บทที่ 760.5 ส่งกระบี่รับกระบี่และถามกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เกาซื่อเจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย มือข้างหนึ่งม้วนชายแขนเสื้อเตรียมจะคัดคัมภีร์ เงยหน้าขึ้นกล่าว “เหล่าเผย คนอย่างเจ้า เหตุใดถึงได้ยินดีเป็นข้ารับใช้อยู่ในจวนกั๋วกงเล็กๆ กันล่ะ?”

พ่อครัวเฒ่าตอบ “เดินทางไกลครั้งหนึ่ง ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก อยู่ใกล้กับนครเซิ่นจิ่งแห่งนี้ ทำตามสัญญาที่มีต่อผู้อื่นได้สำเร็จ ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ต้องหาสถานที่พักพิงสักแห่ง ปีนั้นนายท่านกั๋วกงเลื่อนสู่ตำแหน่งสูง อายุน้อยๆ ก็มีจิตแห่งพุทธะ ข้าเลยมาสวามิภักดิ์ด้วย”

เกาซื่อเจินหัวเราะเสียงดังลั่น “ข้ามีจิตแห่งพุทธะ? เหล่าเผยหนอเหล่าเผย เจ้าไปหัดเรียนพูดจาตลกขบขันมาตั้งแต่เมื่อใดกัน”

พ่อบ้านวัยชราส่ายหน้า “นายท่านกั๋วกงผู้หนึ่งที่มีชีวิตสุขสบาย ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเจอกับความยากลำบากใดๆ ปีนั้นพบเจอท่านก็เป็นช่วงอายุที่เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมพอดี แต่กลับสามารถมองคนเป็นคนได้ตลอดเวลา ในสายตาของข้าก็คือมีจิตแห่งพุทธะ เรื่องบางอย่างก็เพราะว่านายท่านผู้เฒ่าท่านไม่ถือสา รู้สึกว่าสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน เป็นไปตามธรรมชาติ คนนอกถึงได้รู้สึกว่าล้ำค่าหาได้ยาก ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าจึงได้ช่วยนายท่านขัดขวาง…ผีมากมายบนเส้นทางยามค่ำคืนอย่างเงียบเชียบ เพียงแต่ว่าไม่มีความจำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้กับท่าน พูดไปก็คือฌานที่ไม่นิ่ง มีห่วงให้ต้องพะวง ข้าอาจจะต้องไปจากจวนกั๋วกงเพราะเหตุนี้ และข้าคนนี้แต่ไหนแต่ไรมาก็มักกลัวเรื่องยุ่งยากเสมอ”

เกาซื่อเจินเอ่ยอย่างกังขา “เหล่าเผยเจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แต่คงเป็นผู้ฝึกลมปราณที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำกระมัง?”

พ่อบ้านผู้เฒ่ากระตุกมุมปากคล้ายกำลังยิ้มอย่างชอบใจอย่างที่หาได้ยาก ให้คำตอบมาว่า “อันที่จริงข้าใช้กระบี่ วิชากระบี่ยังนับว่าใช้ได้กระมัง”

เกาซื่อเจินถาม “เป็นห้าขอบเขตบนแล้วหรือไม่?”

พ่อบ้านเฒ่ายังคงพูดจาคลุมเครืออยู่เหมือนเดิม “ประโยคนี้ของนายท่านถามได้ไร้รสนิยมแล้ว”

เกาซื่อเจินมีสีหน้าสดใส “ใช่เซียนกระบี่หรือไม่?”

ผู้ดูแลเฒ่าส่ายหน้า “คนที่ใช้กระบี่ ท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นแค่มือกระบี่เท่านั้น อันที่จริงข้าเองก็ไม่ถือว่าเป็นคนบนภูเขาอะไรด้วยซ้ำ”

เกาซื่อเจินรู้ว่าเหล่าเผยผู้นี้คงไม่มีทางเปิดเผยตัวตนแน่นอน ดังนั้นจึงเปลี่ยนไปถามว่า “เหยาจิ้นจือไม่ได้ฝึกตนเสียหน่อย เหตุใดนางถึงสามารถรักษาความงามเอาไว้ได้?”

