ตอนที่ 1754: พลังของเฮายู่

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1754: พลังของเฮายู่

กู่หานเซี่ย,ปิงเหลาและเฟิงปูเล่อต่างมองไปที่เจี้ยนเฉินที่กำลังนั่งอยู่ เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงของเจี้ยนเฉิน

“เจี้ยนเฉิน เจ้าต้องการปรึกษาอะไรกับเรา ? พูดออกมาได้เลย” ปิงเหลายิ้ม

“เจี้ยนเฉิน เป็นอะไร ? มันดีหรือแย่ ? หากเป็นเรื่องดี ๆ เจ้าไม่อาจลืมข้าได้” กู่หานเซี่ยหัวเราะคิกคัก นางพูดราวกับเจี้ยนเฉินเป็นสหายเก่าแก่ของนาง

“เจี้ยนเฉิน พูดได้เลย หากมันอยู่ในความสามารถของพวกเรา เราจะช่วยเหลือเจ้าแน่ ๆ ” เฟิงปูเล่อตอบกลับมา

ไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับการพูดคุยของพวกเขา แต่ปิงเหลา, กู่หานเซี่ยและเฟิงปูเล่อทำตัวกับเจี้ยนเฉินอย่างสุภาพ พวกเขาเป็นมิตรอย่างมากและไม่เต็มใจที่จะปล่อยโอกาสใด ๆ

การบ่มเพาะของเจี้ยนเฉินนั้นอ่อนแอในสายตาของพวกเขา ดังนั้นหากเขาเริ่มต่อสู้จริง ๆ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอาชนะขั้นเหนือเทพช่วงต้น ด้วยกฎของกระบี่ที่อยู่ในขั้นเหนือเทพ อย่างไรก็ตามพวกเขารู้ดีว่าตราบใดที่เจี้ยนเฉินมีเวลา เขาสามารถบ่มเพาะตามวิธีของเขาได้ เมื่อเขามาถึงระดับเดียวกัน ความพร้อมกับความเข้าใจของเขา มันก็แทบจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันกับเขาได้ ต้องขอบคุณความแข็งแกร่งของกฏกระบี่ เขาอาจจะกลายเป็นหลิงเฮ่ากงคนที่สองโดยใช้กฏกระบี่ของเขาเพื่อสู้กับขั้นเหนือเทพช่วงกลางในฐานะขั้นเหนือเทพช่วงต้น

ถ้าเจี้ยนเฉินใช้ปราณกระบี่ที่สามารถสังหารขั้นเหนือเทพช่วงต้นได้ในทันทีนั้น จะถูกคิดว่าจะไม่มีขั้นเหนือเทพช่วงกลางเป็นคู่ต่อสู้ของเจี้ยนเฉิน

ขั้นเหนือเทพทั้งสามคนพยายามตีสนิทกับจอมยุทธอย่างนั้นมากที่สุด พวกเขาพูดราวกับว่าหากพวกเขาไม่อาจเป็นสหายกัน แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการเป็นศัตรู

หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่งเจี้ยนเฉินตอบกลับอย่างลับ ๆ ว่า “ปิงเหลา, กู่หานเซี่ย, เฟิงปูเล่อ ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าต้านขั้นเหนือเทพทั้งสามไม่ให้มายุ่งได้ด้วยความสามารถของเจ้า” เจี้ยนเฉินถามพวกเขาสามคนเพราะเขาเชื่อใจพวกเขามากที่สุดจากขั้นเหนือเทพในปัจจุบัน แม้ว่าขั้นเหนือเทพอีกสองสามคนต้องการเป็นสหายกับเขา แต่เขาก็ไม่เชื่อใจหวกเขาแม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนจากเมืองหลวงของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน

เจี้ยนเฉินไม่กล้าถามหยางไคอีกเพราะเขาเป็นขั้นเหนือเทพช่วงปลาย เขามีพลังมากกว่าที่เจี้ยนเฉินจะไว้ใจเขาได้

