WSSTH ตอนที่ 3,280 : จ้าวแห่งพฤกษาทั้งมวล
“ต้วนหลิงเทียน ข้าต้องยอมรับว่าพลังความแข็งแกร่งของเจ้าสูงส่งยิ่ง…ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ในฐานะมนุษย์แท้ เจ้ากลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงระดับนั้น ข้าต้องกล่าวเลยว่าเจ้าเป็นสุดยอดอัจฉริยะในมวลหมู่มนุษย์จริงๆ!!”
บริเวณกลางลำต้นของต้นไม้เทพสนหลิว พลันขมุกขมัวก่อนที่จะปรากฏใบหน้าหนึ่งขึ้น หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามันเป็นใบหน้าของฝานฉี!
ใบหน้าฝานฉีกลางลำต้นนั้นกำลังกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “อย่างไรก็ตาม วันนี้เจ้าถูกลิขิตให้ต้องตายคามือข้าฝานฉี!”
“ร่างที่แท้จริงของข้าฝานฉีคนนี้คือต้นไม้เทพสนหลิว ด้วยความแข็งแกร่งของร่างดั้งเดิมข้า รวมกับความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่ข้าเข้าใจ..ในวังเทียนฉือแห่งนี้ ใต้ขอบเขตจักรพรรดิอมตะ มีศิษย์อัจริยะไม่กี่คนเท่านั้นที่เอาชนะข้าได้!”
“แต่ศิษย์อัจฉริยะที่เป็นมนุษย์แท้ใต้ขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ไม่มีใครสามารถหยุดข้าได้!!”
ใบหน้าฝานฉีกลางลำต้นกล่าว น้ำเสียงยังหนักแน่นมั่นคง บอกให้รู้ว่ามันเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า ราวกับได้ตัดสินชะตาของต้วนหลิงเทียนแล้วจริงๆ
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าที่แท้ร่างจริงของฝาฉีจะไม่ใช่ต้นไม้อมตะ แต่เป็นต้นไม้เทพสนหลิว!”
สองตาหวงลู่หนานเปล่งประกายเจิดจรัส ราวกับกำลังเห็นฉากฝานฉีฉีกร่างต้วนหลิงเทียนเป็นชิ้นๆก็ไม่ปาน
ลูกตาเหลยจวิ้นเองก็ลุกวาวขึ้นมาเช่นกัน
ตอนเห็นฝานฉีกับต้วนหลิงเทียนประมือกันและฝานฉีตกเป็นรอง มันก็อดรู้สึกเสมือนใจโดนบีบรัด พอมาเห็นฝานฉีเปลี่ยนเป็นต้นไม้เทพสนหลิว มันก็ตระหนักได้ทันทีว่าคราวนี้เรื่องราวคงไม่มีพลิกผันใดๆอีก
ต้วนหลิงเทียน ไม่อาจสู้ฝานฉีที่หวนคืนร่างต้นไม้เทพสนหลิวได้แน่!
“คราวนี้เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันได้ตายแน่!”
ไม่นานเหลยจวิ้นก็หันไปมองจ้องร่างในชุดสีขาวที่ลอยอยู่ไม่ไกล ลึกลงไปในแววตายังฉายชัดถึงความปรารถนาอันแรงกล้า!
“ต้นไม้เทพสนหลิว?”
ไม่ไกลจากฮ่วนเอ๋อ หูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อและหงเฟย สีหน้าท่าทีแต่ละคนเปลี่ยนเป็นไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
ถึงแม้พวกมันจะรู้แต่แรกว่าฝานฉีเป็นต้นไม้อมตะ แต่พวกมันไม่รู้ว่าฝานฉีเป็นต้นไม้อมตะชนิดใด
พอมาเห็นร่างที่แท้จริงของฝานฉีกับกลายเป็นต้นไม้เทพสนหลิว พวกมันจึงตระหนักได้ทันทีว่าร่างจริงของฝานฉีนั้นแทบจะเทียบเทียมได้กับสัตว์เทพ!
