บทที่ 761.1 ไม่ถูก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ไม่มีน้ำฝนมารบกวนคนอีกต่อไป ท่ามกลางฟ้าดินที่เงียบสงบ ม่านราตรีเหนือศีรษะของเผยหมิ่นและชุยตงซานมีแสงสีขาวจุดหนึ่งเหมือนดวงตะวันลอยกลางนภาปรากฎขึ้นมาก่อน จากนั้นแสงกระบี่สีขาวหิมะเส้นหนึ่งก็วาดลากยาวลงมา แม้ว่าแสงกระบี่จะบางอย่างถึงที่สุด ทว่าพลังอำนาจกลับเหมือนน้ำตกยิ่งใหญ่โอฬารที่ตกกระหน่ำจากท้องฟ้าลงมาสู่โลกมนุษย์

ฟ้าดินเล็กปราณกระบี่ของเผยหมิ่นถูกผ่าออก ปราการฟ้าดินรอบด้านเหมือนกระจกบานหนึ่งที่ถูกคนขว้างลงพื้นเต็มแรง พริบตาเดียวก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทันใดนั้นฝนห่าใหญ่ก็เทโครมลงมาอีกครั้ง ม่านฟ้าของวัดเทียนกงยังคงอึงอลไปด้วยแรงสะเทือนจากฟ้าแลบฤดูใบไม้ผลิ ฟ้าร้องฟ้าผ่าแปลบปลาบ พลังอำนาจสะท้านสะเทือนผู้คน

เผยหมิ่นสวมชุดดำ ชุยตงซานสวมชุดขาว แม้ว่าจะไม่มีน้ำฝนกระทบโดนร่าง แต่ทุกครั้งที่สายฟ้าแลบปลาบสลับถักทอกัน ล้วนสาดสะท้อนให้เห็นเรือนกายที่อยู่นอกห้องทำสมาธิของคนทั้งสองอย่างชัดเจน

ยังไม่เห็นตัวเซียนกระบี่ แสงกระบี่กลับมาถึงก่อนแล้ว

คนชุดเขียวผู้หนึ่งพลิ้วกายลงบนพื้น ยืนอยู่นอกประตูภูเขาของวัดเทียนกง มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งกุมแผลตรงหน้าท้องไว้เบาๆ พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “ตงซาน ถอยกลับไป”

ชุยตงซานรีบร้องเฮ้อหนึ่งที กระโดดหนึ่งครั้ง ร่างพลิ้วลงบนพื้น ถอยออกไปจากวัดเทียนกงโดยตรง มายืนอยู่ข้างกายอาจารย์

ก่อนหน้านี้เขาจงใจพูดเปิดโปงตัวตนของเผยหมิ่น เสียงนั้นไม่เบา แน่นอนว่าหวังให้อาจารย์ที่กำลังเดินทางมาได้ยิน การถามกระบี่ที่วัดเทียนกงท่ามกลางม่านฟ้า ทางที่ดีที่สุดควรต้องพิถีพิถันในเรื่องความหนักเบา แค่แบ่งแพ้ชนะด้านเวทกระบี่กับเผยหมิ่นก็พอ อย่าต้องให้ถึงขั้นแบ่งเป็นตายกันง่ายๆ ต่อให้จะโมโหมาก แต่หากคิดจะต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับตาแก่ผู้นี้จริงๆ ก็ไม่ต้องรีบร้อนทำในเวลานี้ จำเป็นต้องเหลือค้างเอาไว้ก่อน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าโจรเฒ่าเผยผู้นี้จะถึงขั้นมองความคิดของเขาออกอย่างปรุโปร่ง จึงใช้ปราณกระบี่สร้างฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมาก่อนนานแล้ว สกัดขวางการส่งข้อความของชุยตงซานเอาไว้

โชคดีที่อาจารย์เพียงแค่ใช้หนึ่งกระบี่ทำลายฟ้าดินเวทกระบี่ของเผยหมิ่นเท่านั้น ยังไม่ได้เข้าไปประลองวิชากระบี่ในวัดโดยตรง ถ้าอย่างนั้นชุยตงซานก็ไม่พูดอะไรให้มากความอีก อาจารย์ทำอะไรล้วนรู้จักหนักเบาอย่างดีเสมอ

