เผยเฉียนรีบหันไปมองเจียงซ่างเจินทันใด ฝ่ายหลังยิ้มส่ายหน้า แสดงให้รู้ว่าไม่เป็นไร อาจารย์พ่อของเจ้าทนไหว
เรือเมฆาข้ามฟากที่เริ่มเดินทางจากท่าเรือตระกูลเซียนของนครมังกรเฒ่าซึ่งสร้างขึ้นมาใหม่ลำนี้ หลังจากได้รับเอกสารผ่านด่านบนภูเขาที่ทางกรมพิธีการต้าหลีเป็นผู้แจกจ่ายให้ ก็ได้เดินทางขึ้นเหนือไปตลอดทาง ระหว่างนั้นไม่เคยมีการหยุดพัก กระทั่งมาถึงที่แห่งนี้ ตอนนี้ได้จอดอยู่ในอาณาเขตแห่งหนึ่งทางทิศใต้ของขุนเขากลาง สถานที่แห่งนี้ห่างจากภูเขาทายาทของขุนเขากลางไม่ไกลนัก ดังนั้นตำแหน่งจึงถือว่าไม่ไกลจากสองแคว้นที่เป็นเพื่อนบ้านกันอย่างแคว้นไฉ่อีและแคว้นซูสุ่ยในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปสักเท่าไร
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลับตาทำสมาธิอยู่ชั่วขณะ เมื่อลืมตาขึ้นก็พูดกับเผยเฉียนว่า “รอเมื่อเจ้าได้เลื่อนเป็นขอบเขตปลายทาง อาจารย์พ่อจะถ่ายทอดคาถาสามภูเขาบทนี้ให้แก่เจ้า”
ตอนนั้นที่อยู่ในจวนเหยา ชุยตงซานแสร้งทำท่าทาง ขาดก็แค่ว่าไม่ได้อาบน้ำผลัดเสื้อผ้าใหม่เท่านั้น แต่กลับรมควันธูปล้างมือให้สะอาดก่อนจริง เพื่อ ‘อัญเชิญ’ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้อาจารย์ออกมาอย่างนอบน้อม
สุดท้ายเฉินผิงอันขอความรู้เรื่องยันต์บทหนึ่งจากชุยตงซาน ตำแหน่งของยันต์นี้อยู่ในหน้าที่สามหากนับจากด้านหลังของตำรา มีชื่อว่ายันต์สามภูเขา (ซานซาน) เมื่อในใจของผู้ฝึกตนเกิดความคิด แค่จดจำภูเขาสามลูกที่เคยเดินทางผ่านได้ แล้วใช้คาถาจินตนาการสร้างภาพมายาของภูเขาขึ้นมาสามลูก ผู้ฝึกตนก็จะสามารถเดินทางไปเยือนได้อย่างว่องไว ลักษณะพิเศษที่ใหญ่ที่สุดของยันต์นี้ก็คือร่างกายของผู้ที่ถือยันต์จะต้องอดทนรับการชำระล้างจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาให้ได้ หากร่างกายไม่แข็งแกร่งพอ จิตวิญญาณก็จะถูกขัดเกลาให้สึกกร่อน อายุขัยถูกเผาผลาญ หากขอบเขตไม่สูงพอแล้วยังฝืนเดินทางไกล เลือดเนื้อจะหลอมละลาย เหลือเพียงโครงกระดูก กลายไปเป็นผีเร่ร่อนในภาพมายาของภูเขาลูกหนึ่ง อีกทั้งเพราะว่าถูกกักตัวอยู่ในท่าเรือบางแห่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลา ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะช่วยเหลือได้
เว้นเสียจากว่ามีอริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นยินดีเผาผลาญคุณความชอบและตบะของตัวเอง แล้วยังต้องมีร่องรอยให้ตามหา ยกตัวอย่างเช่นรู้สถานที่ที่แน่ชัดของสามภูเขา หรือไม่ก็อาศัยตะเกียงแห่งชะตาชีวิตดวงหนึ่งที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ ถึงจะสามารถงมเอาเศษซากดวงวิญญาณออกมาจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้
