อะไรกัน

พวกอูเฟิงจื่อที่เดิมมีไอสังหารคิดจัดการหลินสวิน พริบตานี้ไม่มีใครไม่หน้าเปลี่ยนสี

เจ้ามารบาปนั่นหลุดออกมาแล้ว!

เสียงวู้มดังขึ้น สมองของพวกเขาแทบจะระเบิด

พลังลึกลับที่คอยช่วยหลินสวินเพิ่งหายไป วิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสารก็หลุดรอดออกมา นี่ทำให้พวกอูเฟิงจื่อต่างมีความรู้สึกว่าจะพังทลาย

โชคไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน หายนะไม่มาเดี่ยว!

ต้นเทพฝูซางมืดสลัว กิ่งก้านเผยแววมืดมน เจตจำนงมหาจักรพรรดิก่อนหน้านี้สูบพลังของมันไปกว่าครึ่ง แน่นอนว่าไม่มีทางกำราบวิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสารได้อีก

ยามนี้เงาร่างนั้นยืนอยู่กลางอากาศ แหงนมองฟ้าหัวเราะร่า ไอสังหารอำมหิตปกคลุมฟ้าดินราวกับคลื่นยักษ์ซัดโหม

เมื่อมองอย่างละเอียด ลักษณะของเขาคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่รูปงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ผมกลับเป็นสีขาวเทา นัยน์ตาราวกับวังวนหลุมดำ แววดุดันน่าพรั่นพรึงไหลวน

“นายท่านน้อย ขอยืมธนูยักษ์สักประเดี๋ยว!”

เมื่อสายตาของเด็กหนุ่มผมเทามองไปทางหลินสวิน กลับอ่อนน้อมถ่อมตนโค้งคำนับ

นี่เหมือนเป็นการยอมรับฐานะของหลินสวินอย่างหนึ่ง

หรือพูดได้ว่าตั้งแต่พริบตาที่หลินสวินบุกเข้ามาในหุบเขาตะวันคล้อยเพื่อช่วยเขาออกไป เขาก็ยอมรับชายหนุ่มคนนี้แล้ว

“เอาไป!”

หลินสวินสะบัดมือลวกๆ ธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรนภาครามต่างพุ่งออกไป ถูกเด็กหนุ่มผมเทารับไว้

วู้ม!

เด็กหนุ่มผมเทากระหวัดนิ้วชี้เกี่ยวสายธนู เสียงเร้าระทึกเหมือนพายุสายฟ้า

ในดวงตาเขาฉายแววตื่นเต้น เหม่อลอย และยินดี กล่าวพึมพำว่า “ในที่สุด… ข้าก็มาอยู่บนโลกได้อีกครั้ง เจ้าเฒ่าอีกามาร… เจ้าล้างคอรอไว้เถอะ… อีกไม่นานข้าจะไปหาเจ้าเพื่อแก้แค้น!”

กล่าวถึงตอนท้ายเขาพลันเงยหน้าขึ้น สายตากวาดมองพวกอูเฟิงจื่อ มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มเย็นชา วาจาอึมครึมเหี้ยมเกรียม

“ข้าเคยบอกแล้วว่ายามที่หลุดออกมาได้ ความทรมานทั้งหมดที่ได้รับมาเนิ่นนานนี้จะสนองคืนทั้งหมด ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว!”

เขาพลันง้างสายธนู จากนั้นศรนภาครามพุ่งวาบออกไป

ตูม!

ศรเดียวกลับมีอานุภาพแหวกผ่านห้วงอากาศ บดขยี้ภูผาธารา ไอพลังอำมหิตเหมือนดั่งคงอยู่จริงทะยานตามศรนี้ออกมา

ในความรางเลือนยังมีเสียงเข่นฆ่าสังหารดังก้องเป็นระลอก

หลินสวินขนพองสยองเกล้า เมื่อธนูวิญญาณไร้แก่นสารถูกใช้โดยวิญญาณอาวุธของมัน อานุภาพนั้นต่างออกไปอย่างสมบูรณ์ น่ากลัวถึงขั้นไม่อาจจินตนาการได้

“หลบเร็ว!”

