บทที่ 759.1 เดินทางยามค่ำคืน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บนเส้นเขตชายแดนเชื่อมต่อระหว่างต้าเฉวียนและเป่ยจิ้น ทหารม้าหลายสิบนายให้การปกป้องสตรีผู้หนึ่ง เหยาจิ้นจือฮ่องเต้หญิงแห่งต้าเฉวียน

คนบนหลังม้าสองตัวที่อยู่ใกล้กับเหยาจิ้นจือมากที่สุดคือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่มีสีหน้าเรียบเฉย มีโฉมหน้าของสตรีวัยกลางคน มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เค่อชิงที่อาหญิงของนางเชิญมารับหน้าที่ชั่วคราวที่ต้าเฉวียน

และยังมีหลิ่วโย่วหรงเทพวารีทะเลสาบซงเจินที่ถูกเหยาจิ้นจือเรียกตัวมาชั่วคราว และนี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมจดหมายกระบี่บินส่งข่าวจากจวนจินหวงถึงไม่ได้รับการตอบกลับจากหลิ่วโย่วหรงด้วยตัวเอง

ม้าสามตัวที่อยู่ด้านหลังพวกนาง สองคนบนหลังม้าคือแม่ทัพบู๊ผู้มีอำนาจที่แท้จริงของชายแดนซึ่งไม่เคยสวมเสื้อเกราะ คนหนึ่งอายุมาก คนหนึ่งยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ คุณูปการทางการสู้รบเกริกก้อง ตอนนี้จึงได้เป็นขุนนางใหญ่ของพื้นที่ศักดินาแถบหนึ่งแล้ว

นอกจากนี้ยังมีม้าอีกตัว คือชายหนุ่มที่มีสีหน้าท่าทางสุขุมเยือกเย็น สวมชุดนักพรตเต๋า บนศีรษะสวมกวานสีทอง เส้ายวนหรานผู้ถวายงานระดับหนึ่งของต้าเฉวียน คือเกาเจินลัทธิเต๋าที่มาจากอารามจินติ่ง โอสถทองหนุ่ม และยิ่งเป็นคนชักใยเบื้องหลังสันนิบาตใบท้อที่แท้จริง เส้ายวนหรานกับนักพรตเป่าเจินผู้เป็นอาจารย์รู้จักกับสกุลเหยาชายแดนมานานมากแล้ว หากไม่เป็นเพราะมีหลิวจงอยู่ เส้ายวนหรานก็อาจกลายเป็นผู้นำเหล่าผู้ถวายงานของสกุลเหยาต้าเฉวียนไปแล้วก็เป็นได้

ม้าหลายสิบตัวอ้อมผ่านเมืองหูเอ๋อร์ที่ถูกสร้างให้กลับมาเป็นดังเดิมใหม่อีกครั้ง ถึงอย่างไรก็มีแค่กำแพงดินเหลืองไม่กี่ด้าน ที่ว่าการก็เหมือนกับรังหญ้ารกเรื้อ ในอดีตถูกสร้างขึ้นอย่างขอไปทีเช่นนั้น คิดจะสร้างขึ้นมาใหม่จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เพียงแต่ว่าโรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านนอกเมืองหูเอ๋อร์แห่งนั้นกลับหลงเหลือไว้เพียงซากปรักเท่านั้น เหยาจิ้นจือหยุดม้าอยู่ตรงนี้ไม่เดินหน้าต่อ ฮ่องเต้ที่อายุสี่สิบปีแล้วแต่กลับยังงามพิลาสล้ำดังเดิมผู้นี้ไม่อาจดึงสายตากลับมาได้เป็นนาน

ที่นี่เคยมี ‘จิ่วเหนียง’ ท่านอาที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยะของโรงเตี๊ยม มีท่านปู่สามที่เป็นพ่อครัว และยังมีเจ้าขาเป๋น้อยที่เป็นลูกจ้างร้าน และยังมีนักบัญชีคนหนึ่งที่มาพักอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลายาวนานมากช่วงหนึ่ง วิญญูชนแห่งสำนักศึกษา จงขุย