ดังนั้นตรงตำแหน่งว่างโล่งที่อยู่ด้านข้างยันต์ประเภทนี้ หลี่ซีเซิ่งจึงได้ใช้อักษรสีชาดอธิบายไว้อย่างละเอียดว่า หากไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน ก็ห้ามใช้ยันต์นี้ง่ายๆ เด็ดขาด ผู้ฝึกกระบี่เซียนเหรินใช้ยันต์นี้สามครั้งจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตวิญญาณ แต่หากใช้บ่อยเกินไปจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี สามครั้งดีที่สุด ห้ามมากเกินไปกว่านั้น ห้ามข้ามทวีปง่ายๆ หลังจากนั้นถ้าถือยันต์แผ่นนี้เดินทางไกลก็จะแค่สูญเสียโชควาสนาไปอย่างเปล่าๆ เท่านั้น แต่หากใช้ยันต์นี้มากเกินไป ทุกครั้งที่ต้องเข้าใกล้ภูเขาจะต้องเจอกับหายนะมากมาย
ยันต์นี้นอกจากธรณีประตูในการโคจรยันต์จะสูงอย่างมากแล้ว สำหรับวัสดุในการเขียนยันต์กลับกลายเป็นว่ามีข้อเรียกร้องไม่สูงมากนัก การ ‘มอบของขวัญส่งคืนพระองค์ท่าน’ เพียงหนึ่งเดียวก็คือจำเป็นต้องจุดธูปคารวะท่านอาจารย์ซานซานจิ่วโหวบนภูเขาทั้งสามลูกให้ครบ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มนี้ ยิ่งไปถึงช่วงท้าย คำอธิบายของหลี่ซีเซิ่งก็ยิ่งมีมาก แก่นของวิชาคาถา ข้อห้ามของขุนเขาสายน้ำ ล้วนอธิบายไว้อย่างชัดเจนกระจ่างแจ้ง ตอนนั้นหลังจากที่ชุยตงซานแปะยันต์สามแผ่นไว้ที่จวนเหยาสำเร็จก็เอ่ยเตือนขึ้นมาสองคำคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนาว่า หน้าหนังสือของมหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาดเล่มนี้ เดิมทีก็คือกระดาษยันต์ที่ดีเยี่ยม
ผลคือถูกอาจารย์ดุสั่งสอนไปรอบหนึ่ง ชุยตงซานจึงถอยไปเลือกในลำดับรอง บอกว่าอาจารย์สามารถหลอมตัวอักษรได้ คำว่าหลอมตัวอักษร แน่นอนว่าเป็นลายมือของบัณฑิตหลี่ซีเซิ่งที่เขียนอธิบายด้วยตัวเอง ตอนที่ชุยตงซานเปิดหน้าหนังสือดังพั่บๆๆ เขาได้ชำเลืองตามองผ่านคร่าวๆ ตัวอักษรประมาณหนึ่งพันสองร้อยกว่าตัว มากพอจะประคับประคองงานพิธีกรรมขับไล่เสนียดชั่วร้ายของลัทธิเต๋าที่ตั้งวางองค์เทพหนึ่งพันสองร้อยองค์ครั้งหนึ่งได้แล้ว เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ เรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ในอนาคตต้องถามหลี่ซีเซิ่งก่อนค่อยว่ากัน
หากหลอมตัวอักษรหนึ่งพันสองร้อยตัวก็เพื่อให้ภูเขาลั่วพั่วมีค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาเพิ่มมาหนึ่งแห่ง เฉินผิงอันคงไม่ลังเลใดๆ แต่เฉินผิงอันมีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือหวังว่าวันหน้าเมื่อภูเขาไท่ผิงถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งจะได้มีค่ายกลขุนเขาสายน้ำที่เป็นเช่นนี้ และเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันไปถึงการสืบทอดควันธูปของลัทธิเต๋า เทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิง นักพรตหญิงหวงถิง หลี่ซีเซิ่ง ส่วนเฉินผิงอันนั้นก็ทำแค่เรื่องที่คล้ายกับการสร้างสะพานสานความสัมพันธ์เท่านั้น ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจำเป็นต้องถามหลี่ซีเซิ่งก่อน
