บทที่ 759.2 เดินทางยามค่ำคืน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หากไม่ผิดไปจากที่คาด นี่คงเป็นฝีมือของโจวจื่อแล้ว แล้วก็เป็นได้แค่เจ้าคนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ไม่ว่าใครก็กล้าวางแผนเล่นงาน ไม่ว่าใครก็ล้วนถูกเขาเล่นงานได้ผู้นี้แล้ว กล้าหยอกเย้าเจ้าอารามผู้เฒ่าแห่งอารามกวานเต๋าเช่นนี้ เจ้าตะพาบเฒ่าที่ปีนั้นยังค่อนข้างหนุ่ม ช่วงเวลาที่ออกท่องเที่ยวไปเยือนอารามกวานเต๋าร่วมกับอาจารย์ของอาจารย์ ปีนั้นยังไม่มีความกล้าหาญเช่นนี้ ได้พบนักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นผู้นั้นแล้วยังต้องเรียกว่าผู้อาวุโสแต่โดยดี จากนั้นก็วางหมากกระดานหนึ่ง แน่นอนว่าชนะแล้ว ดังนั้นนักพรตผู้เฒ่าถึงได้มอบปิ่นหยกขาวชิ้นนั้นมาให้

ส่วนโจวจื่อ คนผู้นี้ชอบคิดเตลิดเปิดเปิงจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยมากที่สุด เชี่ยวชาญการวางเม็ดหมากโดยไม่หยั่งรากมากที่สุด เม็ดหมากทุกเม็ดล่องลอยไม่อยู่นิ่ง เกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ ราวกับว่าทุกพื้นที่ล้วนมีบุปผาผลิบาน ทว่าผลลัพธ์ในท้ายที่สุดล้วนเป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่เสมอ

เมื่อเทียบกับศิษย์น้องหญิงของเขาแล้ว โจวจื่อไม่ได้แค่มีตบะสูงกว่าหนึ่งแสนแปดพันลี้เท่านั้น

ชุยตงซานหันหน้าไปมองเจ้าอ้วนน้อยที่ยังฝึกท่าหมัดเดินนิ่ง ถามว่า “หมัดเทพน้อยไร้เทียมทาน พวกเรามาเดิมพันกันดีไหม?”

เฉิงเฉาลู่เดินนิ่งหกก้าวรอบหนึ่งเสร็จจึงถามว่า “เดิมพันอะไร?”

ชุยตงซานเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้าไม่มีทางเดิมพันกับข้าสักหน่อย แล้วยังจะถามทำผายลมอะไรว่าเดิมพันอะไร?”

เจ้าอ้วนน้อยเกาหัว “ทำไมเหมือนมาเป็นหนอนในท้องข้าเลยเล่า”

ชุยตงซานด่าขำๆ “วิชาหมัดใช้ได้นะ เป็นพ่อครัวที่ดี แต่ไม่ใช่คนฝึกยุทธที่เป็นพ่อครัวที่ดี ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่ดี”

เจ้าอ้วนน้อยถูกคำพูดวกวนอ้อมค้อมนี้ทำให้ปวดหัวนัก จึงหมุนตัวกลับไปเดินนิ่งต่ออีกครั้ง ยังคงเป็นอาจารย์เฉาที่ดีกว่า ไม่เคยพูดจาประหลาดฟังเข้าใจยาก

ชุยตงซานตบหัวเข่าของตัวเองไป “อย่าคิดว่าเจ้าเดินได้เร็ว ยังมีคนที่เดินเร็วกว่าเจ้า อย่าคิดว่าเจ้าเดินได้สูง มีเส้นทางยอดเขาสูงอยู่นานแล้ว”

เด็กหนุ่มชุดขาวหันหน้าไปมองทางทิศเหนือที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า

ชุยตงซานพลันยกมือขึ้น สองนิ้วคีบหนีบกระบี่บินส่งจดหมายเล่มหนึ่งที่ไปกลับยอดเขาเสินจ้วนมาได้ ก่อนหน้านี้สอบถามเจียงซ่างเจินไปว่าปีนั้นที่ตาเฒ่าสวินเข้าไปในนครเซิ่นจิ่ง นอกจากทำเรื่องธุระเป็นการเป็นงานแล้ว ยังได้แอบไปหาใครอีกหรือไม่