เหยาจิ้นจือถอนหายใจแผ่วเบา ข้าวของยังคงเดิมแต่คนกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว ดูเหมือนว่าพอออกไปจากด่านชายแดนและสนามรบ เซียนจือก็กลายไปเป็นเด็กหนุ่มที่ชอบทำอะไรโดยใช้อารมณ์ ทว่าตำแหน่งเจ้าเมืองของเมืองหลวงนี้ นางจะวางใจมอบให้คนอื่นได้หรือ? และพวกลูกๆ ของหลิ่งจือ ทุกวันนี้ยังรู้จักเรียกตนว่าฝ่าบาทแล้ว ไม่ได้เรียกว่าท่านป้าด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์อีกต่อไป เพราะเติบใหญ่รู้ความแล้ว แต่ตนกลับไม่ได้รู้สึกดีเลย ตนยังคงชอบให้เด็กสองคนนั้นเอาชายแขนเสื้อชุดคลุมมังกรไปเช็ดน้ำลายของตัวเองมากกว่า

สุดท้ายกลุ่มทหารม้ามุ่งหน้าไปยังเนินเขาแห่งหนึ่ง เหยาจิ้นจือหยุดม้าอยู่บนเนินเขา หรี่ตามองไป ราวกับว่ากระแสน้ำแห่งกาลเวลาได้หมุนย้อนกลับ ทำให้นางได้เห็นภาพการเข่นฆ่าอันน่าอกสั่นขวัญผวาครั้งหนึ่งกับตาตัวเอง

ปีนั้นก็เป็นที่นี่ที่เกิดการลอบฆ่าอันตรายที่หมายเล่นงานตระกูลเหยาโดยเฉพาะ นักฆ่ามีสองคน คนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ คนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน คนทั้งสองอาศัยกระบี่บินหนึ่งเล่มและขอบเขตของปรมาจารย์สังหารคนเป็นผักปลา วิธีการอำมหิตอย่างถึงที่สุด ในอดีตไม่ว่าใครก็รู้สึกว่านักฆ่าสองคนนั้นคือนักฆ่าบนภูเขาที่แคว้นเป่ยจิ้นทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างวานมา เพื่อทำให้กองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาสูญเสียหลักยึดเหนี่ยวจิตใจไป ภายหลังเรื่องจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทุกวันนี้คนทั้งสองได้อยู่ในตำแหน่งสูงของเป่ยจิ้นจริง คนหนึ่งในนั้นถึงขั้นอยู่บนถนนทางหลวงของเป่ยจิ้นที่กำลังมุ่งหน้าไปยังจวนจินหวงขณะนี้ด้วยซ้ำ

แต่อันที่จริงตอนนั้นเหยาจิ้นจือก็รู้สึกแล้วว่าไม่สมเหตุสมผล ทางฝั่งของแคว้นเป่ยจิ้น นับตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ไปจนถึงแม่ทัพใหญ่ริมชายแดนต่างก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำสิ่งที่เกินจำเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นท่านปู่กำลังจะไปรับหน้าที่เป็นเจ้ากรมกลาโหมที่นครเซิ่นจิ่ง ถือว่าถอดเสื้อเกราะไปใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายแล้ว ด้วยฝีมือของสายลับแคว้นเป่ยจิ้น ย่อมต้องรู้เรื่องนี้ชัดเจนมาตั้งแต่แรก

แต่เหยาจิ้นจือไม่กล้าคิดลึกไปมากกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่นหากนักฆ่าทำสำเร็จ สามารถสังหารท่านปู่และกองทหารม้าชายแดนตระกูลเหยาได้จริง ถ้าอย่างนั้นพวกคนกลุ่มขององค์ชายสามหลิวเม่าและเกาซู่อี้ที่จับกุมสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของแคว้นเป่ยจิ้นกลุ่มใหญ่ซึ่งมีฝู่จวินจวนจินหวงเป็นหนึ่งในนั้น ก็จะต้องมีเหตุผลสนับสนุนการกระทำของตนอย่างเต็มเปี่ยมแน่นอน

และองค์ชายรองในตอนนั้นหรือก็คือฮ่องเต้ต้าเฉวียนในภายหลัง สามีของนางก็อยู่ที่ชายแดน คอยร่วมมือกับองค์ชายสามหลิวเม่าน้องชายแท้ๆ ร่วมบิดามารดาด้วย

