บทที่ 762.3 ยุทธภพที่แก่แล้ว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ยามสนธยาที่ดวงตะวันกำลังตกดิน เฉินผิงอันจับประคองงอบ ยกมือขึ้น หยุดค้างอยู่เนิ่นนานกว่าจะเคาะประตูเบาๆ

คนที่มาเปิดประตูไม่ใช่หญิงชราที่เขาคุ้นเคย แต่เป็นหยางหว่าง ข้างกายมีภรรยาติดตามมาด้วย

เฉินผิงอันยกมือกดงอบลง

หยางหว่างกำลังจะเอ่ยพูด ภรรยากลับกำชายแขนเสื้อของเขาไว้แน่น หยางหว่างจึงไม่เอ่ยอะไร

เฉินผิงอันปลดงอบลงอย่างว่องไว ยิ้มเอ่ยว่า “พี่ใหญ่หยาง พี่สะใภ้ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

เข้ามาในบ้าน เฉินผิงอันปิดประตูลงเองอย่างเป็นธรรมชาติ พอหมุนตัวกลับมาก็เอ่ยเบาๆ ว่า “หลายปีมานี้ออกเดินทางไกล ไกลมากๆ เพิ่งจะกลับมา”

หยางหว่างถอนหายใจ พยักหน้ารับ “มิน่าเล่า”

อิงอิงภรรยาผู้มีเรือนกายเป็นภูตผีกระทืบหลังเท้าของสามีที่เปิดปากไม่สู้หุบปากหนักๆ หนึ่งที

อิงอิงยิ้มกล่าว “ข้าจะไปเอาเหล้า พวกท่านดื่มกันไปก่อน จากนั้นข้าจะช่วยไปทำกับแกล้มให้พวกท่านสักสองสามจาน”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “หากไม่ถือสา เดี๋ยวข้าทำกับข้าวเองก็ได้ ฝีมือทำอาหารนับว่ายังพอใช้ได้”

หยางหว่างพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ไหนเลยจะมีเหตุผลเช่นนี้ ไม่เชื่อฝีมือการทำอาหารของพี่สะใภ้เจ้าหรือ?”

อิงอิงแอบเหยียบเท้าสามี คราวนี้ยังบิดปลายเท้าหนักๆ ด้วยหนึ่งที หยางหว่างจึงรู้ว่าตัวเองพูดผิดอีกแล้ว

คนต่างถิ่นคนหนึ่ง ผีชางตนหนึ่งและผีสาวอีกตนหนึ่ง เจ้าบ้านและแขกสามคนไปที่ห้องครัวด้วยกัน เฉินผิงอันเริ่มก่อไฟอย่างคุ้นเคย หยิบม้านั่งตัวเล็กมาอย่างคุ้นชิน ใช้กระบอกเป่าไฟด้วยความเคยคุ้น อิงอิงไปหยิบเหล้าที่ตัวเองหมักเองนานปีแล้วปีเล่ามาสองสามกา หยางหว่างไม่สะดวกจะดื่มเองก่อน ด้วยเพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็เลยยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัว หลังจากโดนภรรยาเหยียบเท้าไปสองทีก็ไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากพูดอะไรอีก

เฉินผิงอันนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็ก ในมือถือกระบอกเป่าไฟ หันหน้ามาถามว่า “พี่ใหญ่หยาง หมัวมัวผู้เฒ่าจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?”

หยางหว่างเอ่ย “หลายปีแล้ว แต่ก็ยังดี นอกจากเอาแต่พะวงถึงว่าทำไมเจ้าถึงไม่มาหาสักทีก็ไม่มีเรื่องอะไรให้เป็นห่วงอีก ก่อนจะจากไปยังกำชับข้ากับอิงอิงว่าอย่าลืมหมักเหล้าไว้ทุกปี กลัวว่าวันใดเจ้ามาหาแล้วจะมีไม่พอดื่ม”

เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นตอนกลับข้าจะเอาเหล้ากลับไปมากๆ หน่อย”

หยางหว่างลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “อย่าคิดมาก ทุกอย่างล้วนยังดี”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ แล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน เอ่ยขออภัยว่า “ให้พี่สะใภ้ทำกับข้าวดีกว่า ข้าจะไปจุดธูปที่หลุมศพของหมัวมัวผู้เฒ่าสักหน่อย”

หลุมศพเล็กอยู่ห่างจากเรือนไม่ไกลและไม่ใกล้ ปีนั้นหญิงชราเคยบอกว่าอยู่ห่างไกลเกินไปก็อาลัยอาวรณ์ อยู่ใกล้เกินไปก็จะเป็นการละเมิดกฎ