พ่อบ้านเฒ่าเอ่ย “ท่านอาหญิงของนาง จิ่วเหนียงที่ปีนั้นเป็นเถ้าแก่เนี้ยะของโรงเตี๊ยมริมชายแดน แท้จริงแล้วก็คือฮ่วนซาฮูหยิน เป็นจิ้งจอกฟ้าเก้าหางตนหนึ่ง และหางที่เป็นรากฐานที่สุดของจิ่วเหนียง แท้จริงแล้วก็คือเหยาจิ้นจือ”

เกาซื่อเจินกระจ่างแจ้งทันใด “หากเป็นเช่นนี้ นางกับเซอเยว่แห่งแจกันสมบัติทวีปก็ล้วนถือเป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางน่ะสิ”

พ่อบ้านผู้เฒ่าพลันลุกขึ้นยืน เปิดประตูห้องออก หยิบร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นขึ้นมา คล้ายว่าจะออกจากประตูไป

เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าถือร่มที่ใช้นามแฝงว่าเผยเหวินเยว่ผู้นี้เพียงแค่ยืนอยู่หน้าประตู มองผ่านม่านฝนไกลๆ ไปยังทิศทางที่ตั้งของนครเซิ่นจิ่ง

ราวกับว่าทางฝั่งของนครเซิ่นจิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้เผยเหวินเยว่เปลี่ยนความคิดกะทันหัน “เรื่องที่ข้าตอบตกลงกับผู้อื่น อันที่จริงมีสองเรื่อง เรื่องหนึ่งในนั้นก็คือแอบปกป้องเหยาจิ้นจืออย่างลับๆ ช่วยให้นางได้ขึ้นครองราชย์ กลายเป็นฮ่องเต้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าไพศาลของทุกวันนี้ เหตุใดคนผู้นี้ถึงต้องทำเช่นนี้ ตัวเขาเองรู้ดี นอกจากนั้นก็คงเป็นสวรรค์เท่านั้นที่รู้ ส่วนจุดจบของเชื้อพระวงศ์สกุลหลิวต้าเฉวียนจะเป็นเช่นไร ข้าไปควบคุมอะไรไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่าลูกหลานสกุลเหยานอกจากนางแล้ว เหตุการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ก็ยังต้องให้เป็นไปตามเหตุผลเก่าแก่ที่บอกว่า ชะตาฟ้าลิขิต โชควาสนาไปหามาเอง ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นนายท่านคิดว่าคนลับมีดคนหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง บวกกับเทพวารีลำคลองม่ายเหอที่ร่างทองปริแตกคนหนึ่ง ปีนั้นจะสามารถปกป้องเหยาจิ้นจือได้หรือ?”

เผยเหวินเยว่ที่หันหลังให้เซินกั๋วกงส่ายหน้า “ต่อให้แท้จริงแล้วในมือของเหยาจิ้นจือจะยังซ่อนทางหนีทีไล่เอาไว้ มีความเกี่ยวพันกับสำนักกุยหยกอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรนางในเวลานั้นปีกก็ยังไม่ใหญ่พอ นิสัยใจคอก็ยังไม่แข็งแกร่งพอ วิธีการไม่อำมหิตมากพอ มีแต่จะถูกหลิวเม่าที่รอฉวยโอกาสเป็นนกขมิ้นจับจ้องอยู่เบื้องหลัง ปีนั้นที่ท่าเรือใบท้อ ไปพบ…เฉินอิ่นผู้นั้นเป็นเพื่อนนายท่าน เขาใช้เสียงในใจพูดคุยกับข้าสองประโยค ข้าตอบตกลงเขาเรื่องหนึ่ง เขาก็จะปกป้องนครเซิ่นจิ่งและสกุลเหยา เดิมพันว่าวันหน้าคนผู้หนึ่งจะวาดงูเติมขา รนหาปัญหาใส่ตัวเองหรือไม่ ตอนนี้ลองมามองดูแล้ว คนผู้หนึ่งหากฉลาดเกินไป ก็…มีปัญหาจริงๆ (ภาษาจีนใช้คำว่า 有病 ซึ่งแปลตรงตัวว่าป่วย หรือมีโรค และสามารถแปลอีกอย่างได้ว่ามีปัญหา) แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแผนการของเฉินอิ่นผู้นั้น คำกล่าวที่ว่าวาดงูเติมขา ข้าว่าไม่แน่เสมอไป แต่สำหรับข้าแล้ว กลับเป็นเรื่องที่ไม่ได้สำคัญอะไร ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องฆ่าคน”

