ห่างจากช่วงที่สมรภูมิเก้าดินแดนปิดม่าน ผ่านไปเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว

ในช่วงครึ่งปีนี้ดินแดนรกร้างโบราณเกิดเรื่องฮือฮาไม่รู้เท่าไหร่ ยิ่งไม่รู้มีคนเท่าไหร่ที่สั่นผวาเพราะผลงานการศึกในสมรภูมิเก้าดินแดนของหลินสวิน

อันดันหนึ่งแห่งสมรภูมิเก้าดินแดน!

ฉายานี้สะดุดตาราวกับอาทิตย์ดวงใหญ่บนเวิ้งฟ้า ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญในดินแดนรกร้างโบราณ ยามนี้ใครจะไม่รู้จักชื่อของหลินสวินบ้าง

คลื่นลมใต้หล้ากำเนิดในรุ่นข้า ในเหล่าข้าเขาคือสุดยอด!

‘เขา’ คนนี้ก็คือหลินสวิน

ไม่ว่าจะเป็นสำนักโบราณที่ผูกแค้นหลินสวินเหล่านั้นก็ดี หรือจะเป็นขุมอำนาจใหญ่ที่กริ่งเกรงต่อหลินสวินพวกนั้นก็ตาม

ไม่ว่าใครต่างก็รู้ชัดว่าดินแดนรกร้างโบราณในยามนี้ หลินสวินบารมีแกร่งกล้า เรืองรองคมประกาย ไม่มีใครสามารถกดข่มได้!

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าขุมอำนาจที่เคียดแค้นหลินสวินเหล่านั้นจะหวาดผวาและก้มหัวเพราะเหตุนี้

ถึงอย่างไรก็เป็นขุมอำนาจเก่าแก่ที่สืบทอดมาช้านาน ภายในจะขาดรากฐานแห่งมกุฎอริยะที่ไร้เกรงกลัวได้อย่างไร

แต่ว่าขอเพียงไม่โง่ ก็ไม่มีขุมอำนาจใหญ่แห่งไหนกล้าลงมือกับหลินสวินอีก

หลินสวินคนเดียวอาจไม่ควรค่าให้ผู้คนกริ่งเกรงนัก แต่เบื้องหลังเขามีเงาของขุมอำนาจน่าสะพรึงมากมายหนุนอยู่นานแล้ว!

อย่างเช่นตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ลัทธิเทพต้นกำเนิด หรืออย่างเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ตระกูลเยี่ยเขาจื่อเวยเป็นต้น

ล้วนเพราะหลินสวินเคยปกป้องทั่วทั้งค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ ผูกไมตรีกับมกุฎอริยะในหมู่คนรุ่นเยาว์ไว้มากมายในสมรภูมิเก้าดินแดน

และเบื้องหลังมกุฎอริยะรุ่นเยาว์เหล่านี้ แทบจะมีขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่งหนุนหลังอยู่!

หากหลินสวินประสบเคราะห์ คนรุ่นเดียวกันที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาในสมรภูมิเก้าดินแดน มีหรือจะอยู่เฉยไม่ทำอะไร

นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่ทำให้ขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ในดินแดนรกร้างโบราณหวาดกลัว!

ถึงขนาดที่ว่าเพราะจุดนี้ ขุมอำนาจใหญ่ไม่น้อยที่เคยตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อหลินสวิน ยังต้องกังวลว่าหลินสวินจะมุ่งหน้าบุกมาแก้แค้นหรือไม่

นี่ก็คือพลังแห่งอิทธิพล!

เป็นอานุภาพที่ล้นทะลักออกมาจากการที่หลินสวินกรำศึกคนเดียวนานปี!

……

เพียงแต่ที่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคนในดินแดนรกร้างโบราณคือ ในช่วงครึ่งปีหลังสมรภูมิเก้าดินแดนปิดม่าน บุคคลโดดเด่นสะดุดตา ใต้หล้าเป็นหนึ่งไม่มีสองอย่างหลินสวินนี่ กลับเงียบหายไปเหมือนระเหยกลางอากาศ ไม่มีข่าวคราวแพร่งพรายออกมาอีกเลย

มีคนบอกว่าเขากำลังปิดด่านแจ้งมรรค

และมีคนบอกว่า เป็นไปได้สูงว่าเขาอาจออกไปจากดินแดนรกร้างโบราณ หวนสู่ ‘โลกชั้นล่าง’ ไปแล้ว เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน

