บทที่ 760.4 ส่งกระบี่รับกระบี่และถามกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ไม่รอให้หลิวเม่าเอ่ยอะไร เฉินผิงอันก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “แต่นี่ก็คือความร้ายกาจของเฝ่ยหราน ไม่รีบร้อน รอให้เจ้าพูดให้จบก่อน ข้าค่อยบอกความจริงแก่เจ้า ถึงอย่างไรในเรื่องของการวางแผนต่อใจคน เซียนกระบี่ใหญ่เฝ่ยหรานของพวกเราท่านนี้ก็มีขอบเขตสูงกว่าเจ้าอยู่หลายขุมจริงๆ”

หลิวเม่าพูดเล่าต่อจากหัวข้อก่อนหน้านี้อีกครั้ง ความหมายคร่าวๆ ก็คือฮองเฮาเหยาจิ้นจือจะร่วมมือกับอ๋องเจ้าเมืองหลิวฉงส่งตัวเกาซื่อเจินเซินกั๋วกงให้รับหน้าที่แอบติดต่อกับเซียนกระบี่เผ่าปีศาจ เฝ่ยหรานแห่งกระโจมกุ่ยโหย่วที่อยู่ในใกล้ระยะประชิดอย่างบนยอดเขาจ้าวเฟิงอย่างลับๆ จากนั้นค่อยสมคบคิดกับกระโจมทัพอู้จื่อที่ตั้งฐานทัพอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันฉีอีกที เมื่อมีการลงนามพันธมิตรที่ท่าเรือใบท้อสำเร็จจะมีของแทนตัวสำหรับการลงนามสัญญาสองชิ้น ชิ้นหนึ่งคือหยกลัญจกรสืบทอดแคว้นของสกุลหลิวต้าเฉวียน อีกชิ้นหนึ่งคือตราประทับหนังสือของมหาสมุทรความรู้โจวมี่

ผู้ที่ถือครองตราประทับคือมือกระบี่ชุดเขียวที่ล่องเรือมายังท่าเรือใบท้อเพียงลำพัง แซ่เฉิน นามผิงอัน เมื่อยี่สิบปีก่อนคนผู้นี้ก็ได้เริ่มวางแผนปูพื้นสำหรับแผนการครั้งนี้อย่างลับๆ แล้ว

ในฐานะเจ้ากรมกลาโหมผู้ซึ่งเป็นประมุขของสกุลเหยา เหยาเจิ้นจะต้องใช้กองกำลังทหารม้าฝีมือดีสกุลหลิวต้าเฉวียนหนึ่งแสนหกหมื่นนายและกองทหารรักษาการณ์ประจำท้องถิ่นสามแสนหนึ่งหมื่นนายเข้าร่วมสงคราม รบจนตัวตายอย่างไม่เสียดาย ชนะใจของเหล่าทหารและชาวประชาให้กับทางตระกูล เป็นราคาที่เหยาจิ้นจือผู้ซึ่งตั้งตนเป็นฮ่องเต้จำเป็นต้องจ่าย ส่วนค่าตอบแทนก็คือ การกระทำนี้จะกลายมาเป็นหินรองเท้าในการช่วงชิงบัลลังก์ของสกุลเหยา ต้องใช้นครเซิ่นจิ่งที่สมบูรณ์ไร้ความเสียหายมาเป็นสถานที่พิศมรรคาของโจวชิงเกาลูกศิษย์คนสุดท้ายของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ ขณะเดียวกันก็ต้องให้นครเซิ่นจิ่งกลายเป็นหนึ่งในเมืองหลวงสำรองที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก่อตั้งขึ้นมาในใบถงทวีป

เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ยชื่นชม “หากเจ้าทำสำเร็จจริงๆ ข้าผู้อาวุโสก็คงมีแต่ดินเหลืองเปื้อนเต็มกางเกงแล้ว พี่เฝ่ยหรานตัวดี เสียแรงที่ปีนั้นข้าอุตส่าห์เกรงใจเขาถึงเพียงนั้น อยากกลับมาพบเจอกับข้าอีกครั้งถึงขนาดนี้เชียวหรือนี่”

ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางจะออกมาป่าวประกาศแก่ใต้หล้า ช่วยอธิบายพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับคนหนุ่มคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากสายเหวินเซิ่งหรือ? อธิบายจนปากเปียกไปเถอะ