เกาซื่อเจินหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

มิน่าเล่าปีนั้นที่อยู่ท่ามกลางค่ำคืนพายุฝนกระหน่ำ หลิวเม่าถึงไม่ได้ใช้แผนในนอกประสาน แต่เลือกจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แรกเริ่มเกาซื่อเจินยังคิดว่าระหว่างหลิวฉงผู้เป็นพี่ชายกับเหยาจิ้นจือ หลิ่วเม่าที่ชั่งน้ำหนักได้แล้วว่าเป็นผลเสียทั้งสองทาง จึงเลือกทางที่เสียหายน้อยกว่า หลิวเม่ากังวลว่าต่อให้ประคับประคองมังกรได้สำเร็จ หลังจบเรื่องเมื่อตกอยู่ในน้ำมือของหลิวฉง จุดจบก็คงไม่ได้ดีไปยังไง ดังนั้นจึงเลือกฝ่ายหลัง ทุกวันนี้ลองมาย้อนนึกแล้ว เป็นเพราะยังไม่ถึงโอกาสเหมาะกระมัง?

เผยเหวินเยว่สีหน้าเฉยเมย แต่คำพูดประโยคถัดมากลับทำให้กั๋วกงผู้เฒ่าทำน้ำหมึกจากพู่กันจีจวี้ในมือหยดลงบนกระดาษโดยไม่ทันระวัง “เดินทางยามค่ำคืนบ่อยๆ ง่ายที่จะพบเจอผี การที่คำพูดเก่าแก่เป็นคำพูดเก่าแก่ ก็เพราะว่าเหตุผลค่อนข้างใหญ่ นายท่านคิดไม่ผิดหรอก หากเพราะจวนเซินกั๋วกงตกอยู่ในอันตรายล่อแหลม ทำให้นางนั่งเก้าอี้มังกรตัวนั้นได้ไม่มั่นคง นายท่านก็ต้องตาย แล้วนับประสาอะไรกับหลิวเม่าที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่เป็นโล้เป็นพาย ทว่าในจวนกั๋วกงจะยังคงมีนายท่านกั๋วกงเกาซื่อเจินอยู่เหมือนเดิม และโดยที่ผีไม่รู้เทพไม่เห็น ด้านในอารามก็จะยังมีหลิวเม่าที่ยังคงลุ่มหลงในการหลอมโอสถถามหาเซียนอยู่ต่อไป วันใดที่พวกท่านสองคนสมควรตายแล้ว ข้าก็จะออกไปจากนครเซิ่นจิ่ง เปลี่ยนสถานที่ไปปกป้องเรื่องที่สองต่อ”

พ่อบ้านผู้เฒ่าส่ายหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลิวเม่าผู้นั้นเป็นองค์ชายก็ดี เป็นอ๋องเจ้าเมืองก็ช่าง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ในสายตาของเขามีเพียงนายท่านและเด็กหนุ่ม ข้าคนเป็นๆ ตัวโตๆ จะดีจะชั่วก็เป็นผู้ดูแลใหญ่ของจวนกั๋วกง อีกทั้งภายนอกก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง เป็นคนรู้ใจของกั๋วกงสองรุ่น เขากลับยังคงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หรือไม่ก็มองเห็นแล้วแต่รู้สึกว่าสู้มองไม่เห็นยังดีกว่า ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเศษสวะเช่นนี้ นอกจากความสามารถในการเลือกครรภ์มาเกิดดีหน่อยแล้ว เขายังสามารถทำเรื่องใหญ่อะไรสำเร็จได้อีก เฉินอิ่นผู้นั้นเลือกหลิวเม่า เกรงว่าคงเป็นความตั้งใจ คนรุ่นเยาว์ในทุกวันนี้ แต่ละคนสมองดีไม่แพ้กัน จิตใจและกลอุบายก็ช่างน่ากลัวนัก”

