ที่นั่นคือหุบเขาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง คละคลุ้งด้วยแสงระเรื่อปานอริยเทพ ชั้นเมฆบนเวิ้งฟ้าล้วนถูกย้อมเป็นสีทองงดงาม

ทอดสายตามองไปฟ้าดินเวิ้งวาง มีเพียงหุบเขาสีทองตั้งโดดอยู่ตรงนั้น ตระการตายิ่งยวด

หุบเขาตะวันคล้อย!

ไกลออกไปนัยน์ตาดำหลินสวินเยียบเย็นลุ่มลึก สีหน้าเรียบเฉยไม่ไหวติง

ด้านข้าง เจ้านกดำรีบแนะนำเป็นพัลวัน

“เผ่าอีกาทองนี่มีราชครูสวรรค์ทั้งสิ้นสามสิบหกคน แต่ละคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับอริยะแท้”

“มีผู้อาวุโสอริยะสิบสองคน สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านี้อย่างน้อยก็มีพลังต่อสู้ระดับมหาอริยะ”

“อย่างอูเหิงเทียนหัวหน้าเผ่าเผ่าอีกาทองคนปัจจุบันก็เป็นระดับมหาอริยะคนหนึ่ง”

“นอกจากนี้คนเผ่าอีกาทองมีราวๆ สามพัน จำนวนไม่ถึงขนาดมากมาย ทว่าแต่ละคนล้วนเป็นพวกร้ายกาจทั้งนั้น”

“แน่นอน สำหรับพวกเราแล้วราชครูสวรรค์ไม่มีค่าให้สนใจด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ต้องระวังก็คือผู้อาวุโสอริยะพวกนั้น”

“และเมื่อเทียบกับขุมอำนาจอื่นๆ ในดินแดนรกร้างโบราณ รากฐานของเผ่าอีกาทองก็ไม่ได้น้อยหน้า ถึงขั้นอยู่เหนือกว่าด้วยซ้ำ”

“ส่วนหุบเขาตะวันคล้อยนั่น นับแต่อดีตจนปัจจุบันก็ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ที่นั่นเป็นรังนอนของเผ่าอีกาทอง กล่าวว่าเป็นถ้ำเสือบ่อมังกรก็ไม่เกินจริง หากพวกเราผลีผลามบุกเข้าไปอาจประสบอันตรายเหนือคาดหมายเอาได้ง่ายๆ”

“จริงสิ ในฐานะแดนเร้นอริยะ พวกนี้ก็เป็นเพียงแค่พลังเปลือกนอกของเผ่าอีกาทองเท่านั้น อิงจากคำเล่าลือในโลก เผ่าอีกาทองแม้ไม่มีระดับกึ่งจักรพรรดิควบคุมดูแล แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีพวกน่าสะพรึงระดับราชันอริยะอยู่แน่”

ฟังถึงตรงนี้หลินสวินอดมองเจ้านกดำอย่างประหลาดใจปราดหนึ่งไม่ได้ “เจ้าดูเหมือนจะเข้าใจมากทีเดียว”

เจ้านกดำหัวเราะหึๆ กล่าวอย่างได้ใจ “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ครั้งนี้นายท่านนกอย่างข้าลับดาบมาอย่างดี ตั้งใจจะโค่นต้นเทพฝูซางนั่นเสีย และถือโอกาสคว้าสมบัติอื่นๆ บางส่วนไปด้วย จะไม่ให้ตั้งใจสืบข่าวของศัตรูได้อย่างไร”

หลินสวินเองก็นึกขึ้นได้ ท่านเซิ่นเคยบอกว่าพวกกึ่งจักรพรรดิของเผ่าอีกาทอง ยามนี้ล้วนทำหน้าที่ในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าในหุบเขาตะวันคล้อยจะไม่มีสัตว์ประหลาดเฒ่านั่งเป็นกำลังหลักอยู่

อย่างน้อย ระดับราชันอริยะก็คงต้องมีอยู่บ้าง!