ถึงขั้นยังมีคนบอกว่าหลินสวินรู้ตัวว่าประกายคมแข็งกล้าแข็งเกินไป พานจะถูกริษยาได้ง่ายๆ ฉะนั้นจึงเลือกปิดบังชื่อแซ่ เก็บตัวอยู่แต่ในเรือน…

แน่นอนว่านี่ย่อมเหลวไหลอย่างเห็นได้ชัด

แต่ก็มีข่าวบอกว่าหลินสวินเคยหยิบยืมพลังของหอฤทธิ์เทพ มุ่งหน้าสู่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ทำเอาที่นั่นอึกทึกครึกโครมฟ้าพลิกดินคว่ำ

น่าเสียดาย ข่าวที่ใกล้เคียงความจริงเช่นนี้ หลังจากแพร่กระจายในดินแดนรกร้างโบราณ กลับถูกผู้คนมากมายคิดว่าเหลวไหลไม่ได้เรื่องเสียได้

เหตุผลง่ายดายยิ่ง ใครบ้างไม่รู้ว่ากำแพงเมืองด่านจักรพรรดิคือโลกของสัตว์ประหลาดเฒ่ากึ่งจักรพรรดิ

อย่าว่าแต่มกุฎอริยะแท้คนหนึ่ง ต่อให้ราชันอริยะไปเองก็ต้องตกเป็นรอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ‘อึกทึกครึกโครมฟ้าพลิกดินคว่ำ’ เลย

บางครั้งความจริงและข่าวลือล้วนสับสนแยกจากกันไม่ออกเช่นนี้

สรุปแล้วเวลาครึ่งปีผ่านไป คำวิพากษ์วิจารณ์ที่เกี่ยวกับหลินสวินก็ค่อยๆ สงบลง

ในช่วงนี้ขุมอำนาจใหญ่ที่แต่เดิมยังอกสั่นขวัญแขวน กังวลอยู่บ้างว่าหลินสวินจะบุกมาแก้แค้นถึงที่ก็ค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องเหล่านี้ไปบ้าง

ภายใต้เหตุการณ์เช่นนี้ ขบวนของพวกหลินสวินเริ่มเคลื่อนไหวมุ่งหน้าสู่หุบเขาตะวันคล้อยแล้ว!

……

หุบเขาตะวันคล้อย

อาณาเขตของเผ่าอีกาทอง และถูกมองเป็นหนึ่งใน ‘แดนเร้นอริยะ’ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนรกร้างโบราณ

เหนือตำหนักมโหฬารที่สร้างขึ้นจากอิฐสีทองแห่งหนึ่ง อีกาทองขนาดเล็กตัวแล้วตัวเล่าสยายปีกโผบิน ปีกสาดพรมเปลวเพลิงสายแล้วสายเล่า วิเศษอัศจรรย์เหนือธรรมดา

ภายในโถงตำหนัก อูเหิงเทียนนั่งบนตำแหน่งประธานตรงกลาง นั่งนิ่งอยู่คนเดียว หว่างคิ้วเจือแววเศร้าโศก

เขาสวมชุดคลุมสีทอง ผมเคราสีขาวขุ่น ใบหน้าเหี่ยวแห้ง เป็นหัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันของเผ่าอีกาทอง เป็นบุคคลน่าสะพรึงที่ทรงอิทธิพลมาเนิ่นนานหลายพันปี

เพียงแต่ในช่วงหลายปีนี้น้อยครั้งนักที่อูเหิงเทียนจะสนใจเรื่องภายในเผ่า

“เจ้าเจ็ด เจ้าสิบสาม… แค้นของพวกเจ้า ต่อไปพ่อจะต้องแก้แค้นแทนพวกเจ้าแน่…”

อูเหิงเทียนพึมพำ สีหน้าเจือแววหม่นเศร้า

ด้านข้าง ข้ารับใช้อาวุโสคนหนึ่งเห็นเช่นนี้ก็ลอบทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้

ในแดนมกุฎเมื่อหลายปีก่อน องค์ชายเจ็ดอูหลิงเต้า องค์ชายสิบสามอูหลิงเฟยของเผ่าอีกาทองล้วนถูกหลินสวินฆ่าตาย ยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองถูกฆ่าไปอีกไม่รู้เท่าไหร่