เกาซื่อเจินเงยหน้าขึ้น อาศัยแสงตะเกียงบนโต๊ะพยายามเพ่งสายตามองไปยังพ่อบ้านผู้เฒ่าที่ยิ่งนานวันยิ่งเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา เพียงแต่เห็นแค่แผ่นหลังที่มืดสลัวไม่ชัดเจนเท่านั้น

ต่อให้เผยเหวินเยว่จะเปิดประตู แต่ก็ไม่มีลมฝนพัดผ่านเข้ามาในห้องได้

ผู้เฒ่าที่ตลอดทั้งปีไม่ชอบแย้มยิ้มพูดคุย คืนนี้ก่อนจะลุกขึ้นยืนได้นั่งตัวตรงอย่างสำรวมตลอดเวลา ไม่มีการกระทำที่ล้ำเส้นแม้แต่น้อย ลมปราณหนักแน่น สีหน้าเรียบเฉย ต่อให้เวลานี้ยืนอยู่หน้าประตูก็ยังคงเหมือนว่ากำลังพูดคุยเรื่องทั่วไป คนหนึ่งคือคนรวยในหมู่ชาวบ้านที่ฐานะพอมีอันจะกิน กับอีกคนคือบ่าวเฒ่าที่จงรักภักดี กำลังคุยกับนายท่านของตัวเองถึงเด็กบางคนที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย ทำให้คนดูแคลน

เกาซื่อเจินพลันรู้สึกปล่อยวาง ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้แข็งแกร่งเชี่ยวชาญการยอมรับอย่างระมัดระวัง ผู้อ่อนแอชอบปฏิเสธเหมือนคนหูตามืดบอด”

พ่อบ้านผู้เฒ่าพยักหน้า “ประโยคนี้ของนายท่านพูดจาไม่ไร้รสนิยมแล้ว ใต้หล้านี้คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดล้วนชอบใช้หนึ่งพิฆาตหมื่นทั้งสิ้น เล่นสนุกอยู่หรือไร”

เกาซื่อเจินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ถามเสียงทุ้มหนักว่า “เหล่าเผย ให้ข้าได้พบกับคนหนุ่มผู้นั้นอีกครั้งได้ไหม?”

พ่อบ้านเฒ่าส่ายหน้า “ข้าขอพูดมากเกลี้ยกล่อมท่านสักคำ นายท่านตัดใจเสียเถอะ”

เกาซื่อเจินหน้าซีดขาว “ทำไมล่ะ?”

“เขาไม่ใช่คนที่ชอบรนหาที่ตาย ต่อให้นายท่านไปพบกับเขาก็ยังไม่มีความหมายใดๆ”

ผู้เฒ่าแซ่เผยกล่าวว่า “คนหนุ่มผู้นั้นเติบโตเร็วยิ่ง ทุกวันนี้เขากลายมาเป็นผี…สำหรับพวกคนที่เดินทางยามค่ำคืนบ่อยๆ แล้ว หากโชคดีหน่อย ทั้งสองฝ่ายก็แค่เดินสวนไหล่ผ่านกันไป ถ้าโชคไม่ดี ก็ต้องเจอกับผีแล้ว ยกตัวอย่างเช่นหลิวเม่าในคืนนี้”

ผู้ปกป้องมรรคาที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า สุดท้ายแล้วก็คือตัวผู้ฝึกตนทุกคนเอง ไม่เพียงแต่ปกป้องมรรคาได้มากที่สุด ยังปกป้องได้ยาวนานที่สุด นอกจากจิตแห่งมรรคาแล้ว ชีวิตคนมีเรื่องไม่คาดฝันมากมายเหลือเกิน

คนที่อยากตาย ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะช่วยเหลือได้

เกาซื่อเจินยังคงจ้องแผ่นหลังของพ่อบ้านเฒ่าเขม็ง

ผู้เฒ่าเอ่ยว่า “มีประโยคหนึ่งข้าลืมพูดไป คนหนุ่มผู้นั้นมีจิตใจที่นิ่งสงบเป็นกลางมายาวนานกว่านายท่าน ให้ข้าพูดจาวางโตอีกสักคำ มือกระบี่ออกกระบี่ฟันไป สิ่งที่ฟันก็คือผีร้ายในใจคน ไม่ใช่แค่คนหรือผีที่เรียบง่ายเท่านั้น ฝึกตนเช่นนี้ มหามรรคาเล็กเกินไป เวทกระบี่ก็ย่อมไม่สูงไปยังไง เพียงแค่ว่า…”