เฉินผิงอันสะบัดควงกระบี่เบาๆ ปราณกระบี่เป็นกลุ่มๆ เส้นๆ ไหลเอ่อออกไป ประหนึ่งมีคนถือโคมไฟดวงหนึ่งมาท่องเที่ยววัดโบราณยามค่ำคืน สุดท้ายแสงกระบี่ที่มาจากปราณกระบี่ทั้งหมดถูกรวบไว้ในระยะที่ประชิดกับปลายกระบี่ เฉินผิงอันยกมือขึ้น ผายฝ่ามือออกไปเบื้องหน้า ถอยหลังหนึ่งก้าว ปลายเท้าและส้นเท้าล้วนลอยค้างอยู่กลางอากาศไม่ได้สัมผัสกับพื้น “ไม่สู้เจ้าและข้ามาถามกระบี่กันข้างนอก หลีกเลี่ยงไม่ให้รบกวนการคัดคัมภีร์ของท่านกั๋วกง”

ชุยตงซานอดไม่ไหวเตือนเสียงเบาว่า “อาจารย์ เจ้าแก่นี่แซ่เผยนามหมิ่น ก็คือเผยหมิ่นของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนนั้น เคยสอนเวทกระบี่ให้ป๋ายเหย่อยู่สองสามวัน พื้นฐานแข็งแกร่ง รับมือได้ยากยิ่ง ต้องระวังให้มากๆๆ เลยล่ะ เมื่อครู่นี้ข้ายกเอาอาจารย์ลุงออกมาทีเดียวถึงสองคน บวกกับผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์อีกคนก็ยังไม่อาจทำให้เขาตกใจกลัวได้”

ชุยตงซานยังคงพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน เพียงแต่ว่าน้อยครั้งนักที่จะมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้

หากคืนนี้อาจารย์กับเผยหมิ่นแลกกระบี่กันคนละที แล้วหยุดลงแค่พอสมควร ชุยตงซานก็ไม่พูดอะไรมากแล้ว แต่ดูจากสีหน้าของอาจารย์ แล้วดูจากภาพบรรยากาศบนร่างของเผยหมิ่นแล้ว ต่างก็ไม่เหมือนการทะเลาะต่อยตีกันในยุทธภพที่ต่างคนต่างบอกชื่อแซ่ของตัวเองแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันเลย

ในปฏิทินเหลืองของใต้หล้าไพศาลที่บันทึกมาดของเซียนกระบี่เอาไว้โดยเฉพาะ เผยหมิ่นที่เคยเป็นตัวแทนของจุดสูงสุดแห่งเวทกระบี่ในโลกมนุษย์ ก็คือหนึ่งในสาเหตุใหญ่ที่สุดที่จั่วโย่วออกกระบี่ไปเยี่ยมเยือนเซียนนานร้อยกว่าปี หากไม่ได้ต่อสู้กับเผยหมิ่นอย่างแท้จริง แบ่งอันดับหนึ่งอันดับสองกันให้ชัดเจน อะไรที่บอกว่าเวทกระบี่จั่วโย่วเลิศล้ำเป็นเอกในใต้หล้า ก็ล้วนเป็นคำกล่าวที่เลื่อนลอย เป็นแค่วจีไพเราะที่ไม่สามารถคิดเป็นจริงเป็นจังได้เท่านั้น

มีม่านฝนมืดดำกั้นขวางหลายลี้ เฉินผิงอันกลั้นหายใจทำสมาธิ รวบรวมความคิดวุ่นวายซับซ้อนทั้งหมดกลับคืนมา พยายามรวมพวกมันให้เป็นหนึ่งเดียว จ้องเขม็งไปยังเผยหมิ่นหนึ่งในสามสุดยอดด้านเวทกระบี่ของไพศาลผู้นั้น อำพรางตัวได้ลึกล้ำจริงๆ ปีนั้นตนถึงกับไม่เคยสังเกตเห็น ไม่เคยคิดไปในจุดสูง เอาแต่มองว่าอีกฝ่ายเป็นแค่องค์รักษ์ประจำตัวของเซินกั๋วกงคนหนึ่งเท่านั้น มิน่าเล่าถึงสามารถรวมเป็นก้อนเดียวกับเฝ่ยหรานได้ ที่แท้ก็เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันนี่เอง