และในดินแดนรกร้างโบราณตอนนี้ ในขุมอำนาจแห่งหนึ่ง หากมีราชันอริยะคนหนึ่งนั่งเป็นกำลังหลักก็ย่อมเรียกได้ว่าเป็นตัวตนประหนึ่งเทียมฟ้า สามารถข่มขวัญใต้หล้าได้

แต่หลินสวินในยามนี้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว

อาหลู่ถูไม้ถูมือเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ พวกเราจะลอบโจมตีหรือจะรออยู่ที่นี่ โผล่มาหนึ่งคนก็เชือดหนึ่งคนดี”

“ลอบโจมตี?”

เจ้านกดำส่วยหน้าทันควัน “ภายในหุบเขาตะวันคล้อยมีกระบวนผนึกเป็นชั้นๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเหลือโอกาสให้พวกเราลอบโจมตี คอยเฝ้ารอก็ไม่ดี พวกเรามาแก้แค้นนะ หากไม่ได้โค่นต้นเทพฝูซางจะไม่ขายหน้าเกินไปหรอกหรือ”

เจ้านกหัวขโมยนี่ทั้งใจยึดติดแต่กับต้นเทพฝูซาง!

“แล้วเจ้าว่าควรทำอย่างไร”

อาหลู่ถลึงตา

ลูกตาเจ้านกดำกลอกกลิ้ง เหลือบมองทางหลินสวิน “เจ้าหนู ถามเจ้าอยู่นะ”

มันก็ใคร่รู้อยู่ในใจว่าเหตุใดหลินสวินถึงนิ่งนอนใจไร้กังวลเช่นนี้ ควรรู้ว่าต่อให้ราชันอริยะคิดอยากต่อกรกับเผ่าอีกาทอง เกรงว่ายังต้องชั่งใจถึงผลที่ตามมาอยู่บ้าง

“ทำอย่างไร แน่นอนว่าต้องไปเยี่ยมเยียนถึงที่ก่อน”

นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก ยิ้มกล่าว

ระหว่างพูดคุยพวกเขาก็มาถึงบริเวณที่อยู่ห่างจากหุบเขาตะวันคล้อยไม่กี่พันจั้ง ไกลออกไปเป็นปากทางเข้าหุบเขามหึมาที่ถูกแสงทองเจิดจรัสห้อมล้อม เต็มไปด้วยกลิ่นอายอริยเทพ

“พวกเจ้ามาทำอะไร”

จู่ๆ อีกาทองตัวหนึ่งก็ทะยานลงมาจากฟ้า กลายเป็นชายหนุ่มตัวผอมคนหนึ่ง สีหน้าจองหอง แววตาเยียบเย็น

“หากมาเยี่ยมเยียนก็ต้องยื่นเทียบคารวะ หากไม่มีเทียบคารวะก็รีบหัวไสไป! ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้าจะมาตามอำเภอใจ”

พร้อมกันนั้นบริเวณหุบเขามีเงาร่างมากมายหลายสายเพิ่มขึ้นมา ล้วนทอดสายตามองไปยังแขกไม่ได้รับเชิญกลุ่มนี้

“หลินสวิน มุ่งหน้ามาเยี่ยมเยียนเผ่าอีกาทอง!”

จู่ๆ หลินสวินก็โพล่งขึ้น เสียงไม่ดังนักแต่กลับก้องกังวานอยู่ในใจทุกคน ดังลอยเข้าไปยังหุบเขาตะวันคล้อย

“อะไรนะ เจ้าก็คือหลินสวิน?”

“แย่แล้ว เจ้าหมอนี่มาแก้แค้น!”

“ไม่ใช่กระมัง นี่เป็นถึงอาณาเขตของพวกเราเผ่าอีกาทอง หากเขามาแก้แค้น จะต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย”

ในลานฮือฮา ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองทั้งกลุ่มเลิ่กลั่ก สีหน้าแปรเปลี่ยน

หลินสวิน อันดันหนึ่งแห่งสมรภูมิเก้าดินแดน มกุฎอริยะคนหนึ่งที่เด่นสะดุดตาที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณตอนนี้ ใครไม่รู้จักบ้าง

แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากหายหน้าหายตาไปครึ่งปี หลินสวินถึงกับปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าอาณาเขตเผ่าอีกาทองของพวกเขา!

