“แก่นสารปีศาจเพลิงสำคัญต่อข้าอย่างมาก ข้าสามารถถอยให้เจ้าได้อีกก้าวหนึ่ง” เสิ่นปิงหยูเก็บวิสัยทัศที่ไม่ปกตินั้นกลับไป น้ำเสียงยังค่อนข้างนุ่มนวลขึ้นอีกด้วย

“ไม่ว่าเจ้าจะยอมถอยหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องของข้า แก่นสารปีศาจเพลิงสำหรับข้าก็สำคัญเช่นเดียวกัน ข้าไม่สามารถหลีกทางให้เจ้าได้” หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งความเกรงใจ

ถึงแม้ว่าหญิงสาวผู้นี้มาจากวังมหาวาลสำนักระดับมหาจักรพรรดิ ในมือของนางต้องมีไพ่ไม้ตายที่แข็งแกร่งเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ได้เป็นแน่ แต่หลัวซิวก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด อาศัยเพียงร่างอมตะของตน เว้นแต่ฝ่ายตรงข้ามจะมีวิธีที่จะฆ่าเขาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มิฉะนั้นนางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน

ถ้านางมีความสามารถเช่นนั้นจริง แน่ใจว่านางจะไม่พูดกับตนเองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไพเราะเช่นนี้แน่นอน

ดังนั้นหลัวซิวเชื่อมั่นว่า ผู้หญิงคนนี้สำหรับตนแล้วไม่ได้เป็นภัยมากเท่าใดนัก

“เจ้า…… เหตุใจจึงได้ไร้มารยาทเช่นนี้?” ความหงุดหงิดปรากฏบนใบหน้าของเสิ่นปิงหยู ด้วยชาติกำเนิดและรูปร่างหน้าตาของนาง ยังไม่เคยมีนักยุทธ์ชายคนใดที่หยาบคายกับนางเช่นนี้มาก่อน

“มารยาทกินได้หรือ?”

หลัวซิวมุ่ยปาก พูดตอบโดยไม่ได้ใส่ใจ “ถ้ามารยาทใช้ได้ผล เช่นนั้นข้าก็ขอใช้มารยาทแลกเปลี่ยนยาเซียนกับเจ้าเสียหน่อยได้หรือไม่?”

“เจ้า……” เสิ่นปิงหยูถูกต้อนจนไม่สามารถตอบคำถามได้แล้ว นางไม่เคยพบเจอผู้ชายที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน

“ไอ้พวกมดมนุษย์สารเลว!”

ปีศาจเพลิงบรรพกาลตะโกนด่าอยู่ด้านข้างตลอดเวลา เพราะพวกมนุษย์ทั้งสองนี้ ปฏิบัติต่อเขาราวกับว่าเป็นการเจรจาซื้อขายสินค้า สำหรับปีศาจเพลิงผู้ยิ่งใหญ่แล้วนั้น ถือเป็นการหยามเกียรติที่ไม่อาจยอมรับได้

แต่ไม่ว่าจะดุด่าด้วยถ้อยคำที่ไม่น่าฟังสักเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นหลัวซิวหรือว่าเสิ่นปิงหยู ต่างก็เลือกที่จะไม่สนใจเจ้าปีศาจเพลิงตนนี้ เพราะพวกเข้ารู้ดีว่า ปีศาจเพลิงตนนี้ เดิมทีแล้วมันเป็นยาชั้นยอดเม็ดหนึ่งที่จักรพรรดิเทพมหาวาลทิ้งไว้ให้ ใครจะมีเวลาว่างมาสนใจว่ายาเม็ดหนึ่งจะโมโหหรือไม่?

หลัวซิวคร้านจะสนใจเสิ่นปิงหยู ใช้ค่ายกลกลั่นปีศาจสกัดแก่นสารกฎดั้งเดิมของปีศาจเพลิงต่อไป

“อ้ากกกกกกกก ไอ้สารเลว ไอ้สันขวาน จงหยุดเดี๋ยวนี้!”