เวลานี้เฉินผิงอันไม่กล้าขยับสายตามองไปทางอื่นแม้แต่น้อย ก่อนจะถามหมัดเขายังคงฟังหมัดก่อนเหมือนเดิม สังเกตดูการไหลรินลมปราณของผู้เฒ่าคนนั้นอย่างละเอียด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รับมือได้ยากหรือไม่ อาจารย์รู้ชัดเจนดี”

หากรับมือได้ง่าย ก็คงไม่มีทางใช้กระบี่ร่มเล่มหนึ่งแหวกฟ้าดินเล็กนกในกรงไปก่อน แล้วค่อยแทงร่างตนจนไปปักอยู่บนกำแพง หากไม่เป็นเพราะหมัดหนึ่งของเฉินผิงอันต่อยไปโดน ด้ามร่มท่อนนั้นก็คงจะแทงเข้าที่หัวใจของเขาไปแล้ว

ใช้ร่มต่างกระบี่ และกระบี่นี้ก็ถึงกับเหมือนเซียนเหรินท่านหนึ่งที่ก้าวหนึ่งก้าวข้ามผ่านภูเขาแม่น้ำ ออกจากวัดเทียนกงมาโผล่นอกหน้าต่างห้องของอารามหวงฮวาอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ตอนนั้นเฉินผิงอันรับมือไม่ทันจริงๆ เพราะเหตุฉุกละหุก จึงได้แต่ใช้อาการบาดเจ็บของตนมาช่วยเหลือนักพรตหลงโจวคนที่กระบี่ยาวด้ามร่มต้องการสังหารที่แท้จริงเอาไว้ เฉินผิงอันรู้ดีว่าต้องเป็นนกในกรงเล่มนั้นของตนที่ดึงดูดความสนใจจากเผยหมิ่นซึ่งอยู่ห่างไปไกลถึงวัดเทียนกงอย่างแน่นอน

นกในกรงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ ปัญหายุ่งยากเพียงหนึ่งเดียวก็อยู่ตรงนี้เอง ยามที่เข่นฆ่ากับคนอื่นในฟ้าดินเล็ก เฉินผิงอันสามารถยึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพรมาได้ทั้งหมด จากนั้นค่อยเอาจันทร์ใต้บ่อที่หนึ่งกระบี่จำแลงได้พันหมื่นมาร่วมประสาน ก็จะได้ครองคนสามัคคี

แต่หากนกในกรงเผยกายบนโลกเมื่อไหร่ สำหรับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่อยู่นอกสนามรบแล้ว เดิมทีก็เป็นการสยบขวัญและการบอกเตือนที่ใหญ่มากอย่างหนึ่งอยู่แล้ว เหมือนกับยามค่ำคืนที่มีคนถือเทียนออกมาเดินข้างนอก เทียนเล่มหนึ่งสว่างมากหรือน้อย เสียงที่เรียกผู้คนดังหรือเบา ล้วนต้องดูที่ว่าความสามารถในการมองและการฟังของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนดีหรือเลว

ดังนั้นเฉินผิงอันที่อยู่ในอารามหวงอวาจึงไม่ได้ร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของนกในกรงออกมาทั้งหมด รับมือกับเจ้าอารามขอบเขตชมมหาสมุทรที่ยังไม่เป็นเซียนดินคนหนึ่ง ออกจะเป็นการเอาวัตถุดิบชิ้นใหญ่มาใช้กับงานเล็กน้อยเกินไป

เผยหมิ่นไม่เอ่ยอะไรสักคำ ก้าวออกมาข้างนอกหนึ่งก้าว ยื่นมือคว้าง่ายๆ หนึ่งครั้ง น้ำฝนและปราณกระบี่ของบนร่างก็รวมตัวกันกลายเป็นกระบี่ยาวไร้ฝักเล่มหนึ่ง สีเขียวมรกตแวววาว ประกายแสงใสดุจน้ำในฤดูใบไม้ร่วง