ชั่วขณะเดียวสายตาทุกคู่ที่มองมาทางหลินสวินล้วนเจือแววตกใจระคนสงสัย เคียดแค้น หวาดกลัว

หลินสวินคร้านจะใส่ใจ ยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ผ่าเผยตรงไปตรงมา ขวางอยู่นอกหุบเขาตะวันคล้อยสามพันจั้ง!

“นี่… นี่คิดจะใช้บารมีน่าเกรงขามเหยียบที่นี่ให้มอดดับหรือ”

เจ้านกดำยังเบิกตากว้างยากจะเชื่อ

เจ้าหนูนี่กล้าบ้าบิ่นปานนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ขนาดเผ่าพันธุ์เก่าแก่ในแดนเร้นอริยะอย่างเผ่าอีกาทองยังไม่เห็นอยู่ในสายตา

“เจรจาก่อนค่อยสู้ทีหลัง หยั่งเชิงเผ่าอีกาทองเสียหน่อย”

หลินสวินเอ่ยง่ายๆ

หุบเขาตะวันคล้อย ถึงอย่างไรก็มีพวกระดับจักพรรดิแท้ เป็นไปได้หรือที่จะไม่เหลือทางหนีทีไล่อะไรไว้เลย

ไม่นานภายในหุบเขาสีทองกว้างใหญ่นั่นพลันมีเงาร่างที่กลิ่นอายน่าสะพรึงสายแล้วสายเล่าพุ่งโฉบออกมา มีทั้งเด็กทั้งแก่ มีทั้งชายทั้งหญิง

ผู้นำก็คืออูเหิงเทียนนั่นเอง!

เดิมทีได้ยินว่าหลินสวินเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ ในใจอูเหิงเทียนยังรัดเกร็งอยู่พักหนึ่ง นึกว่าหลินสวินหาที่พึ่งมั่นคงอะไรได้แล้วถึงใจกล้าปานนี้

ใครเลยจะคาดคิด เมื่อมาถึงที่นี่ ภาพที่เห็นกลับมีสภาพเช่นนี้

หลินสวิน เจ้าคางคก อาหลู่ เจ้านกดำ คนไม่กี่คนกับนกหนึ่งตัว ยืนนิ่งเปิดเผยอยู่ตรงนั้น

นอกจากนี้ก็ไม่มีใครอื่นอีก!

ใกล้กับอูเหิงเทียน คนที่ยื่นอยู่เป็นคนใหญ่คนโตชั้นสูงของเผ่าอีกาทอง ยามเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ก็ต่างอดอึ้งงันไม่ได้

หลินสวินนี่เสียสติไปแล้วกระมัง ถึงขนาดกล้าบุกมาหาเรื่องถึงที่เช่นนี้

“ฮ่าๆ น่าสนใจ น่าสนใจยิ่งนัก ศัตรูคู่อาฆาตของเผ่าอีกาทองของข้า เป็นมกุฎอริยะแท้คนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับมาเยือนถึงที่อย่างเอิกเกริก นี่เพราะคร้านมีชีวิตอยู่เต็มทนแล้ว หรือเพราะคิดว่าเผ่าอีกาทองของข้าล่วงเกินได้ง่ายๆ”

อูเหิงเทียนหัวเราะลั่น สีหน้ากลับเปี่ยมไอสังหารโดยไม่ปกปิดแต่อย่างใด

เขายังไม่ทันไปแก้แค้นเจ้าหมอนี่ เจ้าตัวก็เป็นฝ่ายบุกมาหาถึงที่ นี่ทำให้เขารู้สึกเหมือน ‘มีสวรรค์ช่วยเหลือ’ อย่างหนึ่ง

คนอื่นๆ ก็พากันหัวเราะเย็นชา

นี่ช่างเหลวไหลเกินไปจริงๆ

ที่นี่เป็นถึงหุบเขาตะวันคล้อย เป็นอาณาเขตของพวกเขาเผ่าอีกาทอง แต่พวกหลินสวินกลับถึงขั้นกล้าโผล่มาเช่นนี้!