ดวงตาเผยเฉียนเป็นประกายวาบ พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องรีบทำเวลาให้เร็วสักหน่อย จะได้ไม่ต้องให้อาจารย์พ่อรอนาน”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ช่างเถิด ไม่รู้จะคุยต่อยังไงแล้ว
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวทั่วไป คิดอยากจะฝ่าทะลุขอบเขตจากยอดเขาเลื่อนไปเป็นขอบเขตปลายทาง เป็นเรื่องที่แค่ทำเวลาก็ได้ผลแล้วอย่างนั้นหรือ? ก็เหมือนอย่างตน เตร็ดเตร่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาตั้งหลายปี ก็ยังคงไม่คิดว่าชีวิตนี้ตัวเองจะสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตสิบได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ? และในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่ได้เลื่อนสู่ขอบเขตเก้าแต่เนิ่นๆ จนไปถึงตอนที่ออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้เหยียบลงบนพื้นของใบถงทวีปอย่างมั่นคง ถึงได้อาศัยชื่อจริงที่แบกรับไว้มาบังเอิญโชคดีเลื่อนเป็นขอบเขตสิบ ระหว่างนั้นต้องใช้เวลานานหลายปี และนี่ก็เป็นครั้งที่เฉินผิงอันหยุดชะงักอยู่ในขอบเขตหนึ่งบนวิถีวรยุทธนานที่สุดแล้ว
แรกเริ่มสุดตอนที่อยู่ยอดเขาอวิ๋นจี๋ ชุยตงซานเคยได้พูดคุยกับอาจารย์อย่างเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวครั้งหนึ่ง
‘อาจารย์ ศิษย์พี่หญิงใหญ่สร้างกระบวนท่าหมัดขึ้นมาเป็นของตัวเองแล้ว อีกทั้งยังมีพลังอำนาจอย่างมาก และชื่อเสียงก็โด่งดังยิ่งกว่า’
‘เป็นเรื่องดีนี่’
‘สามกระบวนท่า บรรลุกระบวนท่าแรกตอนอยู่ศาลเหลยกงของธวัลทวีป เนื่องจากใช้ขอบเขตแปดถามหมัดต่อหลิ่วสุ้ยอวี๋ขอบเขตเก้า มีความกล้าหาญและเด็ดขาดอย่างยิ่ง กระบวนท่าที่สองใช้ในสนามรบบริเวณใกล้เคียงกับเมืองหลวงแห่งที่สองของแจกันสมบัติทวีป พลังพิฆาตสูงมาก หนึ่งหมัดต่อยให้ผู้ฝึกตนสำนักการทหารก่อกำเนิดคนหนึ่งตาย หลังจากถามหมัดกับเฉาสือแล้วก็บรรลุอีกกระบวนท่าหนึ่ง สัจธรรมแห่งหมัดสูงส่งยิ่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่คนบนภูเขาให้การยอมรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนและเซียนดินกลุ่มของเกราะทองทวีปที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับศิษย์พี่หญิงใหญ่ ทุกวันนี้แต่ละคนต่างก็ทวงความไม่เป็นธรรมแทนศิษย์พี่หญิงใหญ่ บอกว่าเฉาสือก็แค่เรียนวิชาหมัดเร็วกว่า อายุมากกว่าเท่านั้น ถึงได้ยึดครองความได้เปรียบใหญ่เทียมฟ้า ไม่อย่างนั้นหากแม่นางเจิ้งของพวกเราถามหมัดต่อเฉาสือ ก็คงต้องเปลี่ยนคนที่ชนะสี่ครั้งรวดถึงจะถูก…’