“พัวพันกับเหนือเทพขั้นต้นทั้งสาม ? เจี้ยนเฉิน เจ้าพยายามทำอะไร ? ” กู่หานเซี่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“เจ้าจะทราบในภายหลัง สิ่งสำคัญคือมันเป็นไปได้อย่างมากที่ขั้นเหนือเทพจะโจมตีข้า ข้าต้องการให้เจ้ารั้งเหนือเทพทั้งสามไว้เพียงครึ่งนาที และข้าจะให้ค่าตอบแทนเป็นยาฟื้นฟูวิญญาณกับเจ้า”เจี้ยนเฉินกล่าว

“หา ! ยาฟื้นฟูวิญญาณ ? ” เหนือเทพทั้งสามคนต่างตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

ยาฟื้นฟูวิญญาณนั้นมีค่าอย่างมาก เป็นเม็ดยาเพียงอย่างเดียวที่จำเป็นสำหรับเหนือเทพที่จะฟื้นฟูวิญญาณทั้งหมดในเวลาไม่กี่วินาที มันมีค่าอย่างมากจนไม่อาจหาซื้อมันได้ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน

“นอกจากยาฟื้นฟูวิญญาณที่ข้าจะให้ ข้าจะให้นมผากับเจ้าคนละ 2 หยดและข้าจะเป็นหนี้เจ้า สิ่งที่เจ้าต้องทำคือให้เหนือเทพขั้นต้นทั้งสามวุ่นวายในเวลาครึ่งนาที” เจี้ยนเฉินกล่าว เขาไม่ได้บอกทั้งหมดเพื่อให้นางฟ้าเฮายู่เข้าใกล้ศพของราชาเทพต้วนมู่

“เอาล่ะ เราตกลง เราจะรั้งเหนือเทพทั้งสามไว้ครึ่งนาที แต่เราไม่อาจทำอะไรได้หากมีขั้นเหนือเทพคนอื่น”

หลังจากลังเลอยู่ครู่หรึ่ง ปิงเหลา, เฟิงปูเล่อและกู่หานเซี่ยก็ตอบตกลง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเจี้ยนเฉินต้องการทำอะไรกับศพของเหนือเทพต้วนมู่ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจเลย พวกเขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับแหวนมิติของราชาเทพต้วนมู่และมรดกของเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ชิงมันจากเจี้ยนเฉิน แต่มันก็ยังคงอยู่ในมือของขั้นเหนือเทพช่วงปลาย ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา สำหรับเหนือเทพขั้นต้น มันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะได้รับของทั้งหมด

หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาน่าจะเห็นด้วยกับเจี้ยนเฉิน พวกเขาไม่เพียงจะเพิ่มความสัมพันธ์กับเขาเท่านั้น แต่พวกเขายังได้รับประโยชน์จากเขาเช่นกัน แน่นอนสิ่งที่พวกเขาให้ราคาจริง ๆ คือการที่เจี้ยนเฉินติดหนี้บุญคุณพวกเขา

เจี้ยนเฉินพูดตรง ๆ เช่นกัน เขาให้ยาฟื้นฟูวิญญาณของพวกเขาสามคนและหยดนมผา

เจี้ยนเฉินมียาฟื้นฟูวิญญาณทั้งหมด 10 เม็ดเท่านั้น เขาให้อันโดฟูและโม่หลิงไปคนละเม็ด ส่วนที่เหลือเขาก็แบ่งให้กับเฉินเจี้ยนคนละ 4 เม็ด ก่อนหน้านี้เขาเคยกินไป 2 เม็ดแล้ว ตอนนี้เขาจึงมีเพียง 2 เม็ด จากผลลัพธ์ดังกล่าว เฉินเจี้ยนได้ให้เขา 2 เม็ด หากหักจากที่เขาต้องให้เหนือเทพทั้งสามไปอีก 3 เม็ด เขาจะเหลือเพียงเม็ดสุดท้ายและเก็บเอาไว้ในกรณีฉุกเฉิน

เจี้ยนเฉินสามารถใช้ยาที่เขาเก็บเอาไว้ ด้วยการที่กินเอง เขาสามารถสังหารขั้นเหนือเทพช่วงตั้นได้ทั้งหมด 6 คน อย่างไรก็ตามการฟื้นฟูพลังวิญญาณของเขาหลังจากกินยาแล้ว เจี้ยนเฉินจะไม่มีเวลามากพอที่จะฟื้นตัวกับการต่อสู้ที่มาถึง ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องการเหนือเทพทั้งสามเพื่อรั้งให้กับเหนือเทพอีก 3 คนและคลายความกดดันของเขา สิ่งเดียวที่เขามีและเหนือเทพให้ความสนใจคือยาเหล่านี้