เพราะมีที่พึ่งจึงไม่กังวลหรือ

หรือเพราะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกันแน่

เผชิญหน้ากับสายตาเยียบเย็นเหยียดหยันทั้งหมด สีหน้าหลินสวินเรียบนิ่งไม่ไหวติง

เขาเพียงแค่ชี้นิ้วออกไปแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ข้ามุ่งหน้ามาครั้งนี้ จะทำแค่เรื่องเดียว หากฉลาดพอก็ส่งตัวผู้อาวุโส ‘เทียนเชวีย’ ที่ถูกพวกเจ้ากำราบในกาลเวลาไร้สิ้นสุดมา หาไม่ก็ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาเอง”

ประโยคเดียวทำเอาในลานฮือฮา ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองรู้สึกว่าตนหูฝาดไปแล้ว

เจ้าหมอนี่ถึงกับกล้าข่มขู่พวกเขาทั้งเผ่า?

เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร มหาจักรพรรดิแห่งยุคหรือ

ต่อให้กึ่งจักรพรรดิมาเอง เกรงว่ายังไม่กล้าสามหาวปานนี้!

แต่มกุฎอริยะแท้อย่างเขากลับพูดจาเช่นนี้ ความรู้สึกที่นำพามาสู่ผู้คนจึงเห็นชัดว่าน่าขันยิ่ง และเหลวไหลยิ่งนัก

และมีคนข้องใจ อดถามไม่ได้ “เทียนเชวียคือใคร”

“ก็เป็นเจ้ามารบาปที่ถูกกำราบอยู่ใต้ต้นเทพฝูซางนั่นอย่างไรเล่า! เป็นบรรพชนมหาจักรพรรดิอีกามารกำราบเองกับมือ เจ้าหมอนี่มาครั้งนี้ เห็นชัดว่าอยากช่วยเจ้ามารบาปนี่ออกไป ผู้มาประสงค์ร้าย”

มีคนอธิบายทันควัน

สีหน้าอูเหิงเทียนเยียบเย็นอย่างที่สุด นัยน์ตาจับจ้องหลินสวินปานคมมีด “เจ้าสวะตัวจ้อย ข้ายังไม่ทันไปแก้แค้นเจ้า เจ้ากลับเป็นฝ่ายมาหาเรื่องถึงที่ ไม่รู้ว่าคำว่าตายเขียนอย่างไรหรือ บรรลุเป็นมกุฎอริยะแท้แล้วอย่างไร อยู่ต่อหน้าเผ่าอีกาทองของข้า ก็ยังไม่ควรค่าให้ชายตาแลอยู่ดี!”

ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองทั้งกลุ่มล้วนเห็นด้วยอย่างยิ่ง

มกุฎอริยะแท้น่าสะพรึงและน่ากลัวยิ่งก็จริง แต่หากคิดอาศัยพลังนี้มาท้าทายพวกเขาเผ่าอีกาทอง นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย!

“พี่ใหญ่ ดูเหมือนพวกเวรนี่จะพากันเหยียดแคลนพวกเรายิ่งนัก”

นัยน์ตาอาหลู่มีไอสังหารไหลเวียน ชักเริ่มกดความอยากต่อสู้ไม่อยู่ขึ้นมาแล้ว

“นี่พิสูจน์ได้เพียงว่าพวกเขาเบาปัญญายิ่ง แต่ว่าเจ้าเฒ่าพวกนี้ไม่ได้เลอะเลือนสักนิด เห็นชัดว่ายังมองพลังของพวกเราไม่ออก ถึงได้ยังไม่กล้าลงมือผลีผลาม หาไม่เจ้าคิดว่าเจ้าเฒ่าพวกนี้ยังจะพูดพล่ามมากความเช่นนี้อยู่อีกหรือ”

เจ้าคางคกกล่าวหัวเราะร่วน

“ก็จริง อีกาพวกนี้ทำเป็นแต่วางก้าม”

อาหลู่เองก็ฉีกยิ้มขึ้นมา ทำหน้าเสียดสี

หลังจากผ่านคลื่นลมครั้งใหญ่จากสมรภูมิเก้าดินแดน มีหรือพวกเขาจะสนใจสถานการณ์เช่นนี้

ตราบใดที่มีหลินสวินอยู่ ต่อให้เข่นฆ่ากับเทพสวรรค์พวกเขาก็ไม่หวั่น!