อูเฟิงจื่อตะโกนลั่น

แต่สุดท้ายก็ยังช้าไปหนึ่งส่วน หรือพูดได้ว่าภายใต้ศรนี้ ถ้าคิดจะหลบก็เป็นไปไม่ได้

ปึง!

เงาร่างหนึ่งระเบิดออก เลือดเนื้อสาดกระจาย

เป็นอูหลิงจื่อ นี่เป็นถึงคนที่อยู่ในระดับราชันอริยะคนหนึ่ง แต่กลับถูกศรเดียวสังหารกระจุย ร่างกายที่แหลกละเอียดของเขาหายไปในแสงศรอำมหิต!

พวกอูเหิงเทียนตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด ทั้งตัวถูกความกลัวเข้าครอบงำ แทบจะเผ่นหนีตามสัญชาตญาณทันที

วิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสารน่ากลัวเกินไปแล้ว!

ตอนที่เขาถูกกำราบ พวกเขายังมองมันเป็นมารบาป ทั้งเฆี่ยนตีและดูหมิ่นรังแก แต่ยามวิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสารหลุดออกมาก็ต่างออกไปอย่างสมบูรณ์แล้ว

อานุภาพที่เขาครอบครอง ถึงขั้นอยู่เหนือความคาดหมายของสัตว์ประหลาดเฒ่าเผ่าอีกาทองทุกคนอยู่โข

“คิดหนีรึ ไม่มีทาง!”

เด็กหนุ่มผมเทาราวกับเทพดุร้ายคนหนึ่ง ดึงธนูง้างศร แค่ชั่วพริบตาก็ยิงธนูออกไปสิบกว่าดอก แต่ละดอกล้วนมีอานุภาพอัศจรรย์ทะลวงแผ่นฟ้า โจมตีสุริยันจันทราให้จมดิ่ง

ฟุ่บ!

ฟุ่บ!

ฟุ่บ!

เพียงพริบตาผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนแล้วคนเล่าถูกทะลวงผ่าน ร่างกายระเบิดออก ฝนโลหิตสาดพรม จิตสิ้นวิญญาณสลาย

ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับมหาอริยะก็ดี หรือจะเป็นระดับอริยะแท้ก็ตาม ขอแค่เป็นคนที่ถูกเล็งก็ล้วนหนีจุดจบแห่งความตายไม่พ้น

เด็กหนุ่มผมเทายืนอยู่กลางอากาศ ร่างผอมบาง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายอำมหิตทะลุทะลวง ธนูยักษ์เหี้ยมเกรียมคันหนึ่งที่ทำขึ้นจากกระดูกขาวมากมาย ขับเน้นให้อานุภาพของเขาไม่ธรรมดายิ่งกว่าเดิม

แม้แต่หลินสวินก็ยังสูดหายใจหนาวเยือกอย่างอดไม่ได้ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

วิญญาณอาวุธตนหนึ่ง ถูกกักขังและจองจำในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ถูกเฆี่ยนตี ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็นไม่รู้เท่าไร กระทั่งวันนี้ที่รอดพ้นความลำบากก็ยังมีอานุภาพร้ายกาจเช่นนี้

นี่ทำให้หลินสวินไม่กล้าจินตนาการว่า วิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสารในช่วงแรกจะมีพลังที่สะเทือนใต้หล้าแค่ไหน

อย่างอูหลิงจื่อที่เป็นถึงราชันอริยะ พลังอยู่ในระดับสูงสุดของดินแดนรกร้างโบราณในปัจจุบัน แต่กลับต้านการโจมตีเดียวของเด็กหนุ่มผมเทาไม่อยู่!

ปึง! ปึง! ปึง!