และหลิวหวงที่ได้กลายเป็น ‘อดีตฮ่องเต้ต้าเฉวียน’ ผู้นี้ เมื่อเทียบกับหลิวฉงพี่ชายที่มีผลงานการศึกเป็นที่เลื่องลือแล้ว ก็ขาดแรงสนับสนุนจากทางกองทัพมาโดยตลอด การถ่วงดุลระหว่างสองฝ่ายตลอดเวลาหลายปีนั้นมาจากบุ๋นและบู๊ของหนึ่งแคว้นได้ถูกองค์ชายทั้งสองครอบครองกันไปคนละ ‘ครึ่งกำแพง’ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจข้ามเขตแดน หลิวฉงป่าเถื่อนเกินไปในสายตาของพวกบัณฑิต ส่วนองค์ชายรองหลิวหวงคือบุตรภรรยาเอก อีกทั้งยังมีความสามารถด้านการประพันธ์โดดเด่น มีชื่อเสียงว่าเคารพนับถือนักปราชณ์ราชบัณฑิต

หลิวหวงและหลี่ซีหลิงอาเขยของเหยาจิ้นจือมีความสัมพันธ์สนิทสนมแนบแน่นมาโดยตลอด หลี่ซีหลิงมาจากสำนักฮั่นหลิน เคยรับหน้าที่เป็นมหาบัณฑิตผู้ให้ความรู้แก่เชื้อพระวงศ์ ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้งสหายของหลิวหวง ในอดีตทั่วทั้งราชสำนักจึงมีคำกล่าวที่ว่ารัชทายาทและขุนนางผู้ประคับประคองรัชทายาทต่างเหมาะสมคู่ควรกัน ในความเป็นจริงแล้วอดีตฮ่องเต้หลิวเจินได้ตัดสินใจไว้นานแล้วว่า หวังจะให้บุตรภรรยาเอกอย่างหลิวหวงเป็นผู้สืบทอดพระราชอำนาจ ให้หลิวฉงบุตรชายคนโตเป็นฟานผิง (ขุนนางสำคัญผู้ทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องแคว้น) เพียงแต่ว่าอาการป่วยหนักที่ทรุดลงอย่างกะทันหันของหลิวเจินนั้นเกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกเกินไป จึงเป็นการทำลายแผนการอันเป็นขั้นเป็นตอนของหลิวเจินไป อดีตฮ่องเต้จำต้องให้หลิวหวงบุตรชายภรรยาเอกควบคุมกองทัพสายตรงกองหนึ่ง นำมาใช้งัดข้อกับกองทัพม้าเหล็กชายแดนเหนือใต้สองกองที่พยศยากจะกำราบ…ปีนั้นก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะสวรรคต ยามที่มองหลิวหวงบุตรชายภรรยาเอก เขากลับหัวเราะ ทว่าหลิวหวงกลับมีสีหน้าตระหนกลนอย่างไม่ทราบสาเหตุ

นาทีนั้นเหยาจิ้นจือคล้ายจะเข้าใจทุกสิ่ง เพียงแต่นางรีบก้มหน้าลงต่ำ แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น

นาทีนี้ฮ่องเต้หญิงแห่งต้าเฉวียนพลิกตัวลงจากหลังม้าด้วยท่วงท่าที่คล่องแคล่วอย่างถึงที่สุด ลูกหลานตระกูลเหยา แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนู แม้ว่าเหยาจิ้นจือจะไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ แต่ก็ง้าวธนูได้ แล้วก็เป็นศาสตร์การต่อสู้บางอย่าง เมื่อเทียบกับพวกนักต่อสู้ในยุทธภพที่หาเลี้ยงชีพในหมู่ชาวบ้านแล้วก็ไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย

คนตระกูลเหยาเป็นฮ่องเต้ พอถึงเวลาญาติสนิทและทายาทตระกูลเหยา นอกจากคนเพียงหยิบมือที่ได้ตำแหน่งสำคัญในราชสำนักและกองทัพแล้ว อันที่จริงกลับดูเหมือนว่าจะต่ำเตี้ยกว่าคนอื่นระดับหนึ่งไปเสียทุกเรื่อง เรื่องราวที่เป็นเช่นนี้ ฟังไปแล้วก็น่าขำนัก แต่ความเป็นจริงกลับเป็นเช่นนี้ จำต้องเป็นเช่นนี้