ชั่วขณะเดียวสีหน้าเหล่าคนใหญ่คนโตเผ่าอีกาทองอย่างพวกอูเหิงเทียนล้วนมืดทะมืนขึ้นมา พวกเขามองไม่ใคร่ออกจริงๆ ฉะนั้นจึงไม่ได้ลงมือตั้งแต่แรก

ต่อให้ปากจะดูแคลนหลินสวินแค่ไหน แต่ในใจพวกเขาก็ไม่กล้าดูเบา

ถึงอย่างไรก็เป็นพวกร้ายกาจที่อาศัยพลังต่อสู้ของตนเข่นฆ่าผงาดขึ้นมา ครองฉายา ‘อันดันหนึ่งแห่งสมรภูมิเก้าดินแดน’ มีหรือจะเป็นพวกไม่รู้จักเป็นตาย

ในเมื่อเขากล้ามุ่งหน้ามาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีที่พึ่งบางอย่างแล้วก็เป็นได้!

และเพราะเหตุนี้ พวกอูเหิงเทียนจึงไม่ได้ลงมือทันที

หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญคนอื่นกล้าบุกมาเอะอะในอาณาเขตของพวกเขา ป่านนี้คงถูกพวกเขาซัดตายเหมือนแมลงวันไปนานแล้ว คงไม่พูดพร่ำทำเพลงสักนิด

และในเวลานี้ หลินสวินถอนใจเบาๆ “ดูท่าครั้งนี้คงได้แต่ต้องใช้กำลังลงแล้ว”

“อาศัยแค่พวกเจ้า เกรงว่ายังห่างไกลเกินไป!”

อูเหิงเทียนแค่นเสียงเย็น

เขาอดกลั้นมาเต็มทนแล้ว อยู่ในจุดที่จวนระเบิดเต็มที ไอสังหารรายล้อมทั่วร่าง

สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าไม่เป็นมิตรเช่นกัน

ฟ้าดินครัดเคร่ง บรรยากาศกดดัน

เมื่อเห็นเช่นนี้หลินสวินระบายยิ้ม ตั้งท่าเตรียมเคลื่อนไหว

ก็ในเวลานี้ เสียงหัวเราะลั่นที่ดังก้องสะเทือนไกลสายหนึ่งก็ดังมาแต่ไกลๆ

“หุบเขาวาโยพิสุทธิ์ เซี่ยวชางเทียนมาแล้ว!”

ฮู้ม!

เงาร่างกำยำสายหนึ่งแหวกอากาศมาเยือนก่อนโรยตัวสู่พื้นแผ่วเบา กลิ่นอายน่าสะพรึงโสโอหังก็พลอยแผ่กว้างตามมาด้วย

คนผู้นี้หัวไหล่สะพายดาบยาวเล่มหนึ่ง บุคลิกแข็งกร้าว เป็นเซี่ยวชางเทียนนั่นเอง

นัยน์ตาของพวกอูเหิงเทียนหดรัด

หุบเขาวาโยพิสุทธิ์ คนทั่วไปอาจไม่ค่อยรู้จักชื่อนี้เท่าใดนัก แต่ไม่ว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าคนใดที่เหยียบย่างระดับอริยะ ก็แทบจะรู้ดีว่านี่คือแดนเร้นอริยะแห่งหนึ่งที่น่ากลัวและเร้นลับปานใด!

อย่างน้อยหากพูดถึงรากฐาน ก็ไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาเผ่าอีกาทองเลยสักนิด

นี่ก็คือที่พึ่งของเจ้าหลินสวินนี่หรือ

ในใจพวกอูเหิงเทียนหัวเราะเย็นชา แค่มีคนจากหุบเขาวาโยพิสุทธิ์มาคนเดียว ก็คิดอยากงัดข้อกับพวกเขาเผ่าอีกาทองหรือ

ไม่เจียมตัว!

เพียงแต่ครู่ต่อมาก็มีเสียงดังก้องขึ้นอีกครั้ง เจือกลิ่นอายล่าสังหารดังชิ้งๆ ประหนึ่งเสียงกระบี่ครวญ