‘ดีมาก…’
คนนอกยากที่จะจินตนาการได้ว่า ‘เจิ้งเฉียน’ เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของใครบางคน แต่แท้จริงแล้วเฉินผิงอันที่เป็นอาจารย์กลับไม่เคยสอนวิชาหมัดให้เผยเฉียนอย่างจริงจังมาก่อน
ไม่เคยชี้แนะกระบวนท่าหมัด ท่ายืน สัจธรรมหมัดให้กับลูกศิษย์ดีๆ อย่างจริงจังตั้งใจสักครั้งแม้แต่ครั้งเดียว
เจียงซ่างเจินเอ่ยเบาๆ ว่า “ทั้งหมดมีโอกาสแค่สามครั้งเท่านั้น หาได้ยากจริงๆ ครั้งนี้เจ้าขุนเขารีบร้อนไปสักหน่อย ไม่ว่าจะอย่างไร เหลืออีกสองครั้ง ทางที่ดีที่สุดควรเอามาใช้หนีเอาชีวิตรอด”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจึงไม่รู้ถึงความลี้ลับที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ รอให้ขุนเขาสายน้ำในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของข้ามั่นคงดีแล้วค่อยมาใช้ยันต์นี้อีกครั้ง นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าย่ำยีวัตถุดิบแห่งสวรรค์อย่างแท้จริง เพราะผลประโยชน์ที่ได้จะลดน้อยลง แต่ว่าเหลืออยู่อีกแค่สองครั้งก็ควรจะต้องทะนุถนอมแล้วทะนุถนอมอีกจริงๆ”
ยันต์สามภูเขา ชุยตงซานย่อมเรียนรู้จนเป็นแล้ว เฉินผิงอันยังถ่ายทอดให้กับเจียงซ่างเจินอีกด้วย เจียงซ่างเจินที่เป็นขอบเขตเซ๊ยนเหรินทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่เมื่อเรียนเป็นแล้วจึงเอาออกมาใช้ทันที ตอนที่อยู่ในตำหนักพยัคฆ์เขียวเขาจึงวาดยันต์สีทองขึ้นมาสามแผ่น ไปเยือนภูเขาไท่ผิง ยอดเขาจ้าวผิงและยอดเขาเทียนแจว๋มาอย่างละรอบ สีหน้าสดชื่นปลอดโปร่ง บอกว่านึกไม่ถึงว่าใต้หล้าจะมียันต์ที่สามารถ ‘บำรุงจิตวิญญาณ’ ได้เช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องประหลาดเสียจริง มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยายได้ ตอนที่อยู่ยอดเขาเทียนแจว๋ เทพเซียนผู้เฒ่าลู่ที่สวมชุดแพรกลับคืนสู่บ้านเกิดได้เจอกับ ‘สหายรักในอดีต’ อย่างคุณชายเฉินและอดีตเจ้าสำนักเจียงอีกครั้ง น้ำตาร้อนๆ ก็เอ่อคลอดวงตา เป็นความรู้สึกที่กลั่นออกมาจากใจจริง ลู่ยงทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง บอกว่าสามารถมีชีวิตรอดมาได้ ทั้งยังได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็ไม่มีหลุมอุปสรรคใดๆ ในใต้หล้านี้ที่ข้ามผ่านไปไม่ได้อีกแล้ว
ตำหนักพยัคฆ์เขียวของยอดเขาเทียนแจว๋ถือเป็นซากปรักครึ่งหนึ่ง หลงเหลือเพียงโครงร่างที่ว่างเปล่า ทรัพย์สมบัติที่มีค่าล้วนถูกโยกย้ายไปจนเกลี้ยงแล้ว ยังดีที่ครานั้นลู่ยงหนีภัยไปที่แจกันสมบัติทวีปได้รับโชคหลังเจอกับเคราะห์ร้าย ไม่ว่าอะไรก็ล้วนช่วงชิงมาได้ ชื่อเสียงบนภูเขา เงินเทพเซียนที่จับต้องได้จริง คุณความชอบที่ถูกบันทึกอยู่ในศาลบุ๋น ความสัมพันธ์ควันธูปกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลี สามารถพูดได้ว่าก็เพราะว่าเทพเซียนผู้เฒ่าลู่กลับมาบ้านช้าไปเท่านั้น ไม่อย่างนั้นงานชุมนุมใบท้อที่ราชวงศ์ต้าเฉวียนครั้งนั้น สรุปแล้วใครจะเป็นราชันแห่งภูเขา ก็บอกได้ยากจริงๆ แล้ว