เท้าขวาของเฉินผิงอันที่ยกค้างไม่แตะพื้นเหยียบลงบนดินโคลนเต็มฝ่าเท้า ร่างของเผยหมิ่นไปปรากฎตัวในป่าอยู่ห่างไปสิบกว่าลี้ เฉินผิงอันตามติดไปดุจเงา

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้ใช้เสียงในใจกำชับชุยตงซานเรื่องหนึ่ง

สำหรับผู้ฝึกลมปราณบางคนในวัดเทียนกงและในนครเซิ่นจิ่งที่ขอบเขตสูงมากพอแล้ว จะเห็นเป็นแสงกระบี่พร่างพราวสองเส้นแหวกผ่าม่านราตรียาวสิบกว่าลี้ ราวกับเจียวหลงสองตัวที่ว่ายเลื้อยอยู่กลางอากาศสูง สุดท้ายเปล่งวูบหายวับไปบนยอดเขาสองลูกที่หันหน้าคุมเชิงกันอยู่

ก่อนหน้านั้นก็ยิ่งมีแสงกระบี่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามเส้นหนึ่งแหวกผ่าม่านฟ้าซึ่งสามารถกรีดม่านฟ้าออกได้อย่างง่ายดายเหมือนมีดตัดเต้าหู้

ปราณกระบี่ยาวมาก ปราณกระบี่ใกล้มาก เห็นได้ชัดว่ามีจุดเริ่มต้นที่นครเซิ่นจิ่ง แล้วไปหล่นลงตรงทิศทางของวัดเทียนกงนอกเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นปราณกระบี่ที่ทั้งสองฝ่ายร่ายออกมาหรือปณิธานกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลนั้น ก็ล้วนทำให้เซียนดินจำนวนเพียงหยิบมือที่โชคดีสัมผัสได้ถึงเรื่องนี้พรั่นผวาเป็นทบทวี แต่ละคนจิตวิญญาณแกว่งไกว หากไม่เริ่มท่องคาถารวมลมปราณ หลบซ่อนตัวหวังรักษาตัวรอด ก็รีบไปเรียกลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาอยู่ข้างกาย สวมชุดคลุมอาคม ใช้ยันต์สร้างค่ายกล ประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ทำเอาพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอายุน้อยทั้งหลายหน้าขาวซีด เข้าใจผิดคิดว่ามีเผ่าปีศาจออกอาละวาดหมายเปิดศึกใหญ่ทำลายแคว้นอีกครั้ง

และในนครเซิ่นจิ่งยังมีเซียนดินบางคนที่เห็นว่าท่าไม่ดีจึงอาศัยเอกสารผ่านด่านของแทนตัวที่ทางกรมพิธีการต้าเฉวียนมอบให้รีบร้อนทะยานลมหนีออกมาจากเมืองหลวงต้าเฉวียน มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตรงกันข้ามกับยอดเขาสองลูกของเมืองหลวง เผ่นหนีไปตลอดทาง กลัวก็แต่ว่าการออกกระบี่อย่างเต็มกำลังของเซียนกระบี่ไม่ทราบนามสองท่าน จะไม่ทันระวังเดือดร้อนลามมาถึงปลาในบ่อของนครเซิ่นจิ่ง ถึงเวลานั้นพวกกุ้งหอยปูปลาที่ไม่เป็นโล้เป็นพายก็ดี หรือเจียวหลงที่ขดตัวยึดครองพื้นที่อยู่ด้านในก็ช่าง ปราณกระบี่ของทั้งสองฝ่ายท่วมทะยานฟ้า หากหล่นลงในนครเซิ่นจิ่ง ไม่พูดถึงตัวนครที่จะถูกผ่าเหมือนกระดาษบางๆ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของมนุษย์ธรรมดาจะต้องแหลกสลายหมดสิ้น พูดถึงแค่ปราณกระบี่เปี่ยมล้นที่ปะปนไปด้วยปราณวิญญาณของในนครก็ทำให้ผู้ฝึกลมปราณจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนถูกพระเพลิงแผดเผาได้แล้ว ปลาและมังกรที่อยู่ในหม้อน้ำมัน จุดจบย่อมไม่มีทางดีไปได้