เพียงแค่ว่าเผยเหวินเยว่พูดแค่ครึ่งเดียว ไม่ได้เอ่ยต่ออีก

นาทีนี้เกาซื่อเจินได้แต่มองไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย “เหล่าเผย ดูเหมือนว่าเจ้ายังมีเรื่องให้ต้องทำ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม? เล่าได้หรือไม่ หากว่าผิดกฎ เจ้าก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถามแล้วกัน”

“เล่าได้”

พ่อบ้านวัยชราพยักหน้า “กำลังรอให้ลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อคนหนึ่งของข้าหวนกลับมายังนครเซิ่นจิ่ง จากนั้นค่อยทำตามสัญญา ถ่ายทอดเวทกระบี่ทั้งหมดของข้าให้เขาแบบหมดหน้าตัก”

“คือคุณชายสูงศักดิ์คนต่างถิ่นที่รูปโฉมหล่อเหลาผู้นั้น?”

“แค่พูดมาตรงๆ ว่าคือคนที่ชายก็ไม่ใช่ หญิงก็ไม่เชิงก็รู้แล้ว เด็กคนนั้นหน้าตาดีจริงๆ”

“หากข้าจำไม่ผิด ปีนั้นตอนที่อยู่ในจวน เดินขึ้นหอสูงมองไปยังทิศไกล ขาสองข้างของเขายังยืนได้ไม่มั่นคงด้วยซ้ำ? คนแบบนี้ก็สามารถเรียนวิชากระบี่จากเจ้าได้ด้วยหรือ? ใช่แล้ว คนรุ่นเยาว์แซ่ลู่ผู้นั้น สรุปแล้วเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่?”

“บอกยาก”

เกาซื่อเจินได้ยินสองคำนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นจนใจ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “คนบนภูเขาอย่างพวกเจ้านี่นะ สรุปแล้วเป็นยังไงกันแน่”

“อาจารย์คนหนึ่งของเจ้าหมอนั่น น่าจะตอบคำถามนี้ของนายท่านได้”

“ข้าคงรอไม่ถึงวันนั้นหรอกกระมัง”

พ่อบ้านเฒ่าไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่พยักหน้ารับ

ผู้ฝึกตนบนภูเขาแค่ปิดด่านงีบหลับง่ายๆ ครั้งหนึ่ง บางที่โลกมนุษย์ล่างภูเขาก็อาจเปลี่ยนจากเด็กไปเป็นคนผมขาวแล้ว

เกาซื่อเจินพลันสังเกตเห็นว่าพ่อบ้านเฒ่ายกมือที่ถือร่มขึ้น ปาดเบาๆ หนึ่งครั้ง สุดท้ายร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งก็เหลือแค่ด้ามร่มอย่างเดียว

เกาซื่อเจินลุกขึ้นยืน เดินมาที่หน้าประตู ถามเสียงเบา “นี่คือ?”

เผยเหวินเยว่เอ่ย “ส่งกระบี่”

……

ม่านฝนยังคงพรำลงมาดังเดิม วัดยังคงอยู่ดังเดิม เมืองหลวงยังคงเดิม อารามเต๋ายังคงเดิม ล้วนไม่มีความผิดปกติใดๆ

เพียงแต่ว่าในห้องด้านข้างห้องหนึ่งของอารามหวงฮวา เฉินผิงอันเรียกนกในกรงและจันทร์ใต้บ่อออกมาพร้อมกัน ขณะเดียวกันก็ขยับเคลื่อนตัวไปในแนวขวาง กระแทกเก้าอี้ตัวที่หลิวเม่านั่งอยู่ให้กระเด็นออกไป

จากนั้นเฉินผิงอันก็เบี่ยงตัวเล็กน้อย ทว่าร่างทั้งร่างก็ยังคงถูกกระบี่บินเล่มหนึ่งแทงทะลุหน้าท้อง จนร่างลอยหวือไปกระแทกชนเข้ากับผนัง

เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์ ชักกระบี่เล่มนั้นออกมา ไม่นึกว่าจะเป็นด้ามร่มด้ามหนึ่ง

ไม่ต้องให้เฉินผิงอันใช้ปราณกระบี่หรือปณิธานหมัดไปกระเทือนให้มันแหลกสลาย กระบี่ยาวด้ามร่มเล่มนั้นก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงด้วยตัวเอง

ร่างของเฉินผิงอันเปล่งวูบหนึ่งที ติดตามร่องรอยของปราณกระบี่เสี้ยวหนึ่งไป หดย่อพื้นที่ พุ่งไปไวราวสายฟ้าแลบ ตรงดิ่งไปยังวัดเทียนกงที่อยู่นอกเมืองหลวง

ก่อนที่เฉินผิงอันจะไปถึงวัดก็ได้มีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งแหวกม่านฝนพุ่งมาถึงในเสี้ยววินาทีก่อนแล้ว เขาคำรามดังลั่นอย่างเดือดดาล “ในที่สุดข้าก็หาตัวเจ้าเจอแล้ว เผยหมิ่น! ดีๆๆ ไม่เสียแรงที่เคยเป็นหนึ่งในสามสุดยอดแห่งไพศาล อาจารย์สอนเวทกระบี่ครึ่งตัวของป๋ายเหย่!”

พ่อบ้านเฒ่าที่ใช้นามแฝงว่าเผยเหวินเยว่มองไปยังเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น เขาก้าวออกจากห้องไปหลายก้าวเพื่อสกัดกั้นฟ้าดินอยู่นานแล้ว ส่ายหน้าเอ่ยว่า “แค่ครึ่งตัวเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ครามเกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม”

ชุยตงซานกระโดดถ่มน้ำลาย “ไม่อย่างนั้นข้าก็พาตัวมาตายงั้นหรือ?? หืม? หา? อ้อ? ตะพาบเฒ่ากล้าลอบโจมตีอาจารย์ของข้า เบื่อที่จะใช้ชีวิตแล้วใช่ไหม มารดามันเถอะ รู้หรือไม่ว่าอาจารย์ลุงของข้าผู้อาวุโสคือใคร เซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่วที่ตั้งใจออกตามหาตัวเจ้าบนมหาสมุทรหนึ่งร้อยปี! รู้หรือไม่ว่าข้าผู้อาวุโสยังมีอาจารย์ลุงอีกคนคือใคร หลิวสือลิ่ว! สหายรักของป๋ายเหย่! รีบคุกเข่าโขกหัวขออภัยข้าผู้อาวุโสซะ…”

ปฏิทินเหลืองเก่าแก่ของใต้หล้าไพศาลเคยมีสามสุดยอด โจวจื่อวิชาคำนวณ เทียนซือวิชาคาถา เผยหมิ่นวิชากระบี่ นอกจากจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ยังคงอาศัยมรรคกถาที่เทียนซือใหญ่แต่ละรุ่นถ่ายทอดต่อกันมายืนตระหง่านอยู่บนยอดเขาของไพศาลแล้ว อันที่จริงอีกสองคนกลับหายไปไม่ทราบร่องรอยอยู่นานแล้ว

ชุยตงซานพลันหลับตาลง สีหน้าซับซ้อน

อาจารย์ได้หลอมชุดคลุมสีเทาของหลงจวินตัวนั้นเป็นฝักกระบี่ และกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในฝักก็คือหนึ่งในสี่กระบี่เซียนใหญ่ กระบี่ยาวที่หลอมมาจากปลายกระบี่ช่วงหนึ่งที่มีประกายเฉียบคมที่สุดของกระบี่ไท่ป๋าย

ตามมารยาทแล้วมีให้ก็ต้องมีคืน อาจารย์เองก็บุกทะลวงฟ้าดินเล็กของอีกฝ่ายมาเช่นกัน

หนึ่งกระบี่แหวกผ่าม่านฟ้า ตรงเข้ามาถามกระบี่ต่อเผยหมิ่น

——