“แม่หนูตัวน้อย เจ้าจะไม่เอาคืนหรือ? อย่างบอกว่าเจ้าจะมองดูไอ้เวรนี้สกัดแก่นสารของข้าไปโดยไม่ทำสิ่งใดเลยหรือ?”

ปีศาจเพลิงบรรพกาลยังคงก่นด่าอย่างต่อเนื่อง มันรู้ว่ามันไม่สามารถหยุดการกระทำของหลัวซิวได้ ดังนั้นแล้วจึงได้ส่งเสริมเสิ่นปิงหยูให้ลงมือต่อหลัวซิว

“เจ้าหุบปากไปเดี๋ยวนี้!”

“เสียงดังน่ารำคาญ!”

หลัวซิวและเสิ่นปิงหยูตะโกนออกไปพร้อมกัน เป็นเพราะปีศาจเพลิงตัวนี้ช่างน่ารำคาญมากเกินไปแล้ว

“ข้าอดทนกับเจ้ามานานแล้ว” เมื่อเทียบกับเสิ่นปิงหยู กล่าวได้ว่าหลัวซิวถูกห้อมล้อมด้วยเสียงคำรามและการสบประมาทของปีศาจเพลิงตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

เขาหันไปมองเสิ่นปิงหยูแวบหนึ่ง “ในเมื่อเจ้าเกิดที่วังมหาวาล มันต้องมีวิธีที่ดีกว่าในการจัดการกับปีศาจเพลิงตัวนี้อยู่แล้วใช่หรือไม่? หากเจ้ายินยอมร่วมมือกับข้า แก่นสารปีศาจเพลิงข้าจะแบ่งให้กับเจ้าเล็กน้อย”

สำหรับหลัวซิวแล้ว การเปิดจุดลมปราณร่างเนื้อ จำเป็นต้องรวบรวมพลังแห่งกฎของAttrทั้งหมด กฏธาตุไฟที่ได้จากแก่นสารปีศาจเพลิงนั้นเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นพลังงานที่สามารถเปิดจุดลมปราณร่างเนื้อได้

ปีศาจเพลิงตัวนี้เทียบเท่ากับจ้าวมหาเทพ แม้ว่าบางส่วนจะถูกแบ่งไป พลังงานนั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับหลัวซิว

“เพราะเป็นภารกิจที่กำหนดโดยอาจารย์ของสำนัก ดังนั้นแก่นสารของปีศาจเพลิง อย่างน้อยข้าต้องได้ห้าส่วน ข้าสามารถตอบแทนเจ้าได้ด้วยสิ่งอื่นแทน” เสิ่นปิงหยูพูดขึ้นหลังจากผ่านการครุ่นคิด

ได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็พลันขมวดคิ้ว แก่นสารปีศาจเพลิงห้าส่วน เขาไม่เต็มใจที่จะมอบให้ไปจริง ๆ เพราะพลังงานยิ่งมาก ไม่เพียงแค่สามารถนำมาใช้ฝึกตนวิชาอาถรรพณ์จุดลมปราณได้ ยังสามารถใช้เพื่อยกระดับผลการฝึกตนของตนอีกด้วย

“หากว่าเจ้ามียาเซียนระดับเก้ากับยาเซียนระดับเก้าล่ะก็ ข้าก็จะลองพิจารณาดู” หลัวซิวเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยเงื่อนไขของตนเองออกมา

เสิ่นปิงหยูหยิบแหวนเก็บของชิ้นหนึ่งขึ้นมาทันที สำหรับนางแล้ว เพียงแค่สามารถบรรลุภารกิจที่ได้รับจากอาจารย์ของสำนัก มันเป็นราคาที่คุ้มค่ากับการแลกมา เพราะว่านี่จะเกี่ยวข้องกับการที่นางจะได้เป็นเทพธิดาของวังมหาวาลหรือไม่