บทที่ 759.3 เดินทางยามค่ำคืน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “อาจารย์ข้าจะด่าท่านทำไม ส่วนเรื่องที่ว่าอาจารย์จะหาโอสถวารีที่เหมาะสมได้หรือไม่นั้น ในจดหมายจะต้องมีคำตอบที่แน่ชัดมาให้เหนียงเนียงเทพวารีแน่นอน”

ใบหน้าของเหนียงเนียงเทพวารีเต็มไปด้วยความละอายใจ และยังมีความสงสัยเล็กน้อย

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าลืมว่าข้าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ หากอาจารย์จะด่าท่านจริงๆ ข้าจะช่วยเขียนจดหมายตอบกลับให้ท่านเอง”

ก็ดีเหมือนกัน อยู่ที่กองโหราศาสตร์อันกว้างใหญ่ของต้าเฉวียนนี้ หากช่วงนี้ได้รับจดหมายตอบกลับมาจากทางสวนกงเต๋อจะได้ให้เหนียงเนียงเทพวารีช่วยตอบกลับไปในจดหมายเพิ่มสักสองสามประโยค

ตามคำบอกของเจียงซ่างเจินและชุยตงซานที่ทยอยกันเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ ทุกวันนี้อาจารย์อยู่ในสวนกงเต๋อ ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลกมานานหลายปีแล้ว

นางโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกก่อน จากนั้นก็รู้สึกโมโหขุ่นเคือง “ข้ามาครุ่นคิดดูแล้ว อาจารย์น้อยท่านเป็นคนแรกที่มาเป็นแขก จากนั้นก็เป็นอาจารย์จั่วที่ไม่เคยเอ่ยถึงความยากลำบาก สุดท้ายจึงเป็นท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่มาเยือนด้วยตัวเอง เหตุใดพวกท่านมาเป็นแขกที่ตำหนักปี้โหยวแต่กลับไม่ยอมกินอาหารมื้อดึกกันเลยล่ะ ทุกวันนี้กลับดีนัก บะหมี่ปลาไหลผัดฉ่าไม่มีแล้ว ข้าอยากจะเลี้ยงอาหารพวกท่านก็ไม่มีปัญญาทำได้แล้ว ตอนนั้นเหล้าบุปผาน้ำถูกข้ากวาดเอามาจนเกลี้ยงจึงไม่เหลืออีกแม้แต่ครึ่งกา คิดจะหมักขึ้นใหม่ก็ยุ่งยากนัก เหล้าที่หมักสามปีห้าปีถือเป็นเหล้าได้ด้วยหรือ? หากไม่เก็บไว้ในห้องใต้ดินสักร้อยปีจะกล้าเรียกว่าสุราเลิศรสที่บ่มมานานได้อย่างไร? จะมีหน้ารับรองอาจารย์น้อยกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งได้อย่างไร”

เห็นว่าอาจารย์น้อยเหม่อลอย เหนียงเนียงเทพวารีก็ยิ่งรู้สึกร้อนตัว เอาเถิด ตำหนักปี้โหยวคงจะหลอกเหล่าอาจารย์สายเหวินเซิ่งให้ไปเป็นแขกเพิ่มหน้าเพิ่มตาให้อีกได้ยากแล้ว

เฉินผิงอันคืนสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ยิ้มเอ่ยว่า “ขอแค่เป็นเหล้าบุปผาน้ำก็พอ จะกี่ปีหรือกี่สิบปีก็ได้ ไม่พิถีพิถันเรื่องนี้ ส่วนบะหมี่ปลาไหลก็ยิ่งไม่เรียกร้อง เหนียงเนียงเทพวารี พวกเรามานั่งลงคุยกันเถิด”

บะหมี่ปลาไหลหนึ่งอ่าง ใส่พริกชี้ฟ้าไปแล้วครึ่งอ่าง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าขยับตะเกียบหรอก

นี่พอๆ กับหลักการยามที่ผู้ฝึกลมปราณดื่มสุราบนโต๊ะ บะหมี่ปลาไหลสีแดงเถือกถ้วยเล็กๆ ยังพอทนได้ แต่อ่างหนึ่งจะกินเข้าไปได้ยังไง? จะกินหรือไม่กินดี? กินแล้วกินไม่หมดก็ไม่เหมาะไม่ควร ดังนั้นเพื่อแสดงถึงมารยาทก็ต้องเลือกที่จะไม่ขยับตะเกียบ คือวิธีการที่ฉลาดที่สุดแล้ว

