครามแต่สีเข้มกว่าครามยิ่งกว่าเฉินหลิงจวินเสียอีก

ป๋ายเสวียนใช้เสียงในใจถาม “อวี้เตี๋ย อวี้เตี๋ย เผยเฉียนผู้นี้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตอะไรกันแน่? พวกเราเป็นคนบ้านเดียวกันนะ เจ้าห้ามจงใจหลอกข้าเพราะเห็นคนนอกดีกว่าเด็ดขาด”

น่าหลันอวี้เตี๋ยตอบ “พี่หญิงเผยไม่เคยบอกขอบเขตของตัวเองให้รู้ ตอนอยู่บนยอดเขาอวิ๋นจี๋เสี่ยวเหยียนถามอยู่นานเป็นครึ่งวัน พี่หญิงเผยก็แค่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร ถึงท้ายที่สุดถูกเสี่ยวเหยียนเซ้าซี้ถามจนรำคาญ พี่หญิงเผยเฉียนจึงบอกแค่ว่าหากนางต้องประลองฝีมือกับอาจารย์พ่อ คาดว่าคงต้องมีเผยเฉียนสักร้อยคนฝีมือถึงพอจะสูสีกันได้อย่างถูไถ”

ป๋ายเสวียนชำเลืองมองหญิงสาว น่าสงสารนัก เป็นถึงลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของใต้เท้าอิ่นกวาน แต่ดูท่าแล้วพรสวรรค์จะธรรมดาอย่างมากเลย

อยู่ห่างจากจวนจินหวงอีกร้อยกว่าลี้บนเส้นทางภูเขา เรือยันต์พลันจอดลงพื้นอย่างเงียบเชียบ คนทั้งกลุ่มเดินเท้ากันไปยังจวนเทพภูเขา

ป๋ายเสวียนถามว่า “อาจารย์เฉา เล่นอะไรน่ะ สองข้าเดินเปลืองแรงจะตายไป ไม่มีมาดแห่งเซียนมากพอ ระวังพวกเราจะต้องกินน้ำแกงประตูปิดหน้าจวนจินหวงเข้าล่ะ ใต้เท้าฝู่จวิน แค่ฟังก็รู้แล้วว่าต้องเป็นขุนนางใหญ่ที่มีเรือนเป็นของตัวเอง พี่ใหญ่ชุยบอกกับข้าว่าที่ใต้หล้าไพศาล คนเฝ้าประตูของอัครเสนาบดีก็คือขุนนางระดับสาม องอาจมากเลยล่ะ”

น่าหลันอวี้เตี๋ยบ่นว่า “เจ้านี่พูดมากจริง ขอบเขตถ้ำสถิตแต่กลับพูดจาเหมือนเซียนกระบี่”

เหอกูพยักหน้า “ไม่เหมาะสมเลย”

อวี๋เสียหุยเอ่ยเสริมมาว่า “ฉายาอิ่นกวานน้อยน้อยนั่นยังไม่ค่อยพอ ต้องอิ่นกวานใหญ่ใหญ่ถึงจะคู่ควรกับป๋ายเสวียนของพวกเรา”

ป๋ายเสวียนเหล่ตามองพวกเขาสามคน “รอให้ข้าเริ่มเรียนวิชาหมัดเมื่อไหร่ เดี๋ยวก็เลื่อนเป็นขอบเขตห้าขอบเขตหกได้อย่างง่ายดายแล้ว บวกกับขอบเขตถ้ำสถิต พวกเจ้าลองคิดคำนวณกันเอาเองเถอะว่าใช่ห้าขอบเขตบนแล้วหรือยัง”

เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

——