กระบี่บินส่งข่าวกลับมาบอกว่าเขาเคยไปหาคนคนหนึ่งจริง แต่แม้กระทั่งเขาเจียงซ่างเจินก็ยังถูกปิดหูปิดตา คาดว่าคงเป็นเพราะตาเฒ่าสวินหน้าบางไม่กล้าบอกว่าตัวเองไปหาชู้รักหน้าแก่มากระมัง

ชุยตงซานกลอกตามองบน เก็บกระบี่บินมา ช่างเถิด ไม่คิดมากแล้ว ทุกวันนี้ฝีมือการเล่นหมากล้อมของอาจารย์สูงส่ง เข้าขั้นสุดยอดแล้ว ตนที่เป็นลูกศิษย์ผู้ภาคภูมิใจยากที่จะยอมต่อให้อาจารย์เดินก่อนสิบสองเม็ดได้อีกแล้ว

นี่ไม่ใช่ว่าชุยตงซานประจบสอพลออะไร แต่เป็นอาจารย์ที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม บอกว่ามาเล่นหมากล้อมกันสักกระดาน จากนั้นก็ลากตนไปเล่นด้วยกัน วางกระหมานหมากลงไป อาจารย์มีมาดองอาจสง่างามยิ่งนัก คีบเม็ดหมากวางเม็ดหมากคล่องแคล่วว่องไวดุจเมฆคล้อยน้ำไหล สุดท้ายวางหมากลงบนกระดานไปสิบสองเม็ด สี่ไร้กังวล กลางเทียนหยวน และบวกอีกสามเส้นริมขอบ

ชุยตงซานยอมแพ้ทันใด

ผลคือศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ชมศึกอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า ‘อาจารย์พ่อยอมให้เจ้าตั้งสิบสองเม็ดแล้ว เจ้ายังยอมแพ้อีกงั้นหรือ?’

น่าหลันอวี้เตี๋ยก็ยิ่งทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง ‘ที่แท้ฝีมือการเล่นหมากล้อมของอาจารย์เฉาก็ร้ายกาจมากเลย มีความสามารถรอบด้านทั้งบุ๋นและบู๊’

อาจารย์ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ายิ้มบางๆ แล้วจึงเริ่มเก็บกระดานหมาก เคลื่อนไหวว่องไวยิ่ง

ตอนนั้นชุยตงซานมองอาจารย์แวบหนึ่ง จากนั้นจึงชำเลืองตามองศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่เหล่ตาน้อยๆ คลี่ยิ้มประดับใบหน้าซึ่งเป็นท่าทางประจำตัว ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก

ท่าเรือซานสุ่ยของสำนักกุยหยก คนกลุ่มหนึ่งออกจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เดินทางลงใต้มุ่งหน้าไปยังท่าเรือชวีซานต่ออีกครั้ง

ส่วนเย่อวิ๋นอวิ๋นที่ได้รับคำเรียกขานอย่างไพเราะว่าหวงอีอวิ๋นนั้น กลับออกจากพื้นที่มงคลย้อนกลับไปยังเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานเพียงลำพังนานแล้ว

ในภาพแยนจือภูเขาเทพีบุปผารุ่นล่าสุดนี้จะมีฮ่องเต้หญิงต้าเฉวียนคนนั้นอยู่หรือไม่ เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่สนใจ เอาเป็นว่าขอแค่ไม่มีนางก็พอแล้ว

หลูอิงผู้ถวายงานลำดับหนึ่งของอารามจินติ่งนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวในเรือข้ามฟากลำหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในจวนตระกูลเซียนหาดหินหวงเฮ้อ บนธรณีประตูห้องมีหญิงสาวมัดผมแล้วมวยเป็นลูกกลมๆ กลางศีรษะนั่งอยู่ ส่วนเขาหลูอิงกลับนั่งหันหน้าเข้าหาบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง สองฝั่งด้านข้างคือหน้าต่าง

แสงแดดส่องทะลุหน้าต่างเข้ามาสาดกระทบลงใบหน้าด้านหนึ่งของบุรุษผู้นั้น หนึ่งมืดหนึ่งสว่าง