เสียงง้างธนูดังก้องเป็นระลอกเหมือนพายุสายฟ้าปั่นป่วน เด็กหนุ่มผมเทายืนอยู่บนชั้นเมฆ ผมยาวคลั่งระบำ บนใบหน้างามเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองน่าครั่นคร้าม

“ปีนั้นข้าเคยสาบานว่า ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่ได้เหยียบย่ำที่นี่จนสิ้นซาก ล้างบางเผ่าอีกาทอง วันนี้หากให้พวกเจ้าหนีไปได้ ไม่ใช่ว่าข้าพูดจาตระบัดสัตย์หรือ”

“ฮ่าๆๆ ดูเศษสวะอย่างพวกเจ้าสิ ยังขี้ขลาดเหมือนปีนั้นอยู่เลย! ความกล้ายามพวกเจ้าเฆี่ยนตีข้าล่ะ หายไปไหนแล้ว”

“น่าเสียดาย ในหุบเขาตะวันคล้อยนี้ไม่มีระดับกึ่งจักรพรรดิแล้ว แค่ฆ่าเฒ่าระยำไม่ได้เรื่องอย่างพวกเจ้า สุดท้ายก็ยังไม่สะใจ…”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขาตะวันคล้อย

เด็กหนุ่มผมเทาในยามนี้ก็เหมือนเทพดุร้ายที่แก้แค้นอย่างแข็งกร้าว ระบายความคับแค้นและความเกลียดชังทั้งหมดที่ได้รับมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุดไปกับการฆ่าฟัน

เขากำลังไล่ล่า ออกโจมตีตามอำเภอใจในหุบเขาตะวันคล้อย

ในหุบเขาตะวันคล้อย พวกเจ้าคางคก อาหลู่เพิ่งดึงสติกลับมาได้ การปะทะกันของหลินสวินกับเจตจำนงมหาจักรพรรดิเมื่อครู่ แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังทำให้พวกเขายากจะรับหาใดเปรียบ ตื่นตระหนกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไม่ง่ายเลยกว่าจะสงบใจลงได้บ้าง ก็เห็นภาพบ้าระห่ำที่เด็กหนุ่มผมเทาถือธนูวิญญาณไร้แก่นสารฆ่าสังหารทั่วทิศ

เพียงพริบตาพวกเขาต่างอึ้งงันอีกครั้งอย่างอดไม่ได้

“เดี๋ยว นี่คือพี่เบิ้มจากไหน พลังต่อสู้นี้ป่าเถื่อนเกินไปแล้วกระมัง”

อาหลู่ร้องเสียงประหลาด

“จะเป็นใครได้ แน่นอนว่าต้องเป็นวิญญาณอาวุธของธนูคันนั้นอยู่แล้ว ตามที่พี่ใหญ่บอก เจ้าหมอนี่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ถูกกำราบอยู่ที่นี่มาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ไม่ว่าเผ่าอีกาทองจะใช้วิธีอะไรล้วนไม่อาจสังหารเขาได้ วิปริตจนไม่รู้จะว่าอย่างไร”

เจ้าคางคกเอ่ยปากชม

“วิญญาณอาวุธตนเดียวยังน่ากลัวเช่นนี้ ธนูคันนั้นจะมีความเป็นมาน่าอัศจรรย์เพียงใด”

เจ้านกดำดวงตาวาววาบ จ้องมองเด็กหนุ่มผมเทาและธนูวิญญาณไร้แก่นสารอย่างโลภโมโทสัน น้ำลายแทบหก แม่งเอ๊ย นี่ต่างหากสมบัติแห่งยุคที่แท้จริง!

หืม?