แม้ว่าจะมียาอื่น ๆ แต่พวกมันก็ไร้ค่ากับเหล่าเหนือเทพ

เจี้ยนเฉินต้องจ่ายไปมากเพื่อให้นางฟ้าเฮายู่ฟื้นฟูร่างกายของนาง

“จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าเจ้าต้องเสียเม็ดยาฟื้นฟูวิญญาณไป ? เมื่อนางฟ้าเฮายู่ทำสำเร็จและได้รับแหวนมิติของราชาเทพต้วนมู่ ข้าจะได้รับมันกลับคืนเป็นจำนวนมาก ร่างบรรพกาลของข้าอาจจะทะลวงขึ้นได้เช่นกัน”เจี้ยนเฉินคิดขณะที่ปลอบโยนตัวเอง

ขั้นเหนือเทพที่ไล่ตามกระบี่บินทองคำสามารถกลับมาได้ตลอดเวลา ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงไม่กล้าที่จะเสียเวลานัก ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยโถงศักดิ์สิทธิ์จันทร์แจ่มออกมาจากแหวนมิติของเขา เมื่อประตูเปิด นางฟ้าเฮายู่ก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมาในรูปแบบวิญญาณ เฉินเจี้ยนก็ออกมาเช่นกัน

ขั้นเหนือเทพคนอื่น ๆ สังเกตเห็นถึงการกระทำของเจี้ยนเฉินแน่นอน พวกเขาไม่มีใครประมาท

เจี้ยนเฉินรีบเก็บโถงศักดิ์สิทธิ์จันทร์แจ่มทันที อย่างไรก็ตามทันทีที่เขานำมันออกมา นางฟ้าเฮายู่ก็กลายเป็นเงาและพุ่งเข้าหาศพของราชาเทพต้วนมู่ที่มีกฏอยู่รอบ ๆ

“เป็นเพียงวิญญาณกลับต้องการครอบครองสมบัติของราชาเทพต้วนมู่ มันน่าตลก ! ” นอกจากกู่หานเซี่ย,เฟิงปูเล่อและปิงเหลาแล้ว ขั้นเหนือเทพคนอื่น ๆ ต่างก็เย้ยหยัน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ทำให้พวกเขาหุบปากลง เมื่อนางฟ้าเฮายู่ชนเข้ากับกำแพงแสง นางก็ไม่ได้ถูกทำลายอย่างที่คิดไว้ เงาร่างของนางสดใสเป็นพิเศษ แสงที่สว่างออกมาราวกับเปลวไฟสีขาวลุกไหม้จิตวิญญาณของนาง ทำให้วิญญาณของนางลดลงจนมองเห็นด้วยตาเปล่า วิญญาณของนางค่อย ๆ หลอมรวมกับพลังของกฏภายใต้การเผาไหม้

พลังทั้งหมดที่เข้ามาหาร่างของนางทำให้นางสั่นน้อย ๆ ก่อนที่จะเคลื่อนตัวออกหากอย่างช้า ๆ ราวกับว่ามันกลัวที่จะสัมผัสกับนาง

เกิดการสั่นไหวจนมองเห็นได้ ในความจริงชั้นของกฏก็สั่นด้วยความกลัว

ในเวลานี้ไม่มีขั้นเหนือเทพคนไหนรู้สึกว่าแรงกดดันที่น่ากลัวนี้เกิดจากนางฟ้าเฮายู่ เพราะนางฟ้าเฮายู่ได้ใช้แรงกดดันจากทักษะชั้นยอด มันจึงทะลวงพลังกฏเข้าไปได้

ความกดดันราวกับมาจากสวรรค์ มันเกินกว่าพลังของกฏมากจนอาจทำให้พลังของกฏเหล่านั้นต้องหลบลี้

แน่อนว่านางฟ้าเฮายู่ก็ต้องจ่ายออกไปในราคาที่เหมาะสมที่จะใช้แรงกดดันนี้ วิญญาณของนางถูกเผาไหม้และค่อย ๆ รางเลือนมากขึ้น ๆ