บางครั้งนางก็จำต้องตั้งสมมติฐานว่า หากให้หลิวเม่าที่แอบฝึกวิชาตระกูลเซียนอย่างลับๆ ล่อๆ เรียกตัวเองว่านักพรตหลงโจวผู้นั้นมาเป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าตระกูลเหยาจะทิ้งชื่อเสียงยาวนานพันปีอยู่บนตำราประวัติศาสตร์ของทางการราชวงศ์ต้าเฉวียน หรือผลประโยชน์ที่ลูกหลานตระกูลเหยาคว้ามาอยู่ในมือได้อย่างแท้จริง กลับกลายเป็นว่าจะดียิ่งกว่า หมวกขุนนางจะใหญ่ยิ่งกว่าแล้วก็มีมากยิ่งกว่า ส่วนคนหลายรุ่นต่อจากนั้น ในบรรดาแซ่สกุลของจวนกั๋วกงจะยังมีแซ่เหยาหรือไม่ นางเหยาจิ้นจือที่เป็นเพียงสตรีอ่อนแอคนหนึ่งยังจะต้องสนใจอะไรอีก แล้วยังจะควบคุมอะไรได้อีก สกุลหลิวก่อตั้งแคว้นมาสองร้อยปี สุดท้ายก็เหลือแค่จวนเซินกั๋วกงแห่งเดียวไม่ใช่หรือ?

เหยาจิ้นจือหรี่ดวงตาดอกท้อที่ชวนให้คนหวั่นไหวอย่างถึงที่สุดคู่นั้นลง ส่วนอ๋องเจ้าเมืองหลิวฉงนั้นก็ช่างเถิด คนผู้นี้แกล้งบ้าแกล้งทำเป็นสติวิปลาสอยู่ในคุกน้ำ คงทนต่อไปได้อีกแค่ไม่กี่ปีหรอก

ปีนั้นตอนอยู่ในวังหลวง เจ้าตะพาบหลิวฉงผู้นี้เรียกได้ว่ากำเริบเสิบสานถึงขีดสุด หากไม่เป็นเพราะเหยาหลิ่งจือคอยอยู่ข้างกายตนตลอดเวลา เหยาจิ้นจือก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าสุดท้ายแล้วตนจะต้องตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชถึงเพียงไหน คงไม่ได้โชคดีอย่างแค่มีตำราลับวังหลวงที่เนื้อหาสกปรกจนมิอาจทนมองเผยแพร่ไปในหมู่ชาวบ้านแค่ไม่กี่เล่มแล้ว

หลังลงจากหลังม้า มือหนึ่งของเหยาจิ้นจือจูงเชือกบังคับม้า เงียบไปนานพักใหญ่ นางก็พลันถามว่า “หลิ่วหูจวิน ได้ยินมาว่าผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำผู้ถวายงานของเป่ยจิ้นเคยรู้จักกับจวนจินหวงหรือ?”

หลิ่วโย่วหรงที่อยู่ดีๆ ก็ได้เป็นเทพวารีแห่งทะเลสาบซงเจินเกิดมาก็มีนิสัยขี้ขลาด นางจึงตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ทูลฝ่าบาท ตอนนั้นสามีของหม่อมฉันไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของคนผู้นี้ เข้าใจผิดคิดว่าเป็นวีรบุรุษในยุทธภพที่มีเวทกระบี่ไม่ธรรมดา จึงมอบเหล้าหมักหลันฮวาให้เขาไปหลายกา”

ตอนที่หลิ่วโย่วหรงยังมีชีวิตอยู่ก็มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลปัญญาชนในเมืองแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแคว้นเป่ยจิ้นเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่แท้จริง หยกงามของตระกูลเล็กผู้นี้ เรื่องที่ใจกล้าที่สุดที่ได้ทำมาในชีวิตนี้ก็คือหลังจากเกิดรักแรกพบต่อฝู่จวินเทพภูเขาที่ปลอมตัวออกเดินทางไกล ก็ได้ตัดสินใจเด็ดขาด สละอายุขัยไม่ต้องการ แต่งงานกับฝู่จวินจวนจินหวงผู้นั้น

เหยาจิ้นจือยิ้มกล่าว “คนไร้ใจเห็นแก่ตัวฟ้าดินย่อมกว้างใหญ่ โย่วหรง เจ้าอย่าได้คิดมาก หากข้าไม่เชื่อใจพวกเจ้าสองสามีภรรยาก็ไม่มีทางให้พวกเจ้าทั้งสองได้หวนกลับคืนมายังสถานที่เดิมหรอก”