ศิษย์พี่จั่วโย่วไม่ชอบดื่มเหล้า เฉินผิงอันรู้ดี ส่วนเรื่องที่ว่าศิษย์พี่กินเผ็ดไม่ได้แม้แต่น้อย ปีนั้นตอนอยู่ในร้านเหล้าอาจารย์ก็เคยพูดให้ฟังมาก่อน

อาเหลียงเคยกลั่นแกล้ง สั่ง ‘ต้มน้ำใส’ มาให้ศิษย์พี่จั่วโย่วถ้วยหนึ่ง บอกว่าในเมื่อไม่ดื่มเหล้า ถ้าอย่างนั้นก็ซดน้ำต้มแทนเหล้า หากขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมกินก็เกินไปหน่อยจริงๆ

ผลคือจั่วโย่วไม่คิดอะไรมาก ยกเหล้าถ้วยนั้นขึ้นดื่ม แล้วก็ดื่มทีเดียวหมดถ้วยจริงๆ ว่ากันว่าเผ็ดร้อนจนศิษย์พี่จั่วโย่วหน้าแดงก่ำ ถึงกับลุกพรวดยืนกระทืบเท้า ขาดก็แค่ไม่ได้ลงไปกลิ้งกับพื้นเท่านั้น

ดังนั้นปีนั้นศิษย์พี่สามหลิวสือลิ่วจึงไล่ตีอาเหลียงไปหลายถนน

แล้วก็เพราะว่าเป็นตำหนักปี้โหยว หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนตระกูลเซียนแห่งอื่น กล้ายกบะหมี่ปลาไหลอ่างใหญ่ขนาดนั้นออกมาถามจั่วโย่วว่าจะกินอาหารมื้อดึกหรือไม่

คงถือว่าเป็นการถามกระบี่ที่แท้จริงกับจั่วโย่วครั้งหนึ่งแล้ว

ต่างคนต่างนั่งลง เฉินผิงอันที่ได้เดินทางผ่านราชวงศ์ต้าเฉวียนอีกครั้ง หลิ่วโหรวเทพวารีลำคลองม่ายเหอ เหยาเซียนจือเจ้าเมืองแห่งเมืองหลวง หลิวจงผู้ถวายงานลำดับสูงสุดของต้าเฉวียน เหยาหลิ่งจือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขา

คนลับมีดหลิวจงมีสีหน้ากระจ่างแจ้งในฉับพลัน เจ้าตัวดี ที่แท้ก็เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเหวินเซิ่งลัทธิขงจื๊อ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ศิษย์น้องของเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่วหรอกหรือ?

ใบถงทวีปแห่งนี้เลื่อมใสบูชาเซียนกระบี่ใหญ่จั่วท่านนี้อย่างสุดจิตสุดใจเลยทีเดียว

ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็อธิบายได้กระจ่างแล้ว สิ่งที่เหวินเซิ่งต้องประสบพบเจอ รวมไปถึงการสูญเสียอำนาจฝ่ายในลัทธิขงจื๊อของสายเหวินเซิ่ง หลิวจงพอจะรู้มาบ้าง หากเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเหวินเซิ่งผู้นั้นจริง เกินครึ่งเจ๋อเซียนเซียนกระบี่เด็กหนุ่มก็น่าจะได้รับการถ่ายทอดเวทกระบี่มาจากเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโดยตรง พอไปถึงพื้นที่มงคลก็ยังชอบพร่ำพูดหลักการเหตุผล แต่การวางตัวก็ดีเยี่ยมรู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ สามารถสาวเบาะแสจากสถานการณ์วุ่นวายจนพบเจอทางถอยเส้นหนึ่ง เมื่อเทียบกับการกระทำของซิ่วหู่แห่งต้าหลีแล้วก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก บวกกับที่ความเลื่อมใสที่ตำหนักปี้โหยวมีต่อความรู้ของสายเหวินเซิ่ง เหนียงเนียงเทพวารีสนิทสนมกับเฉินผิงอันถึงเพียงนี้ ก็ยิ่งสมเหตุสมผลเข้าไปใหญ่

เหยาเซียนจือกับเหยาหลิ่งจือมองหน้ากันไปมา

ลูกศิษย์เหวินเซิ่ง? แล้วยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายด้วย?

ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเฉินผิงอันก็คือศิษย์น้องของซิ่วหู่ชุยฉานและเซียนกระบี่จั่วโย่วหรอกหรือ?