ตรงหลุมศพที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวแห่งนั้น เฉินผิงอันปักธูปสามดอก กระทั่งวันนี้ได้มองเห็นป้ายหน้าหลุมศพถึงได้รู้ว่าชื่อของหมัวมัวผู้เฒ่าไม่ดีและไม่ร้าย

เดิมทีหยางหว่างยังเป็นห่วงเฉินผิงอัน ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็เหมือนอย่างที่หยางหว่างพูดเองก่อนหน้านี้ ทุกอย่างล้วนยังดี

กลับไปถึงบ้าน บนโต๊ะยังคงเป็นถ้วยขาว ไม่ต้องมีจอกเหล้า เฉินผิงอันดื่มเหล้าไม่เร็วเหมือนเดิม หยางหว่างเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบยุให้ใครดื่มเหล้าหรือชอบดื่มคารวะผู้อื่น แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ดื่มกันไปไม่น้อย อิงอิงที่ปกติไม่ดื่มเหล้าก็นั่งอยู่ด้านข้าง ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนพวกเขาไปหนึ่งชาม

เฉินผิงอันจิบเหล้าคำเล็กพลางพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับหยางหว่างไปด้วย ถามถึงเรื่องของเจ้าเมืองหลิวและหลิวเกาหวา ที่แท้ใต้เท้าหลิวที่รับหน้าที่เป็นผู้ว่าชิงโจวก็ก้าวเดินบนเส้นทางขุนนางได้อย่างราบรื่น ก่อนหน้านี้ยังได้เป็นถึงเจ้ากรมครัวเรือนของแคว้นไฉ่อี ทุกวันนี้ได้ลาออกจากตำแหน่งกลับคืนบ้านเกิดแล้ว หลิวเกาหวาเจ้าหมอนี่เองก็ตรากตรำจนสอบติดเป็นถงจิ้นซื่อ ทว่าภายหลังเส้นทางขุนนางไม่ราบรื่น จึงลาออกจากการเป็นขุนนางแล้วไปท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำเสียเลย รอกระทั่งเกิดสงคราม เขากลับอาศัยร่มเงาบรรพบุรุษเป็นฝ่ายไปรับหน้าที่ในกรมกลาโหมของแคว้นไฉ่อี ภายหลังก็ยิ่งรับหน้าที่ในที่ว่าการหกกรมของเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี ตำแหน่งขุนนางไม่ใหญ่ ทว่าหากอิงตามหลักทั่วไปแล้ว ขุนนางขั้นหกคนหนึ่งของราชวงศ์ต้าหลีก็เท่ากับเป็นขุนนางใหญ่ขั้นสามของแคว้นใต้อาณัติได้แล้ว เมื่อหลายปีก่อนเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิวคิดอยากจะให้หลิวเกาหวากลับมารับตำแหน่งในราชสำนักแคว้นไฉ่อีอยู่ตลอด ไปเป็นรองเจ้ากรมที่กรมครัวเรือนก่อน ไม่ต้องพูดถึงว่าจะตอบแทนบุญคุณมาตุภูมิราชสำนักบ้านเกิดอะไร จะดีจะชั่วก็ช่วงชิงชื่อเสียงอันดีในวงการขุนนางอย่างเช่นว่าหนึ่งตระกูลสองบิดาและบุตรต่างก็ได้เป็นเจ้ากรมมาได้ เพียงแต่ว่าให้ตายอย่างไรหลิวเกาหวาก็ไม่ยินดี นี่ทำให้เจ้ากรมผู้เฒ่าโมโหไม่น้อย ส่วนบุตรสาวคนโตของเจ้ากรมผู้เฒ่า แม่นางแก่ที่อายุไม่น้อยได้แต่งงานกับบัณฑิตยากจนคนหนึ่ง ส่วนหลิวเกาซินบุตรสาวคนเล็กก็โชคร้ายไปสักหน่อย ปีนั้นได้กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักโองการเทพ แต่น่าเสียดายที่สะพานแห่งความเป็นอมตะเกือบจะถูกสะบั้นขาดในสงครามใหญ่ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะมีคุณความชอบจึงรักษาสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดเอาไว้ได้ หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บแล้วก็ลงจากภูเขาเตรียมจะกลับมาบ้าน แม้ว่าขอบเขตจะถดถอยอย่างหนัก อายุน้อยๆ เส้นผมก็ขาวโพลนเต็มศีรษะแล้ว ทว่าก็ยังได้รับตำแหน่งผู้ถวายงานของแคว้นไฉ่อี…