ตอนนั้นลู่ยงได้ยินว่าคุณชายเฉินต้องการยานั่งลืมตนหนึ่งเตา ให้ช่วยนำไปส่งให้กับเย่อวิ๋นอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซาน เทพเซียนผู้เฒ่าก็ตบอกรับรองทันที บอกว่านี่เป็นเรื่องใหญ่เท่าก้นเท่านั้น อันที่จริงแค่ส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวก็ได้แล้ว รอให้เขาพลิกเปิดปฏิทินเหลืองเลือกวันฤกษ์งามยามดี ก็สามารถเปิดเตาหลอมยาได้ทันที ปราณวิญญาณภูเขาสายน้ำที่มีเฉพาะบนยอดเขาชิงจิ้งยังพอมีอยู่บ้าง ตอนนั้นเจียงซ่างเจินนั่งไขว่ห้างดื่มชา บอกว่าพี่ใหญ่ลู่อย่าลืมนะว่าคือหนึ่งเตา เทพเซียนผู้เฒ่าลู่กะพริบตาปริบๆ บ่นขึ้นมาทันทีว่า อะไรนะ? ยานั่งลืมตนแค่เตาเดียว? แบบนั้นจะไม่เข้าท่าสักเท่าไร เรื่องดีต้องมาเป็นคู่ ไม่หลอมสองเตา ทั้งเส้นเอ็นและกระดูกล้วนไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย ในเมื่อหวงอีอวิ๋นคือสหายของคุณชายเฉินกับเจ้าสำนักเจียง ถ้าอย่างนั้นก็คือแขกผู้ทรงเกียรติอันดับหนึ่งของตำหนักพยัคฆ์เขียวพวกเราแล้ว วันหน้ายาทั้งสองเตาข้าจะเอาไปมอบให้หวงอีอวิ๋นด้วยตัวเอง จะไม่ปล่อยให้นางต้องเดินทางมาเสียเที่ยวเด็ดขาด ภูเขาผูซานจะจ่ายเงิน? ล้อเล่นอะไรกัน ไม่เห็นข้าลู่ยงเป็นสหายของคุณชายเฉินและเจ้าสำนักเจียงเกินไปแล้วจริงๆ!
ระหว่างนั้นเฉินผิงอันได้หยิบตราประทับชิ้นที่เตรียมมาไว้นานแล้วออกมามอบให้เป็นของขวัญขอบคุณแก่เทพเซียนผู้เฒ่า
หลังจากลู่ยงใช้สองมือรับตราประทับมา ฝ่ามือข้างหนึ่งถือประคองตราประทับ สองนิ้วของมืออีกข้างบิดหมุนมันเบาๆ แล้วพูดทอดถอนใจไม่หยุด ‘ของขวัญหนักเกินไป น้ำใจก็หนักยิ่งกว่า’
จากนั้นก็หันมาพูดบ่นกับเฉินผิงอันว่า ‘คุณชายเฉิน คราวหน้าที่มาเยือนยอดเขาเทียนแจว๋อย่าทำแบบนี้อีกเชียวนะ ของขวัญก็ดีอยู่หรอก แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เหมือนว่ามาเป็นแขกจริงๆ แล้ว เห็นๆ กันอยู่ว่าคุณชายเฉินกลับมาภูเขาบ้านตัวเองต่างหาก’
เผยเฉียนที่นั่งอยู่ด้านข้างรับฟังด้วยอาการอึ้งตะลึง เทพเซียนผู้เฒ่าลู่คุยเก่งจริงๆ ไม่ต่างจากในปีนั้น มาดสง่างามยังคงเดิม
ถึงท้ายที่สุดลู่ยงที่รู้สึกตัวช้าถึงได้หันไปมองหญิงสาวที่มัดผมเป็นมวยกลมกลางศีรษะ ยังคงพอจะมองเห็นคิ้วตาของนางยามเด็กได้อยู่หลายส่วน