เหยาหลิ่งจืออดไม่ไหวมองบุรุษหนุ่มที่สวมชุดเขียวปักปิ่นหยกบนมวยผมอีกหลายที คล้ายไม่ค่อยกล้าเชื่อสักเท่าไร

เฉินผิงอันเอ่ยกับสองพี่น้องว่า “เกี่ยวกับตัวตนของข้า นอกจากท่านปู่เหยาแล้ว ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็จำไว้ว่าช่วยเก็บเป็นความลับให้ข้าก่อนชั่วคราว”

เหยาเซียนจือกำลังจะพูดหยอกล้อ เหยาหลิ่งจือกลับกระทืบหลังเท้าเขาหนึ่งที เอ่ยเสียงจริงจังว่า “คุณชายเฉินวางใจได้เลย ต่อให้เป็นพี่หญิง พวกเราก็จะยังปิดปากให้สนิท”

หลิวจงพยักหน้า ค่อนข้างพึงพอใจ ลูกศิษย์เปิดขุนเขาที่ตนรับมาผู้นี้ อันที่จริงอยู่ในใต้หล้าไพศาล คุณสมบัติในการเรียนวรยุทธไม่ถือว่าน่าตะลึงมากนัก แต่ในเรื่องของความรู้สึกผู้คนเรื่องราวทางโลก นางกลับผ่านการขัดเกลามาอย่างดีเยี่ยม

เมื่ออยู่ในสถานที่ที่จอแจเก็บปาก เมื่อถึงยามที่เงียบสงบเก็บใจ

ก็คือการฝึกตน ไม่ว่าจะเป็นการพิสูจน์มรรคาเป็นอมตะของผู้ฝึกลมปราณ หรือการฝึกหมัดเดินขึ้นสู่ที่สูงของผู้ฝึกยุทธ เส้นทางใต้ฝ่าเท้าแตกต่างกัน ทว่าหลักการกลับเหมือนกัน

เฉินผิงอันมองเหยาหลิ่งจือ

สตรีออกเรือนแล้วพกดาบยิ้มเอ่ย “คุณชายเฉิน ท่านยังไม่เชื่อใจข้าหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางเบา “ย่อมต้องเชื่อใจ เพียงแต่ยากจะเอาแม่นางเหยาที่อยู่ตรงหน้ามาทับซ้อนเข้ากับภาพของแม่นางเหยาที่พบเจอในโรงเตี๊ยมเมื่อปีนั้น”

เหยาเซียนจือเอ่ยสัพยอก “แม่นางเหยาอะไรกัน ฟังแล้วขัดหูนัก พี่สาวของข้าแต่งงานเป็นภรรยาผู้อื่น ช่วยเหลือสามีอบรมสั่งสอนบุตรมานานหลายปีแล้ว อาจารย์เฉินท่านเรียกนางว่าพี่หญิงใหญ่เหยาก็ได้แล้ว”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้าโดยสารเรือข้ามทวีปของหลิวเสียทวีปที่ผ่านสำนักอวี่หลงและเกาะหลูฮวา มาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือชวีซาน ระหว่างทางที่มาได้ยินข่าวลือบนภูเขาบางอย่างจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เกี่ยวกับราชวงศ์ต้าเฉวียนของพวกเจ้า ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าฟังเท่าใดนัก”