เผชิญการโจมตีอย่างหนักจากความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียลูกชาย ทุกครั้งที่หัวหน้าเผ่านึกถึงเรื่องนี้ล้วนรู้สึกเจ็บปวดปางตาย

ข้ารับใช้อาวุโสรู้ดียิ่งว่าหัวหน้าเผ่าอยากฆ่าหลินสวินนั่นมากเพียงใด แต่ก็คว้าโอกาสไม่ได้เรื่อยมา!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงครึ่งปีมานี้ เมื่อเจ้าหลินสวินนี่ผงาดง้ำเป็น ‘อันดันหนึ่งแห่งสมรภูมิเก้าดินแดน’ ชื่อสะท้านดินแดนรกร้างโบราณ นี่สำหรับเผ่าอีกาทองแล้ว ไม่ด้อยไปกว่าการถูกโจมตีอย่างหนักเลย

ในเวลาเช่นนี้แม้จะเคียดแค้นหลินสวินปานใด เผ่าอีกาทองก็ไม่กล้าลงมือผลีผลาม!

และก็เพราะเป็นเช่นนี้ ช่วงครึ่งปีมานี้สภาพจิตใจของอูเหิงเทียนจึงไม่เคยดีขึ้นเลย เวลาปกติมักจะนั่งเหม่อคนเดียว จมสู่ภวังค์ความเคียดแค้นระคนเศร้าโศกเพียงลำพัง

ทายาทถูกฆ่า กลับไม่อาจแก้แค้น นี่เป็นการทรมานที่ทารุณอย่างที่สุดชัดๆ!

“ยามที่แดนมกุฎปิดม่าน ราชครูอาวุโสอูหลิ่วฉือออกโจมตี กลับถูกเจ้านั่นฆ่าตายด้วยศรเดียว…”

“นอกเมืองหม่อนหิมะ เหล่าอริยะรวมตัวกันปิดล้อมเจ้าหมอนี่ ราชครูสวรรค์อูซิวทงก็เข้าร่วมด้วย ผลลัพธ์คือเหล่าอริยะล้วนถูกเจ้าหนุ่มนั่นฆ่าทิ้งหมดเพียงลำพัง เสียงอาลัยจากฟากฟ้านานสิบวัน เมืองหม่อนหิมะที่กว้างใหญ่ล้วนถูกเลือดย้อมแดงฉาน…”

“ยามนี้เจ้าหมอนี่บรรลุมกุฎอริยะแท้แล้ว ชื่อเสียงผงาดในดินแดนรกร้างโบราณ อำนาจบารมีดุจตะวันกลางฟ้า ขุมอำนาจไหนยังจะกล้าจัดการเขา”

อูเหิงเทียนนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น สีหน้าอึมครึมไม่มั่นคง “และข้าในฐานะพ่อ อยากแก้แค้นให้เจ้าเจ็ดกับเจ้าสิบสาม ยังต้องรอไปถึงเมื่อไหร่กัน”

ข้ารับใช้อาวุโสกล่าวปลอบ “หัวหน้าเผ่าโปรดระงับความเศร้า”

อูเหิงเทียนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หยัดตัวขึ้นยืน นัยน์ตาดุดัน อานุภาพน่าสยอง สีหน้าไร้ซึ่งความหมองเศร้าอีกต่อไป

เขาในยามนี้เปี่ยมล้นด้วยความน่าเกรงขามของหัวหน้าเผ่าคนหนึ่ง

จู่ๆ ข้ารับใช้อาวุโสก็กล่าวขึ้น “หัวหน้าเผ่า ช่วงก่อนหน้ามีข่าวแพร่ออกมา บอกว่าเจ้าหลินสวินนี่เคยปรากฏตัวที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ซ้ำยังฆ่ากู่เหลียงฉวี่อันดันหนึ่งแห่งกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิด้วยขอรับ”

อูเหิงเทียนอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็หัวเราะลั่นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ “เจ้าหมอนี่หากมีน้ำยาปานนี้จริงๆ ทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณจะไม่เทิดทูนเขาเป็นเทพเลยหรือ ข่าวลือเหลวไหลพรรค์นี้ก็ไม่รู้พวกตาถั่วคนไหนปล่อยออกมา น่าขันสิ้นดี!”