นอกจากบุรุษคนนั้นจะถามคำถามยาวเหยียดแล้ว นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่เหลือจะเป็นแค่การพูดคุยสัพเพเหระกับหลูอิง บอกว่าผู้ฝึกตนอิสระที่ไร้ที่พึ่งอย่างพวกเรา ชีวิตทุกคนล้วนไม่สุขสบาย เส้นทางการเดินขึ้นเขาเล็กแคบเหมือนไส้แกะ ใต้หล้านี้มีผู้ฝึกตนคนใดบ้างที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเราที่พยายามหาเส้นทางเอาชีวิตรอดให้กับตัวเองอย่างยากลำบาก ดังนั้นรอกระทั่งถึงช่วงเวลาที่มีชีวิตดีๆ แล้ว จะดีจะชั่วก็ควรเหลือทางรอดไว้ให้คนอื่นบ้าง เพราะถึงอย่างไรพอเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลกันหมดแล้ว ก็ควรจะพูดถึงเรื่องน้ำเส้นเล็กไหลยาวกันบ้าง ดังนั้นจึงไม่ได้ต้องการให้เจ้าหลูอิงต้องข่มกลั้นความอัปยศแบกรับภาระหนัก ต้องทรยศต่ออารามจินติ่งหรือฉีกหน้าแตกหักกับตู้หันหลิงอะไร ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด…วันนี้พวกเราสองพี่น้องมานั่งอยู่ที่นี่ พูดคุยกันอย่างถูกคอ เอ่ยประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย สำหรับเจินเหรินผู้ถวายงานแล้ว อันที่จริงนี่ก็ถือว่าเป็นสภาพการณ์ที่เรียกได้ว่าย่ำแย่ที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นเมื่อเดินออกไปจากประตู มีชีวิตอยู่นานได้อีกวันหนึ่งก็ถือเป็นกำไรแล้ว ทั้งยังไม่ได้ให้พี่ชายต้องเอ่ยคำสาบานร้ายแรงอะไรด้วย ต้องรู้จักทะนุถนอมความโชคดีนะ ไม่รู้จักทะนุถนอมโชคก็ต้องรู้จักถนอมชีวิตบ้าง ใช่เหตุผลข้อนี้หรือไม่…

สรุปแล้วก็คือตอนนั้นหลูอิงได้แต่ผงกศีรษะรัวๆ ราวกับลูกเจี๊ยบจิกเมล็ดข้าวเปลือก ทำท่าทางเหมือนเด็กประถมในโรงเรียนที่ตั้งใจรับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์อย่างไรอย่างนั้น

หลูอิงฟังเข้าหูแล้วจริงๆ

หากไม่ทะนุถนอมชีวิต เขาคงสู้ตายไปนานแล้ว

แน่นอนว่าในมือของคนหนุ่มที่มีสีหน้าเป็นมิตร ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ ผู้นั้นคอยควงกริชเล่มหนึ่งเล่นอยู่ตลอดเวลา แสงมีดเปล่งวูบวาบ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ค่อนข้างสำคัญแล้ว

เมืองหลวงต้าเฉวียน ในคุกน้ำลึกลับแห่งหนึ่งของนครเซิ่นจิ่ง

บุรุษผู้หนึ่งที่ปล่อยผมสยายยุ่งเหยิง เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบสกปรก กลิ่นเหม็นโชยคลุ้งอยู่ในคุก

นึกไม่ถึงว่าอ๋องเจ้าเมืองผู้สำเร็จราชการแทนของต้าเฉวียนในอดีตต้องตกต่ำอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้

หลิวฉงที่นั่งพิงกำแพง ร่างทั้งร่างห่อตัวงองุ้มเงยหน้าขึ้นมองผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งที่อยู่นอกคุก ข้างกายยังมีพ่อบ้านผู้เฒ่าที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีดำคนหนึ่งติดตามมาด้วย

หลิวฉงดิ้นรนลุกขึ้นยืน หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “โอ้ นี่มันเซินกั๋วกงผู้เฒ่าที่มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมืองไม่ใช่หรือ? ทำไม เพิ่งจะลงจากเตียงมังกรของนังเหยาจิ้นจือผู้นั้นมา แข้งขาอ่อน เวลาเดินเลยไม่ส่งเสียงอย่างนั้นหรือ นี่ยังใช่เกาซื่อเจินที่แม้จะแก่ชราแต่กลับเปี่ยมด้วยกำลังวังชาอย่างในความทรงจำของข้าผู้นั้นอยู่ไหม? หรือว่าลีลาบนเตียงของโสเภณีน้อยผู้นั้นพัฒนามากขึ้นแล้ว น่าเสียดายที่ท่านกั๋วกงมีใจอยากสังหารโจร แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงจะสังหารโจรได้? ในเมื่อไม่มีโชคให้เสวยสุข ก็ไม่สู้เจ้าไปปรึกษากับนังจิ้งจอกเหยาจิ้นจือดูหน่อยสิว่าให้ข้าไปแทนเจ้าดีไหมล่ะ?”