นกในกรงเล่มหนึ่ง ฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่ง ครอบคลุมภูเขาสองลูกที่ห่างกันหลายลี้ซึ่งทั้งสองฝ่ายใช้คุมเชิงกัน

เผยหมิ่นกลายมาเป็นนกในกรงตัวหนึ่ง เผชิญหน้ากับ ‘เทพเทวดา’ ที่เป็นเจ้าบ้านท่านหนึ่ง อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังเป็นเซียนกระบี่คนหนึ่งด้วย ผู้เฒ่ากลับไม่ยี่หระแม้แต่น้อย กลับกันยังเกิดความสนใจ มองกระบี่ยาวในมือของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นอีกที คุ้นตายิ่งนัก แต่ก็คล้ายจะไม่คุ้นเคยสักเท่าไร ถึงอย่างไรก็เป็นไท่ป๋ายกระบี่เซียนที่ไม่สมบูรณ์แบบอีกต่อไปแล้ว นอกจากความเงียบงัน เผยหมิ่นยังคอยรับสัมผัสกับการไหลรินของปราณกระบี่ในฟ้าดินรอบด้านอย่างตั้งใจไปด้วย

ฟ้าดินมีระเบียบ ดวงดาวเรียงตัว หมื่นบรรยากาศเข้มงวดจริงจัง ฟ้าดินเล็กปราณกระบี่ตัวดี ถึงกับมีเค้าโครงของมหามรรคาที่ไร้ช่องโหว่แล้ว

ผู้เฒ่าพยักหน้าเบาๆ ไม่ปิดบังสีหน้าชื่นชมของตัวเองแม้แต่น้อย ในที่สุดก็เปิดปากพูดประโยคแรก “กระบี่พกดี กระบี่บินดี ล้วนต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่า”

การที่เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ออกกระบี่ สองภูเขาคุมเชิงกัน ห่างกันไม่ไกลแต่ก็ไม่ใกล้ เป็นการกระทำด้วยความจงใจของเผยหมิ่น เพราะอยากจะลองหยั่งเชิงฟ้าดินเล็กของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้ดูสักหน่อย ว่าสรุปแล้วจะสามารถครอบคลุมเอาฟ้าดินที่แท้จริงไปได้มากแค่ไหน ตอนที่อยู่ในอารามหวงฮวาของเมืองหลวงแห่งนั้น ใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินปกคลุมห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งของอารามเต๋า เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันผู้นี้ยังเก็บงำฝีมือ ไม่แน่ว่าแม้แต่เรื่องที่ถูกกระบี่แทงหน้าท้อง ร่างปักตรึงอยู่กับผนัง ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นการแสดงความอ่อนแอโดยตั้งใจอย่างหนึ่งด้วย

อีกฝ่ายไม่พูดอะไรอีก ถามกระบี่สนใจแค่เวทกระบี่เท่านั้น

เผยหมิ่นก็ไม่คิดจะเกรงใจอีกต่อไป

บนจุดสูงของฟ้าดินที่ภูเขาสองลูกคุมเชิงกันอยู่ แสงกระบี่สองเส้นปะทะกันระหว่างฟ้าดิน ปรากฏเป็นตัวอักษร ‘หนึ่ง’ (一) ที่ลาดเอียงเล็กน้อย

มองดูเหมือนต่างฝ่ายต่างปล่อยกระบี่ออกไป เฉินผิงอันลงมือถามกระบี่ก่อน ส่วนเผยหมิ่นที่ตั้งท่ารอคอยก็ใช้กระบี่รับกระบี่ สุดท้ายแสงกระบี่ของทั้งสองฝ่ายต่างก็ไปหล่นร่วงในจุดเดียวกันอย่างรู้ใจกันถึงที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วเผยหมิ่นและเฉินผิงอันต่างฝ่ายต่างก็ออกกระบี่สิบสองครั้งในชั่วพริบตา แต่ละครั้งที่เพิ่มมาล้วนออกกระบี่เร็วกว่าก่อนหน้านี้ ปราณกระบี่ก็เข้มข้นกว่า ทว่าวิถีการโคจรของแสงกระบี่กลับไม่ผิดไปจากเดิมแม้แต่น้อย อยู่บนแนวเส้นของกระบี่แรกตลอด เผยหมิ่นเองก็ทำตามเฉินผิงอันไปด้วย