หลังจากสิ่งมีชีวิตระดับนี้หวนคืนสู่ร่างดั้งเดิม พลังความแข็งแกร่งย่อมไม่ด้อยไปกว่าร่างที่แท้จริงของเหล่าสัตว์เทพเลย
“ที่แท้เจ้าฝานฉีนั่นมันเป็นต้นไม้เทพสนหลิว…มิน่ามันถึงได้มั่นใจขนาดนั้น…”
หงเฟยส่ายหน้าไปมาอย่างสะทกสะท้อน เสียงกล่าวยังสั่นเครือ
“ศิษย์พี่หญิง พวกเราเร่งส่งข้อความหาอาจารย์เร็วเข้า ลองดูว่าท่านอาจารย์จะหยุดการต่อสู้ครั้งนี้ได้หรือไม่”
ถึงแม้จะรู้ดีว่าต่อให้ส่งข้อมูลไปยังฉือหล่าง ก็คงไม่อาจหยุดยั้งการประลองเบื้องหน้าได้ แต่หูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อก็ได้แต่ส่งข้อความเล่าเรื่องราวสั้นๆไปให้ฉือหล่าง
แน่นอนว่าในข้อความสั้นๆย่อมมีข้อมูลที่สำคัญที่สุด อย่างเรื่องที่ตอนนี้ศิษย์น้องเล็กอย่างต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แทบจะครบหมดแล้ว
“ต้วนหลิงเทียน…นอกจากความลึกซึ้งเคลื่อนมิติที่ไม่แน่ชัดว่าเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้วหรือยัง ความลึกซึ้งประการอื่นของกฏมิติได้เข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมดแล้ว?”
จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่างเดิมที่กำลังนั่งบ่มเพาะพลังอยู่ พอได้รับข้อความจากศิษย์คนที่ 3 กับ 4 สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปทันที ยังลุกขึ้นยืนพรวด!
กระทั่งตัวมันเองก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าศิษย์คนเล็กที่พึ่งได้มา จะมีความสำเร็จในกฏมิติสูงล้ำถึงขนาดนี้
ฟุ่บบ!
ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ร่างฉือหล่างวูบหายไปจากสถานที่บ่มเพาะทันที และไม่นานก็มาปรากฏตัวยังสังเวียนอัจฉริยะใกล้ๆกับจุดที่หูเหมยและคนอื่นๆยืนอยู่
“ท่านอาจารย์ท่านมาได้พอดีเลย รีบหยุดการต่อสู้ครั้งนี้เร็วเข้าเถอะ…หากปล่อยให้สู้กันตอ่ไปศิษย์น้องเล็กต้องตายแน่!!”
หลังจากที่ฉือหล่างปรากฏตัวขึ้น หงเฟยก็เร่งกล่าวออกไปเร็วไว “ด้วยพรสวรรค์และความเข้าใจของศิษย์น้องเล็ก วันหน้าหากเติบโตขึ้น ต้องกลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามได้แน่!!”
“หากศิษย์น้องต้องมาตายที่นี่ มันไม่คุ้มค่ากันเลย!!”
หงเฟยกล่าว
“ประลองเป็นตาย…ไม่ตายไม่เลิกรา?”
อย่างไรก็ตามพอรับทราบว่าต้วนหลิงเทียนกับฝานฉีกำลังอยู่ในการประลองเป็นตายแบบไม่ตายไม่เลิกรา ฉือหล่างก็ย่นคิ้วทันที
โดยปกติแล้ว เมื่อการประลองในรูปแบบนี้เริ่มต้นขึ้น ต่อให้มันจะเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปแทรกแซง
“ฉือหล่างมาแล้วงั้นเรอะ?”