เด็กหนุ่มผมเทาคล้ายสังเกตเห็นแววตาของเจ้านกดำ เขาหันกลับมามองทันใด ในดวงตาดุดันที่ราวกับวังน้ำวนมีประกายวาววามพลุ่งพล่านไปทั่ว ขู่จนเจ้านกดำสั่นไปทั้งตัว รีบถอนสายตากลับ

“หึ อีกาดำตัวหนึ่ง ดูท่าจะไม่ใช่พวกเดียวกันกับพวกเฒ่าระยำนั่น”

เด็กหนุ่มผมเทาหัวเราะลั่น ไม่ใส่ใจเจ้านกดำอีก เงาร่างพุ่งวาบไล่ฆ่าห่างออกไป

เจ้านกดำสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด สบถด่ายกใหญ่ “ความเป็นมาของข้าถ้าพูดออกมาก็สามารถทำให้มหาจักรพรรดิตกใจได้ จะเอาไปเทียบกับอีกาดำได้อย่างไร”

ทุกคนต่างกลอกตาใส่ ทำให้มหาจักรพรรดิตกใจรึ เจ้านกขี้ขโมยนี่พูดจาใหญ่โตซะจริง!

พวกเขาก็ไม่หยุดมือ เริ่มเคลื่อนไหวกวาดล้างหุบเขาตะวันคล้อย

เวลาแค่หนึ่งถ้วยชา ในหุบเขาตะวันคล้อยที่กว้างใหญ่ก็หาผู้แข็งแกร่งของเผ่าอีกาทองที่รอดชีวิตไม่เจออีก มีเพียงซากศพและความระเนระนาดเต็มพื้น

“เร็วเข้า ทุกคนมาช่วยกันหา ‘วารีมรกตรังกา’ จริงสิ ยังมีหินเทพอัคคีด้วย มีเท่าไหร่ก็คว้ามาให้หมด!”

กลางฟ้าดิน เสียงตื่นเต้นของเจ้านกดำดังขึ้น

ศัตรูใกล้จะถูกล้างบางแล้ว หุบเขาตะวันคล้อยก็เหมือนถูกเหยียบย่ำ ตอนนี้เป็นเวลารวบรวมสมบัติกอบโกยทรัพย์สินแล้ว

ต้องรู้ว่าเผ่าอีกาทองเป็นถึงเผ่าเก่าแก่ อาศัยอยู่ที่หุบเขาตะวันคล้อยนี้มาตลอดตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์จนถึงวันนี้ ทรัพย์สินที่สั่งสมไว้ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา มากมายมหาศาลถึงขั้นไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ!

แม้แต่ยามรวบรวม พวกเจ้าคางคก อาหลู่ เซ่าเฮ่าก็ยังอดตกใจไม่ได้ สมบัติมากเกินไปแล้ว สมบัติอัศจรรย์ โอสถวิญญาณ วัตถุดิบเทพอะไรก็มีหมดทุกอย่าง

ภายในนั้นยิ่งไม่ขาดสมบัติโบราณน่าอัศจรรย์ ศาสตราอริยะที่ทรงอานุภาพบางส่วน รวมถึงหินแร่และตำราลับหายากส่วนหนึ่ง

หลินสวินไม่ได้เข้าร่วมในงานเลี้ยงกินโต๊ะแบ่งสมบัติคราวนี้ ใช่ว่าไม่สนใจ หากแต่เขายังมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ

“อ๊าๆๆ ต้นเทพฝูซาง! สวรรค์ ขอให้นี่ไม่ใช่ภาพหลอน! ไม่นึกเลยว่าต้นไม้เทพนี้จะยังคงอยู่บนโลก ปาฏิหาริย์ ช่างเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ!”

ต้นไม้เทพต้นหนึ่งที่ลำต้นแข็งแกร่งเปี่ยมพลัง กิ่งก้านเขียวขจีตื่นเต้นจนตะโกนลั่น กิ่งก้านนับหมื่นพันส่งเสียงดังสวบสาบราวกับร่ายระบำ

เป็นต้นบรรพชนหลอมจิต!