แสงกระบี่สลายหายไป ปณิธานกระบี่ที่หลงเหลืออยู่ของทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้มข้นเกินจะหาสิ่งใดมาเปรียบ เอ่อท้นไปทั่วแปดทิศของฟ้าดิน อีกฝ่ายไม่ออกกระบี่อีก เรือนกายก็หายไปด้วย ทว่าเผยหมิ่นกลับยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เวทกระบี่วิชานี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ภาพบรรยากาศแปลกใหม่อย่างยิ่ง ถึงกับสามารถเพิ่มปณิธานกระบี่ทับซ้อนกันได้อย่างต่อเนื่องเชียวหรือ? แค่สิบสองกระบี่เท่านั้น น้อยไปสักหน่อยหรือไม่ หากสามารถสะสมให้ได้สักยี่สิบกระบี่ ไม่แน่ว่าตนอาจจะต้องขยับเบี่ยงหลบก็เป็นได้

แสงกระบี่พุ่งมาดุจสายฟ้าแลบ แล้วก็จากไปเร็วปานกัน ตัวอักษร ‘หนึ่ง’ ที่กระบี่ทั้งสองเล่มร่วมกันเขียนนั้นมากพอจะสังหารเซียนดินก่อกำเนิดที่ถูกฟ้าดินสยบกำราบได้หลายคนแล้ว

เผยหมิ่นบิดหมุนข้อมือ แสงกระบี่เปล่งประกายวูบ ปล่อยกระบี่ออกไปอย่างง่ายๆ แสงกระบี่เฉียบคมปาดผ่าฟ้าดินในแนวขวางพุ่งออกไปจากข้างกาย สลายปราณกระบี่เสี้ยวหนึ่งที่อำพรางตัวอยู่อย่างเงียบเชียบ

กระบี่ก่อนหน้านี้สาดประกายแสงเจิดจ้าสะดุดตา ทว่าเผยหมิ่นออกกระบี่ได้แม่นยำยิ่ง ปราณกระบี่จึงลดทอนกันและกันได้พอดี หลงเหลือไว้เพียงปณิธานกระบี่ ทว่ากระบี่นี้มาเยือนอย่างเงียบเชียบ หลังจากถูกกระบี่หนึ่งของเผยหมิ่นสกัดกั้นไว้ พลังอำนาจกลับยิ่งเหิมหาญยิ่งใหญ่ ปราณกระบี่แตกกระจายซัดกระเด็นไปรอบด้านเหมือนฝนห่าใหญ่ตกลงมา ผืนป่าบนพื้นดินเกิดเป็นร่องลึกเล็กๆ จำนวนนับหมื่น ร่องรอยกระบี่เต็มไปทั่วทั้งบนและล่างภูเขา ลำธารในผืนป่าสายหนึ่งคล้ายถูกปราณกระบี่ที่ไหลซัดกรากของทั้งสองฝ่ายหั่นแบ่งออกเป็นร่องน้ำเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน บ้างก็เป็นแนวตั้ง บ้างก็เป็นแนวนอน จำนวนมากหลายร้อยร่อง

เผยหมิ่นมองกระบี่ยาวที่เกิดจากการรวมตัวของน้ำฝนในมือ ตัวกระบี่ถูกผ่าออกเป็นสองท่อนแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นแค่วัตถุธรรมดาทั่วไป เฉียบคมสู้กระบี่ยาวประหลาดที่มาจากปลายกระบี่ของกระบี่ไท่ป๋ายเล่มนั้นไม่ได้