สายของเหวินเซิ่งนับตั้งแต่อาจารย์มาจนถึงลูกศิษย์ ไม่ใช่ว่าแต่ละคนตัวคนเดียวเดียวดาย แต่กลับสามารถค้ำแผ่นฟ้าที่กำลังจะถล่มลงมาได้หรอกหรือ? ในสงครามครานั้น สายของหย่าเซิ่งที่มีเฉินฉุนอันผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปเป็นผู้นำ ชื่อเสียงกลับทั้งเสียหายทั้งได้รับคำชื่นชมอย่างละครึ่ง ดังนั้นราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ และสำนักศึกษาใหญ่แห่งต่างๆ ก็ไม่ใช่ว่าต้องการให้คืนตำแหน่งเทพของเหวินเซิ่งในศาลบุ๋น แล้วตำแหน่งยังต้องอยู่สูงกว่าหย่าเซิ่งด้วยหรอกหรือ? ไม่ใช่ว่าต้องการเผยแพร่ทฤษฎีคุณความชอบไปทั่วหล้าหรอกหรือ? กล้าหรือ? ขอแค่เป็นคนที่มีใจ ใครบ้างจะไม่คิดมากอย่างอดไม่ได้? ถอยไปพูดหมื่นก้าว ตรวจสอบความจริงกับมองดูความครึกครื้น แบบไหนสบายกว่ากัน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินผิงอัน การกระทำทุกอย่างของเขาในภายหลังล้วนจะเป็นดั่งลมพัดใบไม้ไหวที่ดึงดูดสายตาผู้คน นั่นก็ยิ่งไม่พูดถึงการก่อสำนักตั้งพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างยังอยู่ที่ใบถงทวีปเลย

ดังนั้นสำหรับเฉินผิงอันแล้ว การค้าครั้งนี้มีความต่างแค่ว่าขาดทุนมากหรือน้อยเท่านั้น

และความชั่วร้ายของใจคนที่ใหญ่ที่สุดของการกระทำนี้ ก็คือ ต่อให้อาจารย์ไม่คิดมาก ศิษย์พี่จั่วโย่วไม่คิดมาก ศิษย์พี่สามหลิวสือลิ่วก็ไม่คิดมาก

แต่คนที่จะคิดมากที่สุดกลับเป็นเฉินผิงอันที่มีความหวังว่าจะแตกกิ่งก้านสาขาให้กับสายของเหวินเซิ่งได้มากที่สุด อีกทั้งหากเฉินผิงอันคิดมาก หรือไม่ก็ทำสิ่งที่ควรทำ ก็จะเป็นการกระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่างสำหรับทั้งสายเหวินเซิ่ง เบื้องบนไปถึงอาจารย์และศิษย์พี่ เบื้องล่างไปถึงตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่ว ทุกคนที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ

ถึงขั้นที่ว่ายังจะกระเทือนไปถึงใต้หล้าไพศาลและนครบินทะยานซึ่งอยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้าด้วย ยิ่งไปกว่านั้นอาจชักนำศึกตรีจตุที่เป็นคลื่นใต้น้ำขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

สรุปก็คือการค้าที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ครั้งนี้ เฝ่ยหรานไม่ขาดทุนอะไรสักอย่าง หากใต้เท้าอิ่นกวานสามารถมีชีวิตรอดกลับคืนมายังใต้หล้าไพศาลได้จริง ถึงเวลานั้นจะขาดทุนมากหรือน้อยก็ดูเหมือนว่าล้วนต้องดูที่โชคชะตาและวาสนาของเฉินผิงอันเองแล้ว

ดังนั้นการ ‘ถามกระบี่’ ครั้งนี้ เฝ่ยหรานที่กลับคืนไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างตั้งนานแล้วต้องไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน

เฉินผิงอันพลันถามว่า “ปีนั้นที่ท่าเรือใบท้อ นอกจากหลิวฉงและเกาซื่อเจินแล้ว ไม่มีคนนอกของราชวงศ์ต้าเฉวียนเลยหรือ?”

หลิวเม่าส่ายหน้า หัวเราะอย่างอดไม่ไหว “ต่อให้มี เฝ่ยหรานก็ไม่มีทางบอกเจ้ากระมัง”

เฉินผิงอันพยักหน้า “มีเหตุผล”

หลิวเม่ากล่าว “ส่วนตราประทับหนังสือ หยกลัญจกรสืบทอดอะไรนั่น ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ถูกเก็บไว้ที่ไหน”

เฉินผิงอันทิ้งสองเท้าเหยียบลงพื้น ตราประทับหนังสือ? เฝ่ยหรานเจ้าเป็นคนฝึกกระบี่ แต่กลับแสร้งทำตัวสง่างามเช่นนี้ หรือว่าเลียนแบบข้าอีกแล้ว?