เกาซื่อเจิน กั๋วกงผู้เฒ่าที่เส้นผมทั้งศีรษะเป็นสีขาวหิมะเพียงแค่ค้อมเอวลง ไม่เอ่ยคำใด มองอ๋องเจ้าเมืองที่ต่อให้อยากตายก็ยังไม่ตายได้ผู้นั้น “เจ้าไม่ฉลาดเหมือนหลิวเม่าจริงๆ เสียด้วย”

เกาซื่อเจินกระตุกมุมปาก “หากมีใจคิดอยากตายจริงๆ ก็ไม่ควรใช้วิธีชั้นต่ำเช่นนี้ ดังนั้นสืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ก็คือเจ้ายังไม่อยากตายนั่นเอง”

หลิวฉงหัวเราะเสียงดังลั่น “เกาซื่อเจินหนอเกาซื่อเจิน ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้ามีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้เพื่ออะไรกันแน่?!”

หลิวฉงขยับเส้นสายตามองไปยังพ่อบ้านผู้เฒ่าที่ตามติดไม่ห่างกายเซินกั๋วกงแล้วจุ๊ปากเอ่ยว่า “หรือว่าท่านกั๋วกงชอบแบบนี้? ถ้าอย่างนั้นก็สมกับดั่งคำกล่าวที่ว่าครองคู่อยู่ร่วมกันจนหัวขาวแล้วจริงๆ”

เกาซื่อเจินเอ่ย “วันนี้มาที่นี่เพราะมีข่าวหนึ่งจะมาบอกเจ้า”

หลิงฉงพลันตัวอ่อนยวบลงกับพื้น ขดตัวเป็นก้อนกลม ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ร้องโหยหวนคร่ำครวญไม่หยุด

เกาซื่อเจินรอคอยให้หลิวฉงผู้นี้กลับคืนมาเป็นปกติอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งต่อมาหลิวฉงที่นอนอยู่บนพื้นก็พูดเสียงสั่นว่า “ช่างเถิด ไม่อยากฟัง”

เกาซื่อเจินพยักหน้า หมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป เพิ่งจะยกเท้าขึ้นกลับพลันหยุดชะงัก ถามว่า “เพื่อสตรีคนหนึ่ง คุ้มค่าแล้วหรือ? หากไม่เป็นเพราะปีนั้นเจ้าใจร้อน ทุกอย่างก็ต้องเป็นของเจ้าแล้ว”

หลิวฉงพึมพำ “พวกเจ้าต่างก็ไม่คู่ควรกับนาง”

อ๋องเจ้าเมืองที่กลายมาเป็นนักโทษยื่นมือที่สั่นเทาออกไป นิ้วทั้งห้างอลงน้อยๆ เหมือนตะขอ จากนั้นก็พลันคลายออก จู่ๆ ก็หัวเราะเอ่ยว่า “อย่างน้อยก็ใหญ่เท่านี้!”

เกาซื่อเจินส่ายหน้า เดินจากไปอย่างเนิบช้า

พ่อบ้านเฒ่าเดินตามหลังนายท่านกั๋วกงผู้เฒ่าของตนไปเงียบๆ

เกาซื่อเจินเดินออกมาจากคุกน้ำแล้วก็หรี่ตาลงหลบเลี่ยงแสงแดดแยงตานั้นตามจิตใต้สำนึก เอ่ยว่า “ไปที่อาราม ไปพบนักพรตหลงโจวผู้นั้นกับข้าสักรอบ จากนั้นค่อยออกจากเมือง ไปคัดคัมภีร์ที่วัดเทียนกง”

พ่อบ้านผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าตอบตกลง

……

จวนเหยา

เหนียงเนียงเทพวารำคลองม่ายเหอคล้ายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ยามเผชิญหน้ากับสายเหวินเซิ่ง ดูเหมือนว่าตนจะต้องทำตัวเลอะเลือนทุกครั้ง เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม จะเสียมารยาทอีกไม่ได้เด็ดขาด นางจึงรีบประสานมือคารวะบัณฑิตคนนั้นทันที ก้มหน้าลงพูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “หลิ่วโหรวแห่งตำหนักปี้โหยว คารวะอาจารย์น้อยเฉิน”

เฉินผิงอันไม่ได้นึกถึงมารยาทพิธีการที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน จึงได้แต่คารวะกลับคืน “เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วคารวะเหนียงเนียงเทพวารี”

ภูเขาลั่วพั่ว? ลั่วพั่วจากประโยคว่าขวัญหนีดีฝ่อ (ในประโยคนี้ใช้คำว่าซือหุนลั่วพั่วที่แปลว่าตกใจขวัญกระเจิง ขวัญหนีดีฝ่อ แต่หากเป็นคำว่าลั่วพั่วคำเดียวจะแปลว่าผิดหวังท้อใจ ตกอับ) น่ะหรือ?