ตอนนั้นในแดนลับตำหนักใต้ดินของโลกมารโลหิตที่สมรภูมิเก้าดินแดน หลินสวินเก็บต้นไม้นี้ไว้ในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดมาตลอด

ต้นบรรพชนหลอมจิตต้นนี้แปลกประหลาดมาก เคยติดตามบำเพ็ญเพียรข้างกายมหาจักรพรรดิแยกฟ้า ท่องแหวกห้วงอากาศ ผ่านเรื่องต่างๆ มามากมาย

อีกทั้งมันยังมีสติปัญญาและจิตวิญญาณ สร้างต้นกำเนิดหลอมจิตออกมาได้ มีประโยชน์ต่อการหลอมศาสตราอริยะบริสุทธิ์ของหลินสวินอย่างคาดไม่ถึง

“เป็นอย่างไร เจ้าสามารถนำต้นไม้นี้ไปได้ไหม”

หลินสวินเอ่ยถาม

ต้นบรรพชนหลอมจิตกล่าวตื่นเต้น “ทำไมต้องเอาไปด้วย ให้ข้าหลอมมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายข้าไม่ดีกว่าหรือ”

“เจ้ายังกลืนกินต้นไม้นี้ได้อีกหรือ” หลินสวินยังอดชะงักไม่ได้ สีหน้าดูแปลกออกไป

ต้องรู้ว่าตอนนี้เขาครอบครองมรดกทั้งสองอย่างคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคและคัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุดแล้ว แต่ก็ไม่กล้าพูดเพ้อเจ้อว่าจะไปกลืนต้นไม้เทพที่อยู่มานานตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ต้นนี้

แต่ต้นบรรพชนหลอมจิตกลับเหมือนจ้องเหยื่ออันโอชะตัวหนึ่ง นี่ทำให้ผู้คนตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

“แน่นอนว่าได้! แต่กลับต้องใช้เวลา มากสุดหนึ่งพันปี ไม่ ภายในห้าพันปี ข้าต้องหลอมพลังและลายมรรคที่แฝงอยู่ในต้นไม้นี้ได้หมดแน่!”

ต้นบรรพชนหลอมจิตพูดจาคล่องปาก

หลินสวินกล่าว “ข้าไม่มีเวลามารอเจ้าห้าพันปี”

ต้นบรรพชนหลอมจิตร้อนรนแล้ว กัดฟันกล่าว “เช่นนั้นก็โค่นมันซะ ข้าขอแค่ ‘รากแห่งต้นกำเนิด’ ของมันก็พอ”

“ไม่ได้”

ห้วงอากาศเกิดคลื่นระลอก เด็กหนุ่มผมเทาเคลื่อนย้ายมาแล้วกล่าว “ต้นเทพฝูซางก่อเกิดจากไอแรกกำเนิด ให้กำเนิดแหล่งลูกไฟสมาธิ แต่จิตวิญญาณของมันถูกมหาจักรพรรดิอีกามารเอาไปนานแล้ว หากโค่นมันทิ้ง บนโลกนี้จะไม่มีต้นเทพฝูซางต้นที่สองอีกแล้ว”

เขากลับมาตอนนี้ เป็นการพิสูจน์อย่างไม่ต้องสงสัยว่าพวกสัตว์ประหลาดเฒ่าของเผ่าอีกาทองอย่างอูหลิงจื่อ เกรงว่าคงรอดยากแล้ว

“เจ้าไม่แค้นมันรึ” หลินสวินผิดคาดอยู่บ้าง

เด็กหนุ่มผมเทาแววตาซับซ้อน “ต้นไม้นี้ฟ้าดินให้กำเนิดและหล่อเลี้ยง เดิมก็ไร้ดีชั่ว ก็แค่ถูกเผ่าอีกาทองใช้ประโยชน์และควบคุมมาตลอดเท่านั้น แน่นอนว่าข้าไม่มีทางอาฆาตมัน”

หลินสวินพยักหน้าเข้าใจแล้ว

เด็กหนุ่มผมเทากล่าวต่อ “ต้นไม้นี้เป็นหนึ่งในสี่ไม้เทพบรรพกาล นายท่านน้อยรู้หรือไม่ว่าทำไมปีนั้นยามมหาจักรพรรดิอีกามารมุ่งหน้าไปทางเดินโบราณฟ้าดารา ถึงยืนกรานจะนำจิตวิญญาณของต้นไม้นี้ไปด้วย”

……………………..