เทพเซียนผู้เฒ่าลู่จดจำได้อย่างชัดเจน ปีนั้นข้างกายเฉินผิงอันมีแม่นางน้อยถ่านดำคนหนึ่งติดตามมาด้วย เวลานั้นลู่ยงก็รู้สึกว่าแปลกประหลาดมากแล้ว ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของยอดเขาเทียนแจว๋ที่แบ่งแยกบนภูเขากับล่างภูเขาออกจากกันคือทะเลเมฆผืนหนึ่ง ยามที่เดินขึ้นสู่ที่สูง เมื่อร่างมาอยู่ด้านใน เว้นเสียจากว่าเป็นก่อกำเนิดอย่างลู่ยงแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นโอสถทองก็ยังต้องรู้สึกเหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก มองไม่เห็นทัศนียภาพใดๆ ชัดเจนทั้งนั้น ทว่าแม่นางน้อยถ่านดำที่ถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ตลอดเวลาผู้นั้น ยามที่เดินขึ้นไปบนขั้นบันไดแล้วใช้ไม้เท้าเดินป่าเคาะขั้นบันไดดังป้อกๆ กลับคอยกวาดตามองไปรอบด้านตลอดเวลา หรือไม่ก็แอบมองประเมินลู่ยง แต่ทุกครั้งที่ลู่ยงหันหน้าไปหรือไม่ก็เตรียมจะหันไปมอง แม่นางน้อยก็จะรีบหันกลับไปทันที เวลานั้นลู่ยงก็มั่นใจแล้วว่าแม่นางน้อยแปลกประหลาดผู้นั้นต้องเป็นต้นกล้าที่ดีในการฝึกตนต้นหนึ่งอย่างแน่นอน
ปัญหาไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ลู่ยงยิ่งมองนางก็ยิ่งรู้สึกคุ้นหน้า เพียงแต่ไม่กล้าเชื่ออีกว่านางจะเป็นปรมาจารย์หญิงที่เล่าลือในตำนานอย่างเจิ้งเฉียนผู้นั้น ชื่อล้วนมีคำว่าเฉียน แต่ถึงอย่างไรก็คนละแซ่ ดังนั้นลู่ยงจึงไม่กล้าแน่ใจ แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าได้โดยที่อายุแค่สามสิบกว่าปีเท่านั้นน่ะหรือ? ปรมาจารย์ใหญ่หญิงที่เคยถามหมัดต่อเฉาสือติดต่อกันถึงสี่ครั้งที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง? ลู่ยงไม่กล้าเชื่อจริงๆ น่าเสียดายที่ปีนั้นอยู่ในแจกันสมบัติทวีป ไม่ว่าจะเป็นนครมังกรเฒ่าหรือเมืองหลวงแห่งที่สองที่อยู่ภาคกลาง ลู่ยงก็ล้วนไม่จำเป็นต้องลงสนามรบเข่นฆ่ากับศัตรู แค่ต้องตั้งใจหลอมโอสถอยู่ด้านหลังของสนามรบเท่านั้น ดังนั้นจึงได้แต่มองเห็นแผ่นหลังของเจิ้งเฉียนที่ทะยานลมมุ่งหน้าเข้าสู่สนามรบไกลๆ แวบเดียวเท่านั้น ตอนนั้นเขาก็รู้สึกแล้วว่าใบหน้าด้านข้างของนางคุ้นตาอย่างมาก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว ‘พี่ใหญ่ลู่ บอกตามตรง ลูกศิษย์ของข้าคนนี้ ทุกครั้งที่ออกนอกบ้านล้วนใช้นามแฝงว่าเจิ้งเฉียน’
ลู่ยงรีบลุกขึ้นยืน ถึงกับประสานมือคารวะตามขนบของลัทธิเต๋าด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจังยิ่ง ‘ตาถั่วแล้ว เป็นผินเต้าที่ตาถั่ว คารวะเจิ้ง…ปรมาจารย์ใหญ่เผย’
เผยเฉียนจึงได้แต่ลุกขึ้นยืนกุมหมัดคารวะกลับคืน ‘เทพเซียนผู้เฒ่าลู่เกรงใจแล้ว’
ตอนนั้นเจียงซ่างเจินมองเจ้าขุนเขาหนุ่มที่หลังจากเปิดเผยความลับสวรรค์แล้วใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นาทีนั้นเฉินผิงอันเหมือนผู้อาวุโสในตระกูลปัญญาชนคนหนึ่งที่พอการสอบเคอจวี่ปิดฉากลง ได้กลับมาพบกับสหายเก่าบางคนในวงการขุนนางอีกครั้ง แม้จะข่มกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ แต่กลับข่มกลั้นคำพูดไว้ไม่อยู่ ดังนั้นจึงเอ่ยไปประโยคหนึ่งว่า ‘ผู้เยาว์ในตระกูลเกเรดื้อรั้น ถึงได้สอบติดกลางกระดาน อนาคตธรรมดาไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายเลยจริงๆ …’