หลิวจงคนลับมีดที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกสงสัยเล็กน้อย มีภูเขาลูกไหนบ้างที่จะตั้งชื่อให้ไม่เป็นมงคลเช่นนี้? หลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้ว โดยเฉพาะเมื่อโชควาสนาอำนวยทำให้ได้กลายมาเป็นผู้ถวายงานต้าเฉวียน มีหน้าที่คล้ายคลึงกับโซ่วกงไหวในอดีต หลิวจงก็ได้สืบข่าวเกี่ยวกับรากฐานของเฉินผิงอันผู้นี้มาไม่น้อย น่าเสียดายที่ใบถงทวีปที่กว้างใหญ่ไพศาล เปิดอ่านเอกสารลับของราชสำนักมาจนถ้วนทั่ว บ้างก็สืบข่าวมาจากสามเหยารุ่นเยาว์ สำนักบนภูเขา ตระกูลชนชั้นสูงล่างภูเขา ล้วนไม่มีที่ไหนที่สอดคล้อง ตอนนี้ดูจากท่าทางของเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอแล้ว อาจารย์น้อย? หรือว่าเฉินผิงอันคือลูกศิษย์สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อจริงแท้แน่นอน? ทว่าเมื่อสงครามใหญ่เกิดขึ้น สำนักศึกษาสามแห่งของใบถงทวีปล้วนเข้าร่วมสงครามจนดับสูญกันไปหมดแล้ว คนอย่างเฉินผิงอันที่หากอยู่ในสถานการณ์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่มีชื่อเสียง หากจะบอกว่าเฉินผิงอันรักตัวกลัวตาย หลิวจงก็ไม่เชื่อเด็ดขาด หลิวจงเชื่อใจเจ๋อเซียนคนหนึ่งที่กล้าสังหาร อีกทั้งยังสามารถสังหารติงอิงได้ และยิ่งเชื่อใจในสายตาการมองคนของตัวเองกับจ้งชิว

สองชีวิตนี้ของหลิวจง มีอยู่สองจุดที่ชวนให้คันคะเยออย่างถึงที่สุด จุดแรกเป็นปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่เคยพูดแฉตอนอยู่บ้านเกิดว่า ไม่เอา ‘เลี่ยนซือ’ ดาบอาคมตระกูลเซียนมา ไม่ยินดีเปลี่ยนมันกับมีดเลาะกระดูกที่เหมาะมือมากกว่า จุดที่สองก็คือได้เปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตรกับคนสองคนอย่างเฉินผิงอันและจ้งชิวได้ เลือกที่จะรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา ผู้ฝึกยุทธดูแคลนความเป็นความตาย ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำใจในยุทธภพ

เหนียงเนียงเทพวารีถามอย่างใคร่รู้ “อาจารย์น้อยเดินทางจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาที่ใบถงทวีปหรือ หรือว่าเป็นท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่ได้รับจดหมายกระบี่บินจากข้า?”

ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยตอบ แล้วก็มองไม่เห็นว่าอาจารย์น้อยผู้นั้นขยิบตาพยายามส่งสัญญาณให้นางสุดชีวิต นางก็กระทืบเท้า พูดพึมพำกับตัวเองขึ้นมาก่อนว่า “ตอนนั้นข้าน้ำเข้าสมอง ก็ไม่แปลกที่นครเซิ่นจิ่งจะมีหิมะใหญ่ตกทุกปี ข้าหรือจะเคยมีประสบการณ์กับเหตุการณ์เช่นนั้นมาก่อน หิมะตกราวกับมีเงินเกล็ดหิมะตกลงมาอย่างไรอย่างนั้น ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งความรู้สูง ความสามารถมาก แบกภาระหนักหน่วง มีภารกิจสำคัญยุ่งวุ่นวายอยู่ทุกวัน ข้าไม่ควรรบกวนการตั้งใจศึกษาหาความรู้ของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ประเด็นสำคัญคือถ้อยคำที่เขียนในจดหมาย เหมือนว่าขอร้องให้คนช่วยเหลือเสียที่ไหน แข็งกระด้างเกินไป ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ราวกับหญิงแก่ทำตัวโวยวายไร้เหตุผล ตอนที่กระบี่บินจากไป ข้าก็เลยสำนึกได้อย่างไรล่ะ เสียใจจนไส้เขียวแล้ว เลยวิ่งตามกระบี่บินไปหลายร้อยลี้ ไหนเลยจะตามได้ทัน ข้าไม่ใช่อาจารย์จั่วที่ยึดครองเวทกระบี่ครึ่งหนึ่งของใต้หล้าเสียหน่อย ดังนั้นตั้งแต่ปีก่อนจนถึงตอนนี้ ข้าถึงได้รู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข ทุกวันเอาแต่หันหน้าเข้าผนังทบทวนตัวเองอยู่ในกองโหราศาสตร์ ดื่มเหล้าลงโทษตัวเองทุกวัน”