ส่วนอีกด้าน ทันทีที่ฉือหล่างปรากฏตัว หานอวิ๋นจิ่นที่ตระหนักถึงการมาของอีกฝ่ายก็เร่งบดขยี้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณทันที
แน่นอนว่าข้อความที่มันส่งไปนั้น ไม่ได้ส่งไปหาอาจารย์ของมัน เพราะตอนนี้อาจารย์ของมันอย่างจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับได้ออกไปทำธุระด้านนอก ไม่ได้อยู่ในวังเทียนฉือ
ข้อความของมันถูกส่งไปให้จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ กู้ฉางเจียง ซึ่งเป็นศิษย์น้องของอาจารย์มัน และมันก็เรียกหาอีกฝ่ายว่าอาจารย์อา
“ติดต่อไปหาอาจารย์เจ้าเสีย…แค่บอกว่าข้าร้องขอให้ท่านมา”
หลังจากรายงานกู้ฉางเจียงเรื่องการมาของฉือหล่างแล้วเสร็จ หานอวิ๋นจวิ๋นก็หันไปกล่าวคำกับเซียวฉงอี้ข้างๆทันที
เซียวฉงอี้ก็ไม่รอช้าส่งข้อความไปทันที
ไม่นานกู้ฉางเจียงก็มาถึง จากนั้นจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกก็ตามมาติดๆ…จักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกนั้นมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มสวมใส่ชุดสีดำทั้งตัว รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดา ยากหาตัวมันพบหากไปเดินปะปนในฝูงชน
“ฉือหล่างในเมื่อนี่เป็นการประลองเป็นตาย ย่อมไม่มีผู้ใดเข้าไปแทรกแซงได้…เจ้าที่อยู่ๆก็โผล่มาที่นี่ คงไม่ได้คิดจะฝ่าฝืนกฏวังเทียนฉือโดยการยุติการประลองครั้งนี้กระมัง?”
กู้ฉางเจียงพอมาถึงก็หันไปมองกล่าวกับฉือหล่างก่อนใดอื่น ยังพูดออกมาเสียงดังฟังชัดนัก
แน่นอนว่าไม่ได้เบาเลย ดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบๆทันที “อะไรกัน? จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง คิดมาหยุดการประลองเป็นตายนี่เช่นนั้นรึ?”
“ให้ข้าเดาไม่พ้นทำไปเพราะคิดช่วยชีวิตต้วนหลิงเทียน”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
…
หลังเหลือบมองฉือหล่างปราดหนึ่ง เหล่าศิษย์วังเทียนฉือก็หันกลับไปมองฝานฉีที่กำลังจะปะทะกับต้วนหลิงเทียนด้วยร่างที่แท้จริงต่อทันที
ในสายตาของพวกมัน ในเมื่อตอนนี้มีจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊รวมถึงจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกอยู่ด้วย ต่อให้จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีคิดจะหยุดยั้งการประลองเป็นตายเบื้องหน้า ก็คงเป็นไปไม่ได้
“ฉือหล่าง ศิษย์ที่เจ้าพึ่งรับเข้ามาใหม่ไม่เลวเลยทีเดียว…แต่น่าเสียดายที่วันนี้มันต้องตาย!”
กู้ฉางเจียงเหลือบมองต้วนหลิงเที่ยนที่กำลังปะทะกับร่างจริงฝานฉีครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองจ้องฉือหล่าง กล่าวคำเสียดสี
“ฉือหล่าง โชคของเจ้าดีจริงๆ กระทั่งศิษย์อัจฉริยะเช่นนั้นก็รับมาดูแลได้…แต่น่าเสียดายที่อีกไม่นานมันก็ตายแล้ว”
จักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกเองก็หันไปมองกล่าวกับฉือหล่างด้วยรอยยิ้มจางๆ
มันไม่ได้มีมิตรภาพกับจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่างสักเท่าไหร่ แต่กับจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับนับว่ามีไมตรีกันอยู่ไม่น้อย
ที่มันมาที่หน้าวันนี้ก็เพราะเห็นแก่หน้าจักรรพรดิอมตะฟ้าลี้ลับเท่านั้น ไม่งั้นมันคงไม่มา
“หึ!”