เหยาหลิ่งจือเงียบงันไป

เหยาเซียนจือกลับหลุดหัวเราะพรืด “ไม่ค่อยน่าฟังอะไรกัน ต้องระคายหูมากแน่นอน อิจฉาเรื่องสันนิบาตใบท้อของราชวงศ์ต้าเฉวียนพวกเรา และยิ่งรังเกียจที่ปีนั้นพวกเราโชคดีไม่เสียแคว้น ทุกวันนี้ยังมีสถานการณ์ที่สตรีขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้อีก คำวิพากษ์วิจารณ์บนภูเขามีมากจะตายไป อาจารย์เฉินหากท่านอยู่ที่ท่าเรือตระกูลเซียนทางทิศเหนือของนครเซิ่นจิ่งนานวันหน่อย ถ้อยคำเหยียดหยามสารพัดสารพัน ท่านก็จะได้ยินหลายกระบุงใหญ่ได้อย่างง่ายๆ บอกว่าฝ่าบาทของพวกเรา บอกว่าตระกูลเหยาของพวกเราแย่งชิงราชบัลลังก์ แล้วยังสงสัยว่าตลอดทั้งราชวงศ์ต้าเฉวียนได้สมคบคิดกับกองทัพเผ่าปีศาจหรือไม่ สรุปก็คือแต่ละคนล้วนไม่อาจทนเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองได้ มีความสามารถที่จะอยู่เฉยรอความตาย ปล่อยให้พวกสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจทำลายจนย่อยยับ ทุบทำลายขุนเขาสายน้ำในอาณาเขตให้พังทลายได้อย่างง่ายๆ แต่กลับไม่มีปัญญายอมรับเรื่องที่ว่ากองทัพชายแดนต้าเฉวียนของพวกเราต้องบาดเจ็บล้มตายกันไปเกินครึ่ง สุดท้ายถึงจะพิทักษ์นครหลวงแห่งหนึ่งเอาไว้ได้ พวกวีรบุรุษชายชาตรี เทพเซียนบนภูเขาทั้งหลายที่นอนรอความตายแต่ดันไม่ตายพวกนั้น แต่ละคนช่างทำให้ข้านับถือเสียจริง ดังนั้นหลายปีมานี้ทุกครั้งที่พบเจอพวกเขาหนึ่งคน ข้าก็จะอดไม่ไหวต้องเลี้ยงสุราคารวะพวกเขาจอกหนึ่งอยู่เสมอ”

เหยาหลิ่งจือยิ้มขมขื่น ถลึงตาใส่น้องชายปากไม่มีหูรูดไปทีหนึ่ง คำพูดระคายหูเจ้าเองก็พูดไปไม่น้อย การลงนามสันนิบาตใบท้อที่อยู่ภายใต้การจับตามองของคนมากมายครานั้น เจ้าถูกพี่หญิงจิ้นจือขับไล่ออกมาได้อย่างไร ในใจจะไม่รู้เลยหรือ? แล้วภายหลังล่ะไปเกิดข้อพิพาทกับผู้ฝึกตนถ้ำมังกรขาวได้อย่างไร?

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ประโยคหนึ่งว่า “หลังจากหิมะละลายเป็นช่วงเวลาที่ยากจะทานทนที่สุด”

หลิวจงพยักหน้า “นครเซิ่นจิ่งของพวกเรายังขึ้นชื่อว่ามีหิมะใหญ่ตกหนักตลอดทุกปีอีกด้วย”

เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง นางพยักหน้ารับเบาๆ พูดอย่างปลงอนิจจังว่านั่นสิ นั่นสิ

อันที่จริงนางไม่ได้เข้าใจความหมายลึกล้ำอะไรหรอก แต่หิมะของนครเซิ่นจิ่งตกหนักตกแรงหรือไม่ นางที่เป็นเทพวารีลำคลองม่ายเหอซึ่งใกล้ชิดกับโชคชะตาน้ำย่อมสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งที่สุด ล้วนเป็นเงินเทพเซียนทั้งนั้นจริงๆ

นอกจากรอจดหมายตอบกลับแล้ว นางยังทำตามคำสั่งของฮ่องเต้โดยการไปดึงเอาโชคชะตาน้ำของหิมะใหญ่จากนครเซิ่นจิ่งมาในช่วงฤดูหนาว อันที่จริงนางก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย เหยาเซียนจือหยอกเย้านางว่านางมาอยู่เปล่ากินเปล่า แต่นางไม่เคยยอมรับ

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันใจลอยไปไกลก็เพราะพอได้เจอกับเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอที่เลื่อมใสในความรู้ของอาจารย์เป็นที่สุดผู้นี้อีกครั้ง เรื่องที่ไม่ทันระวังเรื่องหนึ่งก็ลอยขึ้นมาในใจของเขา

ตามคำกล่าวบางอย่างของเจียงซ่างเจินตอนที่อยู่บนยอดเขาอวิ๋นจี๋ รวมไปถึงการคุยเล่นกับลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาที่หน้าประตูภูเขาไท่ผิง เฉินผิงอันจึงได้รู้ว่าสถานการณ์ของสายเหวินเซิ่งในใต้หล้าไพศาลทุกวันนี้ไม่ได้…ตกอับเหมือนอย่างในปีนั้นอีกต่อไปแล้ว ถึงขั้นที่ว่าในสายตาของเฉินผิงอัน มันเริ่มมีเค้าโครงว่าจะเดินจากสุดขั้วหนึ่งไปอีกสุดขั้วหนึ่งแล้ว