เฉินผิงอันเดินกลับไปที่ชั้นวางหนังสืออีกครั้ง ก่อนหน้านี้ที่หลอมตัวอักษรอย่างไม่ใส่ใจก็ไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ แต่ตอนนี้เฉินผิงอันรู้สึกลังเลเล็กน้อย พวกตำราอย่าง ‘เหอกวานจื่อ’ ที่เจอก่อนหน้านี้ รวมกันแล้วสิบกว่าเล่ม เนื้อหาในตำราเฉินผิงอันอ่านจนจำขึ้นใจได้นานแล้ว นอกจากบทจิตใจเอื้อเฟื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทที่สิบไท่หง (ต้นกำเนิดดั้งเดิมที่ก่อเกิดเป็นหมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดิน) ที่กล่าวว่า ‘ฟ้าดินคนเรื่องราว สามสิ่งหวนเป็นหนึ่ง’ ที่เฉินผิงอันเคยท่องซ้ำไปซ้ำมาตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะวัตถุประสงค์ของตำราเล่มนี้มีความเกี่ยวข้องกับสกุลลู่สำนักหยินหยางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอยู่หลายจุด แต่บทที่เฉินผิงอันชอบมากที่สุด ตัวอักษรกลับน้อยที่สุด มีแค่หนึ่งร้อยสามสิบห้าตัวอักษรเท่านั้น ชื่อว่าบท ‘เดินทางยามค่ำคืน’

หลังจากได้กลับบ้านเกิด ตอนอยู่บนเรือเมฆาของเจียงซ่างเจิน เฉินผิงอันถึงขั้นตั้งใจแกะสลักมันไว้บนแผ่นไม้ไผ่อย่างครบถ้วน

การที่เฉินผิงอันลังเลก็เพราะจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่ตำราเปิดหน้าหนังสือด้วยตัวเอง สังเกตเห็นว่าตรงพื้นที่ว่างเปล่าจุดหนึ่งของบทเดินทางยามค่ำคืนในตำราเล่มนี้มีตราประทับส่วนตัวประทับอยู่ ตัวอักษรของตราประทับเป็นอักษรฮวาเหนี่ยว (ตัวอักษรที่ลักษณะคล้ายดอกไม้ คล้ายนก) คำว่า ‘ผู้ที่ถือเทียนเดินทางยามค่ำคืน ระวังเปลวเทียนร้อนลวกมือ’

ตอนนั้นเฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตราประทับของหลิวเม่าหรือไม่ก็ของนักเก็บสะสมหนังสือบางคนจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก กลับกันยังรู้สึกว่าตัวอักษรของตราประทับนี้ วันหน้าสามารถเอาไปยืมใช้เป็นบทเรียนได้

เฉินผิงอันดึงตำราเล่มนั้นออกมา เปิดไปถึงบทเดินทางยามค่ำคืน ใคร่ครวญอย่างช้าๆ

นี่ไม่ใช่สถานการณ์ตาย ถึงขั้นที่ว่าไม่ถือว่าเป็นสถานการณ์ถามใจด้วยซ้ำ เพราะเฉินผิงอันสามารถไขปริศนาออกได้ง่ายเกินไป

หากเป็นฝีมือของชุยฉานจริง ก็ไม่มีทางเป็นนักพรตหลงโจวที่เบาะแสชัดเจนผู้นี้อย่างแน่นอน

พูดให้ถูกต้องก็คือ เหมือนเป็นแค่ของขวัญจากลาที่เฝ่ยหรานคนบนเส้นทางเดียวกันมอบให้แก่ใต้เท้าอิ่นกวานก่อนจะจากใต้หล้าไพศาลกลับคืนสู่บ้านเกิดเสียมากกว่า

หากลองเอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าตนเองก็จะทำการ ‘รับลมชำระฝุ่น’ (หมายถึงการจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกที่เดินทางมาไกล แสดงให้เห็นถึงการปลอบขวัญและการต้อนรับ) เหมือนกับเฝ่ยหรานเช่นกัน ทำให้คนสะอิดสะเอียนโดยไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต

เห็นได้ชัดว่าเฝ่ยหรานลงเดิมพันว่าขอแค่เฉินผิงอันได้กลับบ้านเกิดก็จะตรงดิ่งไปที่ภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติทวีปทันที เฝ่ยหรานคิดคำนึงไม่ถึงว่าทางฝั่งศาลบุ๋นจะสั่งห้ามเผยแพร่รายงานขุนเขาสายน้ำ ไม่อย่างนั้นป่านนี้หลิวเม่าก็คงอาศัยข่าวกระจัดกระจายต่างๆ บนภูเขามาทำให้ตนหยัดยืนอยู่ในสถานะที่มิพ่ายไปได้แล้ว ไม่เพียงแต่รอดชีวิต ยังถึงขั้นที่ว่าจะได้รับการปกป้องจากสำนักศึกษาต้าฝู ก่อนที่ความจริงจะปรากฏ หลิวเม่าไม่จำเป็นต้องกังวลกับความปลอดภัยของชีวิตเลยแม้แต่น้อย ยืดคอไปให้เหยาจิ้นจือตัด ฮ่องเต้หญิงของต้าเฉวียนก็ยังไม่กล้าขยับมีด เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรหลิวเม่าก็ดูแคลนแผนการของเฝ่ยหรานมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่เคยรู้เลยว่าเฉินผิงอันก็คืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยิ่งไม่รู้ว่าเฉินผิงอันคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง

แน่นนอนว่าเฝ่ยหรานเองก็ไม่ได้ต้องการชีวิตของเฉินผิงอัน อาจเพราะไม่ค่อยอยาก หรืออาจจะอยากมาก แต่น่าเสียดายที่ทำไม่ได้ ดังนั้นเฝ่ยหรานจึงได้แต่อาศัยใจคนของใต้หล้าไพศาลมาเล่นตุกติกกับเฉินผิงอันบนคำว่า ‘ชื่อ’ ราชวงศ์ที่ได้กอบกู้แคว้นทั้งหมดในใบถงทวีปซึ่งอิจฉาตาร้อนต้าเฉวียน รวมไปถึงฝ่ายในของราชวงศ์ต้าเฉวียนเอง ทั้งบนและล่างราชสำนัก บัณฑิตทุกคนที่ไม่พอใจในตัวของฮ่องเต้หญิงสกุลเหยา รวมไปถึงเก้าทวีปของไพศาล ผู้ฝึกตนบนภูเขาทุกคนของใต้หล้าที่ไม่รังเกียจว่าเรื่องครึกครื้นจะใหญ่เกินไป หรือแม้กระทั่งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายหย่าเซิ่ง ล้วนจะต้องช่วยกันผลักดันคลื่นมรสุมลูกนี้คล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา

สองนิ้วของเฉินผิงอันจิ้มไปตรงตัวอักษรของตราประทับ ปาดร่องรอยทิ้งเบาๆ แล้วถูนิ้วมือ

ถึงกับมีลมเย็นๆ ขุมหนึ่งพัดโชยขึ้นมา ตัวอักษรยาวเป็นพรวนปรากฎขึ้นหลังจากตราประทับแตกสลาย ทุกตัวอักษรเพิ่งจะปรากฏก็พลันหายวับไป ต่อให้เฉินผิงอันคิดจะเรียกนกในกรงออกมาในเสี้ยววินาทีก็ยังไม่อาจรั้งตัวอักษรพวกนั้นเอาไว้ได้ เห็นได้ชัดว่าเฝ่ยหรานใช้วิชาลับเฉพาะ อีกทั้งยังซุกซ่อนปราณกระบี่ไว้ภายใน หลิวเม่าถูกเฉินผิงอันกักวิญญาณเอาไว้แล้ว ดังนั้นจึงมองไม่เห็นตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว ตัวอักษรพวกนี้พอจะถือว่าเป็นจดหมายฉบับหนึ่งได้

ตัวอักษรขึ้นต้นกล่าวได้อ่อนโยนยิ่ง ‘ใต้เท้าอิ่นกวาน จากนั้นนานหลายปี ถึงกับรู้สึกคิดถึง’

ทว่าต่อจากนั้นกลับเต็มไปด้วยปราณสังหาร ‘ถึงกับพบเจอจดหมายฉบับนี้ได้ ใต้เท้าอิ่นกวานช่างเป็นผู้มีความสามารถเสียจริง สมดั่งคำร่ำลือ เรื่องที่ทำให้ข้ารู้สึกนับถือยิ่งกว่า ยังคงเป็นเรื่องที่ทุกวันนี้ขอบเขตของใต้เท้าอิ่นกวานสูงแล้ว แต่กลับยังคงยินดีอยู่ในปลักโคลนน้ำตื้นที่น้ำไม่ท่วมหัวเข่า ความอดทนดีเยี่ยม เห็นเพียงน้อยนิดก็อนุมานไปได้ไกล ความรอบคอบระมัดระวังยังคงเดิม เฝ่ยหรานขออวยพรจากใจจริงให้การเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างภูเขาลั่วพั่วในใบถงทวีปของใต้เท้าอิ่นกวานมีแต่ความมงคล ราบรื่นตลอดไป’