เพียงแต่ว่ากระบี่ที่หักสองท่อนถูกปราณกระบี่ชักนำจึงซ่อมแซมตัวเองให้กลับมาดีดังเดิม กลับคืนมาเป็นกระบี่ยาวใสแวววาวส่องประกายเจิดจ้าอีกครั้ง หากไม่เป็นเพราะเพื่อแสดงให้เห็นถึงตัวตนผู้ฝึกกระบี่ ด้วยขอบเขตของเผยหมิ่นก็ยังอดรู้สึกใคร่รู้นิดๆ ไม่ได้ว่าในฟ้าดินแห่งนี้มีวัตถุชนิดใดที่สามารถนำมาหลอมเป็นฝักกระบี่ของปลายกระบี่ไท่ป๋ายได้ แท่นสังหารมังกรขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งพอจะเอามาใช้ได้อย่างถูไถ แต่น้ำหนักย่อมมากเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอบเขตยังไม่สูงมากพอ อีกทั้งปลายกระบี่ไท่ป๋าย ไหนเลยจะต้องอาศัยแท่นสังหารมังกรมาลับคม นี่ก็เหมือนผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่จะยังต้องการเงินเกล็ดหิมะไม่กี่เหรียญไปเติมเต็มทะเลสาบปราณวิญญาณในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์เพื่ออะไร

เผยหมิ่นกล่าว “จะให้เจ้าออกกระบี่อีกครั้ง สามกระบี่ผ่านไป เจ้าค่อยรับกระบี่ข้าสามครั้ง หากรับไว้ได้ก็ไม่ต้องตาย”

เผยหมิ่นพลันหัวเราะ คนหนุ่มทำแบบนี้ไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไรแล้ว

เพราะในฟ้าดินเล็กมีกระดาษเหลืองที่เหมือนถูกคนโปรยไว้บนหลุมศพในช่วงเทศกาลชิงหมิงปรากฎขึ้นมา

กระดาษยันต์สีเหลืองหนึ่งพันแปดร้อยกว่าแผ่นที่เฉินผิงอันอาศัย ‘ฟ้าอำนวยอยู่ที่ข้า’ พริบตานั้นได้ถูกปราณกระบี่แต้มนัยน์ตาให้แก่แก่นยันต์ แสงศักดิ์สิทธิ์จึงเปล่งประกายเรืองรอง

ม่านฟ้ายังคงมีธารดวงดาวเส้นหนึ่งห้อยแขวน แต่จากนั้นก็พลันลดฮวบลงมา เพียงแค่ทำการเชื่อมโยงชักนำระหว่างปราณกระบี่กับยันต์ ประหนึ่งภาพดวงดาวแห่งกองโหราศาสตร์ที่ถูกวาดเขียนจนเต็มแน่น

เฉินผิงอันซ่อนตัวอยู่ในจุดหนึ่ง ใช้ดวงจิตบังคับค่ายกลกระบี่นั้นให้กระแทกเข้าใส่ผู้เฒ่าถือกระบี่ที่อยู่บนยอดเขา

ทว่าแท้จริงแล้วเฉินผิงอันยืนอยู่ตรงตีนเขาลูกที่เผยหมิ่นอยู่นี่เอง เพียงแต่ว่าฟ้าดินมีความแตกต่าง ขอบฟ้าใกล้ในระยะประชิด ร่างอยู่ในนกในกรง ระยะทางไกลหรือใกล้ ไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปมาวัดกะเกณฑ์ได้ ขอแค่เฉินผิงอันใจกล้ามากพอ ก็สามารถไปยืนอยู่ข้างกายผู้เฒ่าบนยอดเขาได้เลยด้วยซ้ำ แม้จะเลือกยืนเคียงบ่ากับเผยหมิ่น แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้งสองฝ่ายกลับอยู่ห่างกันเป็นร้อยเป็นพันลี้ ทว่าเฉินผิงอันก็ยังมีความกังวล เพราะเซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่เวทกระบี่เดินไปสู่ยอดสูงสุดของโลกมนุษย์มานานเป็นพันปีแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นออกมา ช่างทำให้เส้นเอ็นหัวใจของคนขมึงตึงเสียจริง

——