หลิ่วโย่วหรงไม่รู้เรื่องศาสตร์แห่งการคาดเดาใจจักรพรรดิ ยิ่งไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ในวงการขุนนางทั้งหลาย นางรู้แค่ว่าคำเรียก ‘โย่วหรง’ ที่ฝ่าบาทตรัสเรียกเมื่อครู่นี้ เทียบกับคำเรียกขานว่าหลิ่วหูจวินก่อนหน้านั้นแล้วดูสนิทสนมมากยิ่งกว่า นางจึงระบายลมหายใจโล่งอก อีกทั้งเหนียงเนียงเทพวารีท่านนี้ยังไม่รู้จักปิดบังอีกด้วย นางรีบใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างระมัดระวัง เอ่ยประโยคที่ไม่ขาดมารยาทกับฮ่องเต้ ก็หนีไม่พ้นคำพูดขอบคุณ คำพูดแสดงความซาบซึ้ง ฟังแล้วขัดๆ อยู่บ้าง

อันที่จริงในอดีต ช่วงเวลาที่สถานการณ์ของนครเซิ่นจิ่งอันตรายอย่างถึงที่สุดนั้น ความรู้สึกที่ฮ่องเต้มอบให้นาง แท้จริงแล้วไม่ใช่แบบนี้ เหยาจิ้นจือในเวลานั้นมักจะขมวดคิ้วน้อยๆ ยืนเอนตัวพิงราวระเบียงอยู่เพียงลำพัง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเป็นประจำ ดังนั้นในสายตาของหลิ่วโย่วหรง เหยาจิ้นจือในเวลานั้นงดงามกว่ายามนี้ ต่อให้จะเป็นสตรีเหมือนกัน แต่กระนั้นก็ยังอดรู้สึกรักถนอมฮองเฮาผู้ที่มีชาติกำเนิดน่าเศร้าผู้นี้ไม่ได้

เหยาจิ้นจือพลันหัวเราะ คงมีเพียงสตรีไร้เดียงสาอย่างหลิ่วโย่วหรงที่มีโชคมากกว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้นกระมัง ถึงจะสามารถครองคู่อยู่กับคนรักจนแก่เฒ่าได้จริงๆ?

เหยาจิ้นจือคิดไปคิดมาก็เก็บรอยยิ้ม สุดท้ายสีหน้าไร้อารมณ์

เรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดใจมีมากเกินไป

ก็เหมือนอย่างหลี่ซีหลิง เจ้ากรมพิธีการต้าเฉวียนคนปัจจุบันผู้นั้น ตระกูลหลี่หนึ่งตระกูลมีเจ้ากรมถึงสองท่าน ลูกศิษย์ลูกหามีอยู่ทั่วทั้งราชสำนัก หากอิงตามลำดับศักดิ์แล้ว เขายังเป็นอาเขยของเหยาจิ้นจือจักรพรรดินีองค์ใหม่ด้วย

แล้วก็เพราะมีมาดของบัณฑิตมากเกินไป ไม่ว่าจะกับเด็กรุ่นเยาว์ในตระกูลของตัวเองหรือกับเจ้าเมืองเหยาที่เป็นเด็กรุ่นหลังในวงการขุนนางจึงมักจะชอบกระทบกระเทียบอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่จงใจอย่างยิ่ง ทำไม คิดจะใช้สิ่งนี้มาช่วงชิงชื่อเสียงอันดีงามอย่างนั้นรึ? เป็นถึงเจ้ากรมของกรมหนึ่งแล้ว ยังอยากจะเป็นขุนนางที่ใหญ่สักเพียงใด อยากจะได้ชื่อเสียงที่เลืองลือถึงปานไหน? ต้องการสมัญญานามเหวินเจิ้งที่นับตั้งแต่ต้าเฉวียนก่อตั้งแคว้นมาก็มีแค่คนสามคนที่ได้รับแต่งตั้งหรือ?

จิตของเส้ายวนหรานสัมผัสได้ เพียงแต่ยังคงไม่ได้หันหน้าไปมองฮ่องเต้พระองค์นั้น ยิ่งนานความคิดก็นางก็ยิ่งยากจะคาดเดามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

เหยาจิ้นจือนึกถึงกระบี่บินส่งข่าวที่มาจากทะเลสาบซงเจินก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ แน่นอนว่าหลิ่วโย่วหรงไม่มีคุณสมบัติจะได้เปิดอ่านจดหมายลับ เหยาจิ้นจือหันหน้าไปมองเหนียงเนียงหูจวินที่เป็นคนโง่มีโชคของคนโง่แล้วยิ้มถามว่า “จวนจินหวงของพวกเจ้ามีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือน เจิ้งฝู่จวินได้บอกกับเจ้าหรือไม่ คือผู้มีพระคุณในอดีตหรือ?”