ใต้หล้าไพศาลไม่เพียงแต่ไม่สั่งห้ามความรู้ของสายเหวินเซิ่งอีกต่อไป กลับกันยังมีคนเสนอแนะว่าเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของไพศาล อย่างน้อยที่สุดสำนักศึกษาของสี่ทวีปที่มีแจกันสมบัติเป็นหนึ่งในนั้นก็ควรจะนับถือความรู้สายเหวินเซิ่งเพียงสายเดียว เหตุผลก็เพราะเห็นได้ชัดว่าทฤษฎีคุณความชอบของสายเหวินเซิ่งสอดคล้องกับสามไม่เสื่อมและการอบรมตนปกครองบ้านเมืองสำหรับบัณฑิตมากกว่าของสายหย่าเซิ่ง แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ สามารถกอบกู้สถานการณ์ที่กำลังจะพังครืนกลับมาได้ สำนักศึกษาสามแห่งของใบถงทวีปล้วนเป็นของสายหย่าเซิ่ง ทว่าแค่แตะกลับพังทลาย ขนบธรรมเนียมประจำทวีปก็ยิ่งเละเทะดูไม่ได้ท่ามกลางสถานการณ์อันวุ่นวาย ถึงอย่างไรตัวอย่างสองข้อก็มากพอจะพิสูจน์ทัศนคติข้อนี้แล้ว ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาจำนวนไม่น้อย ผู้รอบรู้ด้านการประพันธ์ด้านบทความของแต่ละแคว้นในแต่ละทวีป ล้วนเดือดดาลต่อความไม่เป็นธรรม ไม่เพียงแต่เสนอว่าต้องย้ายเทวรูปเหวินเซิ่งกลับเข้าไปในศาลบุ๋นแผ่นดินกลางอีกครั้ง ถึงขั้นที่ว่าตำแหน่งยังต้องเหนือกว่าหย่าเซิ่งด้วย ตามหลักแล้วควรเป็นรองแค่ปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งเท่านั้น…

พอเฉินผิงอันได้ฟังข่าวพวกนี้ อันที่จริงก็ไม่ได้มีความยินดีมากนัก กลับกันยังอดเป็นกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้

กลับกลายเป็นว่ารู้สึกเหมือนชุยฉานจะพูดถูกและคำนวณได้แม่นยำอีกครั้งหนึ่งแล้ว

บนหัวกำแพงเมือง ชุยฉานยิ้มเอ่ย ใต้หล้าสงบสุขแล้วหรือ ดูเหมือนว่าจะใช่ สามารถนอนหนุนหมอนสูงอย่างไร้กังวลได้แล้วหรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก

รอกระทั่งเฉินผิงอันหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลอีกครั้ง พูดถึงแค่ทัศนคติต่อสายเหวินเซิ่งของใต้หล้าไพศาลที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นเรื่องดีหรือ? แน่นอนว่าใช่ เพียงแต่ว่ามีแค่เรื่องดีเท่านั้นหรือ? กลับไม่แน่เสมอไป

เฉินผิงอันเข้าใจเหตุผลข้อหนึ่งอย่างกระจ่างชัดเจนดี ชื่อเสียงที่มองดูเหมือนถูกคำพูดยกยอให้สูงขึ้นนี้ ยามที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เหมือนนกที่บินอยู่ระหว่างเมฆขาว ไม่แปดเปื้อนฝุ่นแม้สักเม็ด

ทว่าความงดงามที่สูงส่งอยู่เหนือศีรษะของผู้คนนี้ ส่วนใหญ่มักจะหล่นกระแทกลงมาบนโลกมนุษย์อย่างแรง กลายมาเป็นกองโคลนเละๆ กองหนึ่งใต้ฝ่าเท้าของผู้คนได้เสมอ ถึงขั้นที่ว่ายังถูกคนหลายคนเหยียบย่ำแล้วเดินผ่านไป พร้อมกับเอ่ยคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจเพิ่มมาอีกสองสามคำด้วย