และเรื่องพวกนี้
เฉินผิงอันที่เป็นอาจารย์ก็ดี เจียงซ่างเจินที่เป็นคนนอกก็ช่าง ตอนนี้จะพูดกับเผยเฉียนหรือไม่ อันที่จริงล้วนไม่สำคัญ เผยเฉียนต้องฟังเข้าใจอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าต่างก็สู้ให้นางคิดได้เองในอนาคตไม่ได้
เพราะต่อจากนี้ภูเขาลั่วพั่วและสำนักเบื้องล่างก็ถึงคราวที่เด็กๆ กลุ่มใหญ่จะได้เติบโต และพวกคนรุ่นเยาว์ส่วนหนึ่งจะได้ลุกผงาดอย่างรวดเร็วแล้ว
ก่อนจะออกมาจากยอดเขาเทียนแจว๋ เจียงซ่างเจินลากเอาเทพเซียนผู้เฒ่าลู่ที่มีท่าทางกระวนกระวายไม่เป็นสุขมาพูดคุยเพียงลำพังสองสามประโยค ประโยคหนึ่งในนั้นก็คือ ‘ใบถงทวีปมีลู่ยง ก็เท่ากับว่าทำให้ในใจของผู้ฝึกตนใต้หล้าไพศาลมีสำนักที่ตั้งตระหง่านไม่ล้มลงแห่งหนึ่งเพิ่มเข้ามา’ มองดูเหมือนเจียงซ่างเจินพูดประโยคเกรงใจตามมารยาท ทว่ากลับทำให้ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่เกือบจะต้องไปตายต่างบ้านต่างเมืองหลั่งน้ำตา ราวกับตอนที่ได้ดื่มเหล้ารสร้อนแรงเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม
ตามข้อตกลง เรือเมฆามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปช้าๆ เจียงซ่างเจินมอบตราประทับที่เป็นใจกลางค่ายกลใหญ่ของเรือข้ามฟากให้กับเฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินก็อาศัยสิ่งนี้ถึงเร่งรุดเดินทางมาถึงนครเซิ่นจิ่งได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าการกระทำเช่นนี้ค่อนข้างจะเปลืองเงิน จำเป็นต้องเผาผลาญเงินฝนธัญพืชไปก้อนใหญ่ เฉินผิงอันจึงไม่คิดจะรับเอาไว้ ทว่าเจียงซ่างเจินกลับโยนมันทิ้งออกไปนอกเรืออย่างไม่ใส่ใจ เฉินผิงอันจึงบังคับมันมาอยู่ในมือ จากนั้นจึงให้เจียงซ่างเจินกับเผยเฉียนช่วยปกป้องเด็กทุกคนที่อยู่ในเรือ ฝ่ายเฉินผิงอันนั้นสวมงอบ สะพายกระบี่ไว้ข้างหลัง ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วทะยานลมไปยังแคว้นไฉ่อีเพียงลำพัง
หวนกลับคืนมายังสถานที่เดิม
ครั้งแรกเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายอึมครึมน่าสะพรึงกลัว ราวกับเป็นดินแดนผีที่ร้างผู้คน ครั้งที่สองเปลี่ยนมาเป็นขุนเขาเขียวน้ำใส ไม่เหลือกลิ่นอายชั่วร้ายอีกแม้แต่น้อย ครั้งนี้ที่มาเยือน ปราณวิญญาณแห่งขุนเขาสายน้ำคล้ายจะเบาบางลงไปมาก โชคดีที่เรือนเก่าแก่ที่คุ้นเคยยังคงอยู่ดังเดิม ยังคงมีสิงโตหินสองตัวเฝ้าอยู่หน้าประตูใหญ่ ยังคงแขวนกลอนคู่ปีใหม่ แปะภาพเทพทวารบาลสีสันสดใสสองแผ่นอยู่เหมือนเดิม
——