เมื่อเห็นจักรพรรดิอมตะสมญานามมาปรากฏตัวที่นี่ถึง 2 คนเพื่อหยุดมัน สีหน้าฉือหล่างก็กลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก
เพราะคำพูดเมื่อครู่ของกู้ฉางเจียง ถึงแม้มันคิดจะหยุดการประลองเป็นตายครั้งนี้ ก็ทำไม่ได้แล้ว
“บ้าเอ๊ย ไฉน 2 คนนั่นถึงมาที่นี่ตอนนี้ได้!?”
สีหน้าหงเฟยก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากเช่นกัน
“ไม่ต้องเดาข้าก็รู้ ไม่พ้นเป็นฝีมือสารเลวหานอวิ๋นจิ่นนั่น…เพราะเจ้านั่นคงรอให้ฝานฉีฆ่าศิษย์น้องเล็กไม่ไหวแล้ว”
หูเหมยกล่าวออกเสียงเคร่ง
“พี่หลิงเทียน”
ฮ่วนเอ๋อมองไปยังต้วนหลิงเทียนที่ใช้เคลื่อนมิติหลบการโจมตีของฝานฉีครั้งแล้วครั้งเล่าไม่วางตา
นางพบว่าจนถึงตอนนี้พี่หลิงเทียนของนางก็ยังไม่ได้ใช้พลังของเบญจธาตุออกมาเลย
อย่างไรก็ตาม นางก็เข้าใจเรื่องนี้ดี
เพราะพี่หลิงเทียนของนางไม่อาจเปิดเผยเรื่องการคงอยู่ของเทพเบญจธาตุออกมาได้ เพราหากเรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมา ก็มีแต่นำพาหายนะดับสูญมาสู่ตัวเท่านั้น
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าจะหนีได้อีกนานเท่าไหร่กัน!?”
หลังผ่านไป 10 ลมหายใจแล้ว แม้ฝานฉีจะสามารถกักขังต้วนหลิงเทียนเอาไว้ในพื้นที่จำกัด และใช้การโจมตีอันทรงพลัง ประหนึ่งเต็มไปด้วยพลังอำนาจไร้เทียมทานกระหน่ำเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน แต่ก็ไม่มีการโจมตีใดเฉียดใกล้ปลายเสื้อของต้วนหลิงเทียนได้เลย…
ร่างต้วนหลิงเทียนเสมือนเงาเลือนราง วูบหายไปผุดโผล่ทางนู้นทีทางนี้ทีปานภูตผี เคลื่อนย้ายข้ามมิติหลบหลีกทุกการโจมตีของฝานฉีได้อย่างสบายๆ!
ไม่นานฝานฉีก็ค่อยๆหมดความอดทน และโพล่งออกมาอย่างหัวเสีย
“ก็ดี”
และพอฝานฉีโพล่งคำออกมาอย่างหัวเสีย ต้วนหลิงเทียนก็หยุดลงพลางเอ่ยออกมาเสียงเบาว่า “ในเมื่อเจ้ารีบร้อนด่วนตายนัก…งั้นข้าจะส่งเจ้าไปตามทางให้เอง”
“ส่งข้าไปตามทาง? เหอะๆ เช่นนั้นให้ข้าชมดูหน่อยเถอะว่าน้ำหน้าอย่างเจ้าจะอาศัยอะไรมาส่งข้าไปตามทาง!”
ฝานฉีกล่าวเย้ยเยาะอย่างท้าทาย
และแทบจะทันทีที่ฝานฉีกล่าวจบคำ ร่างต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานหายไปดั่งภูตผีอีกครั้ง คนข้ามมิติไปอีกรอบ
พอปรากฏตัว ก็มาปรากฏตัวขึ้นข้างๆกิ่งใหญ่ๆกิ่งหนึ่งที่งอกเงยออกมาจากร่างจริงของฝานฉี มือขวาวางทาบลงไปในบัดดล
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
…
แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนมาปรากฏตัวใกล้ร่างจริงฝานฉี กิ่งหลิวมากมายก็กระหน่ำฟาดเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนปานแส้ลงทัณฑ์!
อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับกิ่งหลิวมากมายที่ตบฟาดเข้ามามืดฟ้ามัวดิน ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะป้องกันอะไร
จากในโลกใบเล็กของเขา พลันมีพลังชีวิตมหาศาลขุมหนึ่งกำจายออกมาฉับไวสุดขั้ว พุ่งผ่านร่างเขาแล่นไปยังฝ่ามือ และทันทีที่พลังชีวิตดังกล่าวต้องถูกร่างที่แท้จริงของฝานฉี ก็เสมือนอสุราหิวกระหาย สูบกลืนพลังในร่างที่แท้จริงของฝานฉีพรวดพราด!!
‘ต้นไม้เทพสนหลิวที่เทียบได้กับสัตว์เทพงั้นเหรอ?’
รอยยิ้มเย้ยหยันหนึ่ง ยกแสยะขึ้นที่มุมปากต้วนหลิงเทียน ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ยอีกฝ่ายในใจ ‘ฝานฉีผู้นี้ต่อให้หลับมันก็คงไม่เคยฝันถึงกระมัง ว่าในโลกใบเล็กของข้าจะมีพฤกษาเทพกำเนิดชีพอยู่ทั้งต้น?’
‘พฤกษาเทพกำเนิดชีพคือจ้าวแห่งมวลหมู่พฤกษานับหมื่นพันท่ามกลางสวรรค์และโลก…ต้นไม้เทพสนหลิวนี่ต่อหน้าพฤกษาเทพ คำว่าเทพยังไม่คู่ควรให้ใช้!’
ตอนนี้พลังชีวิตที่พวยพุ่งออกจากพฤกษาเทพกำเนิดชีพในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน ได้กลับกลายเป็นพลังกลืนกินอันน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด เรียกว่าประหนึ่งวาฬสูบน้ำดูดกลืนสารัตถะของฝานฉีในชั่วพริบตา!
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
…
สารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวถูกสูบกลืนจนหดหายฮวบฮาบ ทำให้ระดับพลังของมันตกลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็สิ้นไร้เรี่ยวแรงจนกิ่งหลิวที่กระหน่ำฟาดมาเมื่อครู่ได้แต่ร่วงตกลงไปทุบฟาดสังเวียนอัจฉริยะ สร้างรอยร้าวมากมายบนเวที
รอยแตกแต่ละรอยยังโยงใยไปดั่งใยแมงมุมอันเขื่อง ซ้อนทับกันพัวพันยุ่งเหยิงไปหมด
“เจ้า…เจ้า…”
ฝานฉีที่ไม่ทราบว่าหวนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ บัดนี้สีหน้ามันซีดเซียวปานขี้เถ้า ร่างทั้งร่างยังสั่นระริก
ตอนนี้สายยตาที่มันใช้มองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนก็คงเหลือแต่ความหวาดกลัวเท่านั้น
พลังที่อยู่ๆก็ระเบิดออกมาจากฝ่ามือของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ประหนึ่งดาวข่มของมัน! ทำให้สารัตถะของมันถูกสูบกลืนจนหายเกลี้ยงในพริบตา!!
สารัตถะที่ว่าก็คือแก่นพลัง แก่นแท้โลหิต พลังชีวิต…เรียกว่าเสมือนกระชากทุกสิ่งทุกอย่างของมันออกไปทั้งเป็น!!
ตอนนี้มันไม่แม้แต่จะเร่งเร้าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาให้มากพอจะโบยบินด้วยซ้ำ…
“เจ้า…เป็นตัวอะไร?”
ฝานฉีได้แต่มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาไม่ยินยอม
วูบ!
ร่างต้วนหลิงเทียนเคลื่อนย้ายข้ามมิติไปผุดโผล่ยังด้านหลังฝานฉีในชั่วพริบตา จากนั้นก็ส่งเสียงผ่านพลังไปถึงฝานฉี “พฤกษาเทพกำเนิดชีพ”
แทบจะทันทีที่เสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ ลูกตาของฝานฉีก็หดหยีลงเร็วไว ใบหน้าฉาดชัดถึงความหวาดผวาพรั่นกลัว “มิน่าล่ะ…ไมน่าแปลกใจเลย…”