ในจดหมายลับบอกว่าที่จวนจินหวงมีบุรุษชุดเขียวมาเป็นแขก น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ดูไม่ออกถึงความตื้นลึกของฝีมือ อาจเป็นขอบเขตร่างทอง ข้างกายเขามีหญิงสาวที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวติดตามมาคนหนึ่ง แล้วยังพาเด็กๆ มาด้วยห้าคน

จดหมายลับฉบับหนึ่งที่มอบให้ฮ่องเต้อ่านจำเป็นต้องเลือกถ้อยคำที่กระชับเข้าใจง่าย ไม่อาจเขียนบอกรายละเอียดทุกเรื่องราวไว้ในจดหมายได้ทั้งหมด ทว่าในเอกสารของทางทะเลสาบซงเจินต้องมีรายละเอียดบอกไว้มากกว่านี้แน่นอน

หลิ่วโย่วหรงพยักหน้า “ฝ่าบาท มีคนผู้นี้จริง มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม สวมชุดขาวสะพายกระบี่ ตรงเอวยังห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดใบหนึ่ง…”

เหยาจิ้นจือพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เข้าใจแล้ว”

พลิกตัวขึ้นบนหลังม้าอีกครั้ง เหยาจิ้นจือกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไปดูที่ทะเลสาบซงเจินเถอะ”

หลิ่วโย่วหรงประหลาดใจนัก ดูเหมือนว่าหลังจากที่ฝ่าบาทไปเยือนแถบเมืองหูเอ๋อร์มารอบหนึ่งก็ควรจะกลับไปที่นครเซิ่นจิ่งได้แล้ว เพียงแต่นางเป็นแค่หูจวินตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าสงสัย

เหยาจิ้นจือแหงนหน้ามองสีท้องฟ้า

ใครกันที่บอกว่าตะวันจันทราคือสองดวงตาของฟ้าดิน หมื่นถ้อยคำไม่มีค่าเท่าน้ำสักแก้ว? แล้วเป็นใครกันที่บอกว่าชีวิตคนเส้นทางแคบ จอกเหล้ากว้าง?

หลายปีเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้ไปเยือนยอดเขาจ้าวผิงที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวง นางเริ่มจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว

หยาจิ้นจือยกนิ้วมือขึ้นลูบผมตรงจอนหูด้วยท่วงท่านุ่มนวล นางไม่กล้าแตะหางตาตัวเอง แม้จะรู้สึกเสียใจ ทว่าสีหน้าของนางกลับเบิกบานยิ่ง

เหยาจิ้นจือบอกกับตัวเองว่าเมื่อไปถึงจวนวารีทะเลสาบซงเจิน ตนจะหยุดพักเท้าอยู่ที่นั่น

นางจะไม่ไปพบเจอใครที่จวนจินหวง หากจะพบหน้าก็ให้เขามาพบตนเอง

เหยาจิ้นจือพลันยิ้มเอ่ยกับหลิ่วโย่วหรงว่า “ไปถึงทะเลสาบซงเจินเจ้าก็ตอบจดหมายกลับด้วยตัวเองสักฉบับ หลีกเลี่ยงไม่ให้เจิ้งฝู่จวินต้องเป็นกังวล”

……

ดูจากทิศทางการเคลื่อนที่ของปราณมังกรที่เข้มข้นกลุ่มนั้น ชุยตงซานที่นั่งอยู่บนราวกั้นเรือยกแขนข้างหนึ่งขึ้นกอดอก อีกข้างยกมือขึ้นตั้งดันปลายคาง ท่าทางเหมือนคนจมสู่ภวังค์ความคิด

เพียงแต่ว่าอยู่ดีๆ ชุยตงซานก็ชำเลืองมองไปทางนครเซิ่นจิ่งแวบหนึ่ง มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ เหตุผลเรียบง่ายยิ่ง คืออาณาเขตปากบ่อของบ่อน้ำในอารามกวานเต๋าแห่งนั้น

หนีหยวนจานก็เป็นแค่หนึ่งในบุคคลของพื้นที่มงคลที่ออกมาจากบ่อน้ำ ดังนั้นเมืองฉีเฮ้อถึงได้มีบทเพลงสำหรับเด็กพื้นบ้านที่คล้ายคำทำนายแพร่ออกไปว่า ‘วัวดำใครเป็นคนขี่ไป นกกระเรียนเหลืองก็บินมา’

——