กล่าวพลางเขาสาวเท้าก้าวออกจากตำหนัก

ต้นไม้เทพตระหง่านค้ำฟ้าต้นหนึ่งยืนต้นสูงลิ่ว กิ่งก้านแข็งแรง ทั่วลำต้นแผ่ประกายเทพเปลวเพลิงสีทองอร่าม ประหนึ่งลุกโชนโชติช่วง ส่องสะท้อนหุบเขาตะวันคล้อยอันกว้างใหญ่ไพศาล

ต้นเทพฝูซาง!

ต้นไม้เทพที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ฟูมฟักแหล่งเพลิงสมาธิ ต้นของมันเทียมฟ้า ใบของมันดุจลุกโชน

ตามคำเล่าลือ แดนแห่งตะวันคล้อยก็อยู่บนต้นฝูซางต้นนี้นั่นเอง

ต้นเทพฝูซางเป็นสมบัติประจำเผ่าของเผ่าอีกาทอง นัยเร้นลับแกนหลักของ ‘คัมภีร์ยอดสุริยัน’ ที่ทายาทเผ่าอีกาทองฝึกฝน ก็มาจากลวดลายที่มีอยู่บนต้นเทพฝูซาง

ขณะเดียวกันใบไม้และรากแขนงของต้นเทพฝูซางล้วนเป็นวัตถุดิบเทพที่หายากไร้ใดเปรียบในโลก มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมต่อการฝึกปราณของผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทอง

และในต้นเทพฝูซางยังสามารถเก็บเกี่ยวเพลิงสมาธิออกมาได้ นี่เป็นถึงเพลิงเทพเผด็จการชั้นหนึ่งในใต้หล้า!

ในกาลเวลานิรันดร์ ต้นเทพฝูซางกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของเผ่าอีกาทองโดยปริยาย

น้อยคนนักจะรู้ว่าภายใต้ต้นไม้ต้นนี้มีคุกที่ถูกพลังผนึกอริยมรรคนับไม่ถ้วนปิดผนึกไว้

และน้อยคนนักจะรู้ว่า ในคุกนั่นจองจำพวกดุร้ายบ้าคลั่งอย่างที่สุดคนหนึ่งเอาไว้

ไม่ว่าเมธีนับไม่ถ้วนของเผ่าอีกาทองจะใช้วิธีโจมตี ทรมาน เคี่ยวกรำแบบใด… จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถฆ่าเขาตายได้!

ภายในคุกมืดมิดหาใดเปรียบ เงียบสงัดว้าเหว่

อูเหิงเทียนมาแล้ว สีหน้าเยียบเย็น ยืนตระหง่านอยู่บริเวณด้านนอกต้นเทพฝูซาง ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังส่วนลึกของต้นไม้เทพ

“เจ้ามารบาป เจ้ายังรอให้เจ้าสวะตัวน้อยนั่นมาช่วยเจ้าอยู่อีกหรือ น่าเสียดาย เขาไม่กล้าโผล่มาสักนิด ทำเอาข้ารออยู่ที่นี่อย่างทุกข์ทนมาครึ่งปีก็ยังไม่เห็นเจ้าสวะนี่เลย”

เขาเอ่ยปาก เสียงดังเข้าไปในคุกมืดมิดที่ถูกผนึกไว้แห่งนั้น

ฮู้ม!

ทันใดนั้นในคุกเงียบสงัดก็ปรากฏกลิ่นอายโหดเหี้ยมคับฟ้าที่ประหนึ่งจับต้องได้จริงออกมาสายหนึ่ง คล้ายเทพมารที่เก็บตัวเงียบชั่วกาลนิรันดร์เพิ่งตื่นขึ้นในเวลานี้

ต้นเทพฝูซางที่ประหนึ่งค้ำฟ้า เวลานี้ยังสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง แสงทองไหลเวียน เพลิงเทพคุโชน

ท่ามกลางความเลือนราง ในคุกมืดมิดนั่นมีเงาร่างสายหนึ่งลุกขึ้นนั่ง ดวงตาเปี่ยมด้วยความเกรี้ยวกราดและเคียดแค้นไร้สิ้นสุด

แต่ไม่นานเขาก็หัวเราะลั่นขึ้นมา “ขอเพียงเจ้าหนุ่มนั่นไม่ตาย เขาต้องมาแน่!”