หากในสายเหวินเซิ่ง ลูกศิษย์ของอาจารย์มีเต็มบ้านเต็มเมือง ภัยแฝงที่ซ่อนอยู่พวกนี้จะถูกเฉลี่ยออกไปอย่างไร้รูปลักษณ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้ ถึงขั้นพูดได้ว่าตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ สายของเหวินเซิ่งมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดน้อยเกินไป และชุยฉานก็เคยบอกไว้ว่า เรื่องของการเขียนบทความสร้างผลงาน เฉินผิงอันไม่ต้องคิดให้มากความแล้ว สร้างคุณูปการ? ใต้หล้าสงบสุข นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เฉินผิงอันจะสร้างคุณงามความชอบอะไรได้? สร้างคุณธรรม? ตัวเฉินผิงอันเองยังไม่เคยคิดเลย ไม่เคยมีความคิดเช่นนี้มาก่อน นับตั้งแต่วันที่เปิดภูเขาก่อตั้งสำนัก เฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นผู้สร้างทฤษฎีปรัชญาอะไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าสถานะของเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง หรืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากทั้งสองสถานะนี้ถูกเปิดเผยเหมือนหินผุดหลังน้ำลด ก็ล้วนจะกลายเป็นดาบสองคมที่จะกร่อนเกลาจิตใจคนไปนับไม่ถ้วน

อันที่จริงก็เป็นสภาพการณ์เหมือนหิมะละลายเช่นเดียวกัน

เฉินผิงอันพูดคุยหัวข้อก่อนหน้านี้กับหลิวจงต่ออีกครั้ง พูดเรื่องร้านผ้าแพรต่วนที่ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานเคอเจี่ยติดริมน้ำของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน

ในบทสนทนามีคำพูดบางอย่างที่ใช้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้น

เฉินผิงอันคิดว่าจะทำการปูพื้นไปก่อน ให้คนลับมีดผู้นี้เห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวานมากสักหน่อย ในอนาคตเฉินผิงอันจะได้มีหน้ามาพูดยุแยงให้ผู้อาวุโสท่านนี้ไปเป็นผู้ถวายงานที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักเบื้องล่างภูเขาลั่วพั่ว

ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวทุกคนที่สามารถเดินออกมาจากพื้นที่มงคลได้ ไม่ว่าจะเป็นหมัดเท้าหรือนิสัยใจคอ หรือแม้แต่ประสบการณ์ในยุทธภพ ก็ล้วนไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน

ปีนั้นหลิวจงให้ราชครูจ้งชิวช่วยขายร้านค้าให้ เพื่อที่พวกลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อทั้งหลายจะได้รับเงินส่วนแบ่งกันไป ไม่ถึงขั้นที่ว่าพอไม่มีอาจารย์ช่วยดูแลก็ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพด้วยสภาพที่กระเป๋าเงินฟีบแบน และคนหนุ่มสาวทั้งหลายของแคว้นหนันเยวี่ยนก็ไม่รู้เลยว่าตาเฒ่าหลิวที่พอจะมีฝีมือการต่อสู้อยู่บ้างเล็กน้อย แท้จริงแล้วคือหนึ่งในสิบคนของใต้หล้าในยามนั้น อาจารย์ไม่อยู่ข้างกาย จะดีจะชั่วก็ยังมีเงินติดกระเป๋าให้สบายใจ ทุกวันนี้แต่ละคนต่างก็มีชีวิตที่ไม่เลว ส่วนเรื่องที่ว่าจิตวิญญาณล้วนการเป็นลายเส้นขาวดำ สำหรับผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ของพื้นที่มงคลทุกแห่งที่ถูกแบ่งจากหนึ่งเป็นสี่แล้ว อันที่จริงผลกระทบชั่วคราวล้วนยังไม่ปรากฏออกมา รอให้สัมผัสได้ถึงเรื่องนี้ ผู้ฝึกยุทธต้องการขอบเขตร่างทอง ผู้ฝึกลมปราณต้องการเลื่อนเป็นโอสถทอง ถึงเวลานั้นก็ไม่ถึงขั้นรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่มงคลรากบัวของภูเขาลั่วพั่วที่ไม่ว่าจะเป็นโชคชะตาบู๊หรือปราณวิญญาณขุนเขาสายน้ำก็ล้วนมากพอที่จะให้ทั้งสองฝ่ายเดินขึ้นภูเขาต่อไป เรือนกายที่เป็นลายเส้นขาวดำก็จะกลับมามีสีสันลงลายเส้นสีทองได้อีกครั้ง

หลิวจงรู้ว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งคุณสมบัติไม่โดดเด่นนักในบรรดาลูกศิษย์ของเขา ทุกวันนี้ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้านำทุกคนไปก่อนแล้ว ผู้เฒ่าก็รู้สึกสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก เอ่ยประโยคหนึ่งว่าสวรรค์ลิขิตชะตา โชควาสนาไปหามาเอง

——