‘ก่อนหน้านี้หวนคืนสถานที่เดิมแทนเจ้า มีความรู้สึกว่าวัตถุยังคงเดิมแต่คนกลับเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าและข้าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน ล้วนเป็นนักเดินทางไกลสุดขอบฟ้า ย่อมต้องรู้สึกเจ็บปวดดุจเดียวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นเหตุให้ก่อนจะจากไปได้ตั้งใจทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง ในหน้าหนังสือได้มอบตราประทับหนังสือที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่งไว้ให้กับใต้เท้าอิ่นกวาน หลิวเม่าก็แค่ช่วยเก็บรักษาไว้ให้แทนเท่านั้น เชิญท่านเอาไปได้ตามสบาย เพื่อแทนคำขอโทษ อาจจะดูไม่จริงใจนัก ส่วนหยกลัญจกรสืบทอดแคว้นชิ้นนั้น ซ่อนอยู่ที่ไหน ด้วยความฉลาดเฉลียวของใต้เท้าอิ่นกวาน น่าจะเดาได้ไม่ยาก ก็อยู่ในจิตวิญญาณบางแห่งของหลิวฉงอ๋องเจ้าเมืองอย่างไรล่ะ ข้าไม่คิดจะจงใจปั่นหัวเจ้าแล้ว’

ประโยคที่สองนับจากด้านหลังมาคือ ‘ข้าคือมู่จีแห่งกระโจมเจี่ยเซิน หวังว่าวันหน้าจะได้ทบทวนกระดานหมากร่วมกับใต้เท้าอิ่นกวานในใต้หล้าเปลี่ยวร้างอีกครั้ง’

ตราประทับชิ้นหนึ่งเหมือนหินที่ค่อยๆ ผุดออกมาหลังจากน้ำลดท่ามกลางบทเดินทางไกล ราวกับกังวลว่าเฉินผิงอันจะไม่ไปแตะต้องมัน ตราประทับถึงได้เริ่มหมุนโคจรด้วยตัวเอง เพื่อให้ใต้เท้าอิ่นกวานมองเห็นตัวอักษรบนนั้นอย่างชัดเจน

เฉินผิงอันเหลือบมองตราประทับแค่แวบเดียว สีหน้าก็มืดทะมึน

ตัวอักษรตรงขอบของตราประทับมีค่อนข้างเยอะ ‘มือสะสมตำราสามล้านเล่ม ฟ้าดินเยียบเย็นข้าสุขใจ ปีนั้นกินอักษรเทพเซียนจนอิ่มหนำ ไม่เสียแรงที่ชีวิตนี้เป็นปลาเงิน’

ตัวอักษรตรงก้นของตราประทับคือคำว่า ‘หนอนหนังสือเฒ่าหิวโหยไม่รู้จักอิ่ม’

มารดามันเถอะ นี่คือตราประทับส่วนตัวของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ที่บอกว่าตัวเองสะสมตำราไว้สามล้านเล่ม!

ประโยคสุดท้ายของจดหมายฉบับนี้กลับเป็นประโยคที่กล่าวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ‘ผู้ที่ถือเทียนส่องสว่างเส้นทางยามค่ำคืนให้แก่ผู้อื่น ง่ายที่จะทำให้มือตัวเองบาดเจ็บ นับแต่โบราณมาเป็นเช่นนี้ วิญญูชนช่างน่าเวทนา ผู้ที่ถือตราประทับในวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ใต้เท้าอิ่นกวานระวังกระบี่บิน สาม สอง หนึ่ง’

……

วัดเทียนกง ฝนตกกระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตา

เกาซื่อเจินก้มหน้าลงอ่านตัวอักษรคำว่าป่วยตัวใหญ่บนหน้ากระดาษ ใช้พู่กันจีจวี้ที่ปลายพู่กันเล็กบางอย่างถึงที่สุดขีดคร่าทิ้งไป มองดูแล้วกลับเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง

เกาซื่อเจินถอนหายใจ เอ่ยเสียงเบาว่า “ปีนั้นอยู่บนภูเขาลูกนั้น ข้าไปแก้แค้นคนหนุ่มผู้นั้น เหตุใดเจ้าถึงหลบซ่อนไม่ยอมลงมือ? หากเพียงแค่นี้ก็ช่างเถิด ภายหลังที่ท่าเรือใบท้อ มือกระบี่ชุดเขียวมองเจ้าต่างไปจากคนอื่นเพียงผู้เดียว แล้วดูเหมือนว่าจะยังมีความกริ่งเกรงบางอย่างต่อเจ้า นั่นก็ยิ่งพิสูจน์ความคิดในใจของข้าว่าเจ้าต้องไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองอะไรแน่นอน ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้ข้าจึงรู้สึกไม่พอใจเจ้ามาโดยตลอด”

ผู้เฒ่ายกมือขึ้นลูบข้างแก้มที่ผอมตอบ “เพียงแต่ว่าโมโหก็ส่วนโมโห รู้ดีว่าหากพูดออกไปจะเหมือนเด็กสามขวบที่เอาแต่ใจ ไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์ กลับกันจะยังทำให้เสียเรื่อง ก็เลยอดทนเอาไว้ จะปล่อยให้สองมือว่างเปล่า นอกจากบ้านหลังใหญ่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษแล้วก็ไม่มีอะไรเหลืออีก สุดท้ายพอถึงเวลายังต้องสูญเสียสหายเก่าที่สามารถเล่าความในใจให้ฟังไปด้วยไม่ได้กระมัง”

เผยเหวินเยว่พยักหน้ารับ “มองออกอยู่เหมือนกัน อันที่จริงหลายปีมานี้ก็รอคอยให้นายท่านถามคำถามนี้มาโดยตลอด”

เกาซื่อเจินเงยหน้าขึ้น ถามด้วยความสนใจอย่างถึงที่สุด “คำตอบล่ะ?”

ผลคือพ่อบ้านเฒ่าตอบกลับมาด้วยประโยคที่ว่า “ไม่มีอะไรที่พูดได้”

เซินกั๋วกงผู้เฒ่าอึ้งค้างไปนาน ก่อนจะหัวเราะฮ่าๆ แล้วก็ไม่ถามเรื่องนี้อีกต่อไป เพียงแค่เอ่ยอย่างเสียใจว่า “จำได้ว่าครั้งแรกที่พวกเราสองคนพบเจอกันก็คือที่วัดเทียนกงแห่งนี้ ตอนนั้นเจ้าและข้าต่างก็ยังอายุน้อย ตอนนี้ข้าแก่แล้ว เจ้าล่ะ?”

เผยเหวินเยว่ตอบ “บอกได้ยาก บนภูเขาล่างภูเขามีคำพูดที่ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ข้าอยู่ล่างภูเขา”

เกาซื่อเจินพยักหน้ารับ ยกพู่กันขึ้นจุ่มหมึกเบาๆ

พ่อบ้านเฒ่าครุ่นคิดเล็กน้อย เหลือบตามองไปนอกหน้าต่างแล้วก็ขมวดคิ้วน้อยๆ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “คำพูดโบราณบอกว่าคนผู้หนึ่งหากเดินทางยามค่ำคืนบ่อยเข้า ก็ง่ายที่จะเจอกับผี ถ้าอย่างนั้นคนผู้หนึ่งนอกจากเดินอย่างระมัดระวังแล้ว จะทำตามกฎเกณฑ์หรือไม่ จะเข้าใจมารยาทหรือไม่ จะรักษาเส้นขีดจำกัดไว้หรือไม่ จึงค่อนข้างจะสำคัญ หลักการเหตุผลที่ว่างเปล่าพวกนี้ ฟังไปแล้วดูเหมือนจะล่องลอยยิ่งกว่าวิญญาณเร่ร่อนเสียอีก แต่บางครั้งเมื่อหยั่งรากลึกลงไปกลับเคยช่วยชีวิตตัวเองไว้แต่กลับไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นที่อยู่บนภูเขา หากคนหนุ่มผู้นั้นไม่เข้าใจหลักการที่ว่าควรจะหยุดเมื่อพอสมควร ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะตัดรากถอนโคน คิดจะสังหารพวกนายท่านกั๋วกงให้สิ้นซาก ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องตาย ต่อให้มีศิษย์พี่บางคนของเขาอยู่ด้วย แต่ขอแค่ยังอยู่ห่างไปไกลพันลี้ ก็ยังช่วยเขาไว้ไม่ได้อยู่ดี”

——