สีหน้าอูเหิงเทียนเยียบเย็น ในใจกระตุกวูบ

ฟุ่บฟึ่บ!

แส้สีทองที่วิวัฒน์จากพลังผนึกกฎเกณฑ์สายแล้วสายเล่าหวดฟาดลงไปอย่างจัง ตีจนเงาร่างสายนี้เนื้อปริหนังปลิ้น

แต่เขายังคงหัวเราะลั่น เปี่ยมด้วยแววเหยียดหยันและสาแก่ใจ “เฒ่าสามานย์ รอตอนที่ข้าหลุดพ้น แค้นและเลือดที่สั่งสมมาตั้งแต่หมื่นกาลก่อนนี้ ข้าจะสนองคืนให้ครบถ้วน! ถึงตอนนั้นหุบเขาตะวันคล้อยแห่งนี้จะต้องลบชื่อออกจากดินแดนรกร้างโบราณ!”

เพียะ! เพียะ! เพียะ!

แส้ที่วิวัฒน์มาจากพลังผนึกนั่น ฟาดแต่ละทีล้วนสามารถทำให้อริยะเจ็บปวดลึกถึงกระดูก ตายมิตายแหล่ ทนทุกข์ทรมาน

แต่เงาร่างสายนั้นยังคงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “พวกเจ้าตีข้ากี่ครั้ง ข้าจำไว้ในใจทั้งหมด เมื่อกวาดล้างพวกกระจอกอย่างพวกเจ้าแล้ว ข้าก็จะไปทางเดินโบราณฟ้าดารา ตามหาเฒ่าสามานย์อย่างอีกามารมาคิดบัญชีต่อ!”

อีกามารก็คือมหาจักรพรรดิอีกามาร เป็นบรรพบุรุษที่โดดเด่นสะดุดตามากที่สุดในประวัติศาสตร์เผ่าอีกาทอง ถูกมองเป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าอีกาทอง

แต่ขณะเดียวกัน มหาจักรพรรดิอีกามารก็เป็นศัตรูที่เงาร่างสายนั้นแม้นตายก็ไม่ลืม!

สีหน้าอูเหิงเทียนเยียบเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ เจือแววเขียวคล้ำอยู่รำไร

เขามาครั้งนี้เดิมทีก็เพื่อระบายอารมณ์ภายในใจ แต่คำพูดของเงาร่างสายนั้นกลับทำให้ในใจเขายิ่งเดือดดาลมากขึ้น

เพียงแต่ตอนที่เขาอูเหิงเทียนตั้งท่าจะหวดแส้ใส่เงาร่างนั้นต่อ ทันใดนั้นข้ารับใช้เฒ่าคนหนึ่งก็ตะลีตะลานเคลื่อนผ่านห้วงอากาศเข้ามา

“หัวหน้าเผ่า เจ้าหลินสวินนั่นโผล่มาแล้วขอรับ!”

ประโยคเดียวทำให้นัยน์ตาอูเหิงเทียนส่องประกายเย็นเยียบออกมาทันที ลมหายใจยังเริ่มถี่กระชั้น “อยู่ที่ไหน”

เจ้าสวะที่ทำร้ายเจ้าเจ็ด เจ้าสิบสามจนตายคนนี้ ผ่านไปครั้งปีในที่สุดก็โผล่มาแล้ว! นี่ทำให้ความเคียดแค้นที่กดเก็บอยู่ในใจเขาเกือบควบคุมไว้ไม่อยู่

“อยู่นอกหุบเขาตะวันคล้อยของพวกเรานี่เองขอรับ”

ข้ารับใช้เฒ่าตอบกลับฉับไว

“หืม?”

อูเหิงเทียนอึ้งงัน หน้าเปลี่ยนสีทันควัน ตระหนักได้ว่าไม่เข้าที “เจ้าสวะนี่ คงไม่ใช่ว่ามา…”

“ฮ่าๆๆ มาแล้ว ในที่สุดก็มาแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าวันนี้อยู่ไม่ไกล กลับคิดไม่ถึงว่าในวันนี้จะมาแล้วจริงๆ!”

ในคุกมืดมิด เสียงหัวเราะปานเสียสติของเงาร่างสายนั้นดังก้องขึ้น

ยโสโอหังดังเช่นอดีตนิรันดร์ก่อนหน้านี้!

………