สุราบุปผาน้ำของจวนปี้โหยว ที่แท้ก็ถูกเหนียงเนียงเทพวารีดื่มจนหมดไปทั้งอย่างนี้

เหนียงเนียงเทพวารีที่มีบ้านแต่ไม่ยอมกลับผู้นี้ ชื่อจริงคือหลิ่วโหรว (หลิ่ว หมายถึงต้นหลิว โหรว หมายถึงนุ่มนวล) ไม่ว่าจะเป็นแซ่หรือชื่อ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับนิสัยใจคอของนางสักเท่าไร

ก่อนหน้านี้ได้ยินเหยาเซียนจือเล่าว่า ในอดีตตอนอยู่ที่นครเซิ่นจิ่ง นางกับหลิ่วโย่วหรงคู่บำเพ็ญตบะแห่งขุนเขาสายน้ำของเจิ้งซู่ฝู่จวินจวนจินหวง แค่พบเจอหน้าก็ถูกชะตากันทันที พอได้ยินว่าอีกฝ่ายก็แซ่หลิ่วเหมือนกัน เหนียงเนียงเทพวารีก็กระโดดตบไหล่ของหลิ่วโย่วหรงทันที บอกว่าบังเอิญยิ่งนัก สุดท้ายทั้งสองฝ่ายยังรับกันเป็นพี่สาวน้องสาวบุญธรรม เจิ้งซู่ที่เคยเป็นนักโทษอยู่ในคุกน้ำของนครเซิ่นจิ่ง ในอดีตสามารถหยัดยืนอยู่ในนครเซิ่นจิ่งได้ ไม่ถูกคนดูแคลแม้แต่น้อย ก็คล้ายว่าสามีสูงศักดิ์ได้เพราะภรรยา ในสายตาของผู้สูงศักดิ์ที่มีอำนาจและในสายตาของเซียนซือ แน่นอนว่าต้องเป็นจวนจินหวงที่ปีนป่ายตีสนิทตำหนักปี้โหยว

ในเมื่อเหนียงเนียงเทพวารีพร่ำพูดยาวเหยียดเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมก็ล้วนพูดออกมาหมดแล้วเช่นนี้ เฉินผิงอันจึงไม่จงใจปิดบังสถานะสายบุ๋นอีกต่อไป ยิ้มพูดอธิบายกับนางว่า “ข้าเดินทางจากถ้ำแห่งโชควาสนามายังใบถงทวีป ไม่ได้ไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ดังนั้นอันที่จริงเรื่องที่เหนียงเนียงเทพวารีส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวยังสวนกงเต๋อ ข้าจึงไม่รู้เรื่อง”

เหนียงเนียงเทพวารีกระทืบเท้าอีกครั้ง “น่ารำคาญยิ่งนัก ไม่ช้าก็เร็วต้องโดนแทงหนึ่งมีดเป็นแน่ จะโทษที่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งตำหนิสั่งสอนไม่ได้ เป็นข้าที่รนหาที่เอง ทว่ามีดนี้วางอยู่บนหัวแล้ว จะเอาแต่ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นไม่หล่นลงมาก็คงไม่เข้าท่าหรอกนะ ข้าต้องนับนิ้วคำนวณวันอีกแล้ว ค่อยๆ รอไปยังไม่สู้ให้ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งส่งจดหมายกลับมาด่าให้ยับเยินไปเลยเสียดีกว่า ข้าจะได้ไสหัวกลับไปที่ตำหนักปี้โหยวได้สักที”

——