เฉินผิงอันล้วนจดจำทุกอย่างเอาไว้

ไม่รู้ว่าเหตุใด พอพูดถึงหลิวเกาซิน ก็พูดไปถึงตัวของหยางหว่างเองที่มีชาติกำเนิดจากทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักโองการเทพเช่นกัน จากนั้นก็พูดคุยกันไปถึงรูปโฉมของหมัวมัวเฒ่าตอนที่ยังเป็นสาวแรกรุ่นโดยบังเอิญ

เฉินผิงอันคิดแล้วสีหน้าก็พลันกระจ่างแจ้ง คิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย

เหล้ามื้อนี้ดื่มกันไปถึงหนึ่งชั่วยามเต็ม เฉินผิงอันไม่เมา หยางหว่างที่อันที่จริงดื่มเหล้าไม่มากเท่าเขากลับเมาพับไปแล้ว

คืนนี้เฉินผิงอันไปพักอยู่ในห้องที่คุ้นเคยหลายชั่วยาม ครึ่งคืนหลังเขาลุกขึ้นจากเตียงสวมรองเท้า มานั่งลงบนราวระเบียงแห่งหนึ่ง มือสองข้างสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เหม่อมองหลังคาสี่เหลี่ยมเปิดอ้าอย่างเหม่อลอย ก้อนเมฆมารวมตัวกันแล้วแยกย้าย บางครั้งพอดึงสายตากลับไปมองทางระเบียงก็ราวกับว่าหากไม่ทันสังเกตก็จะมีตะเกียงดวงหนึ่งเคลื่อนหน้ามาหา

ยามเช้าตรู่เฉินผิงอันกลับมาที่ห้อง สะพายกระบี่สวมงอบ ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรจุเหล้าไว้จนเต็ม แล้วยังพกเหล้าไปอีกหลายกา

เฉินผิงอันบอกลากับสองสามีภรรยา บอกว่าจะไปเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ของแคว้นซูสุ่ยสักรอบ เชื้อเชิญพวกเขาสองสามีภรรยา บอกว่าต้องไปเป็นแขกที่บ้านเกิดของตนให้ได้ นั่นคือสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าภูเขาลั่วพั่วของหลงโจวต้าหลี

หยางหว่างตอบตกลง บอกว่าจะไปเยือนแน่นอน

บนโต๊ะสุราของเมื่อวาน ต่อให้หยางหว่างดื่มเหล้าไปมากแค่ไหนก็ไม่ได้เล่าว่าตนเองเคยไปเยือนสนามรบของนครมังกรเฒ่า เกือบจะจิตวิญญาณแหลกสลาย ก็เหมือนเฉินผิงอันที่ไม่เคยเอ่ยว่าตนเองอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เกือบจะไม่ได้กลับมาบ้าน

คาดว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้ ทุกๆ ครั้งที่ได้นั่งดื่มเหล้าด้วยกันทั้งสองฝ่ายถึงได้นัดหมายกันว่าจะมาดื่มเหล้าด้วยกันอีกครั้ง

เฉินผิงอันไม่ได้ตรงไปที่หมู่บ้านวารีกระบี่ เพราะตามคำกล่าวของปีนั้น ตลอดทั้งหมู่บ้านล้วนย้ายออกไปหมดแล้ว ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ระหว่างขุนเขาเขียวน้ำใสแห่งหนึ่งที่เป็นจุดเชื่อมต่อของแคว้นกู่อวี๋ ส่วนที่ตั้งเดิมของหมู่บ้านกลับเปลี่ยนมาเป็นจวนเทพภูเขาของแคว้นซูสุ่ยที่เป็นรองแค่ห้าขุนเขาเท่านั้น ส่วนหลิ่วเชี่ยนภรรยาของซ่งเฟิ่งซานก็ได้เลื่อนขั้นเป็นเหนียงเนียงเทพภูเขาของภูเขาลูกนั้น ตำแหน่งเทพไม่สูง แต่กลับถือว่าเป็นการได้รับแต่งตั้งอย่างถูกต้องของแคว้นซูสุ่ย ถูกรับเข้าไปอยู่ในทำเนียบขุนเขาสายน้ำของกรมพิธีการ อีกทั้งฟังจากคำกล่าวของหยางหว่าง หลายปีมานี้เวทกระบี่ของซ่งเฟิ่งซานพัฒนาไปเยอะมาก ได้กลายมาเป็นผู้นำยุทธภพที่เป็นรองแค่เซียนกระบี่ไผ่เขียวของของแคว้นซงซีเท่านั้น แต่ซ่งอวี่เซาประมุขผู้เฒ่าของหมู่บ้านกลับไม่สนใจเรื่องราวทางโลกมาหลายปีแล้ว เพราะทุกวันนี้ไม่มีหมู่บ้านวารีกระบี่อะไรอีกแล้ว หากหยางหว่างไม่มีความสัมพันธ์กับสำนักโองการเทพอยู่บ้างก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซ่งอวี่เซาไปหลบเร้นกายอยู่ที่ใด ยิ่งไม่รู้ว่าภรรยาของหลานชายอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยท่านนี้ถึงกับเปลี่ยนสถานะกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้าพิทักษ์ขุนเขาสายน้ำของพื้นที่แห่งหนึ่งแล้ว

ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังศาลเทพภูเขาที่อยู่ในอาณาเขตทางทิศเหนือของแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันได้ทะยานลมเร่งเดินทางไปยังพื้นที่แห่งหนึ่งก่อน เขาพลิ้วกายลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบ จับประคองงอบ คนชุดเขียวสะพายกระบี่เดินอยู่บนทางเส้นเล็กในป่าซึ่งเชื่อมต่อระหว่างแคว้นไฉ่อีกับแคว้นซูสุ่ย

เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าวัดโบราณที่แต่เดิมรกร้างกลับกลายมาเป็นศาลเทพภูเขาใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งแล้ว

เฉินผิงอันเก็บลมปราณ เดินเข้าไปในศาลเทพภูเขาที่ควันธูปธรรมดา ผู้มีจิตศรัทธาบางตาก็ให้รู้สึกจนใจเล็กน้อย เทวรูปร่างทองที่ตั้งบูชาไว้ในห้องโถงใหญ่มีหน้าตาคล้ายกับเหวยเว่ยผู้นั้นถึงเจ็ดแปดส่วน เพียงแต่ว่ารูปโฉมเหมือนสตรีที่โตเต็มวัยมากกว่าเดิมหลายส่วน ไม่มีกลิ่นอายของเด็กสาวอีกต่อไป ข้างกายของเหนียงเนียงเทพภูเขายังมีเทวรูปสาวใช้ที่ตัวเตี้ยกว่านางมากอยู่อีกสององค์ เฉินผิงอันเห็นแล้วก็ไม่รู้สึกแปลกหน้า เขาอดนวดคลึงหว่างคิ้วไม่ได้ มีชีวิตอยู่มาได้จนถึงขั้นนี้ เหวยเว่ยเองก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ ถือว่าได้เดินเหยียบย่างลงบนเส้นทางขุนนางอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีการเลื่อนขั้นในวงการขุนนางแล้ว

เฉินผิงอันขึ้นเขาลงห้วยมาแล้วนับไม่ถ้วน ทุกครั้งต้องคารวะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำอย่างนอบน้อม แต่เขาไม่ยินดีจะจุดธูปให้กับเหวยเว่ยที่ตัวเองรู้ไส้รู้พุงดีจริงๆ จึงคิดจะหมุนกายจากไป จากนั้นตรงดิ่งไปยังศาลเทพภูเขาอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศเหนือ

จำได้ว่าผีสาวเหวยเว่ยผู้นั้นเคยไม่พอใจวิถีทางโลกใบนี้ บอกว่าคนยากที่จะมีชีวิตอยู่ ผีก็เป็นได้ยาก ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ได้เป็นเหนียงเนียงเทพภูเขาที่ดื่มด่ำกับควันธูปในโลกมนุษย์แล้วจะรู้สึกสบายขึ้นบ้างหรือไม่

ภาพบรรยากาศของขุนเขาสายน้ำในหนึ่งพื้นที่ เที่ยงตรงหรือไม่ เฉินผิงอันยังพอจะมองออกบ้างคร่าวๆ ดังนั้นจึงไม่ได้มีความคิดที่จะ ‘อยู่พูดคุยเรื่องในวันวาน’

เพียงแต่แค่มองก็รู้แล้วว่าเหนียงเนียงเทพภูเขาท่านนี้ไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลกิจการ ควันธูปจึงบางเบา หากเป็นอย่างนี้ต่อไป คาดว่าคงต้องไปเชื่อบัญชีมาจากทางศาลเทพอภิบาลเมืองแล้ว

เฉินผิงอันไม่ได้เดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ เพียงแค่ยืนมองอยู่นอกธรณีประตู แล้วก็ไปจากศาลเทพภูเขาโดยตรง เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันเพิ่งจะเดินออกจากประตูใหญ่ของศาลก็มีริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก เทพหญิงที่มีเทวรูปตั้งวางในศาลองค์หนึ่งปรากฎตัวออกมาจากความว่างเปล่า นางมวยผมเป็นทรงสูง เรือนกายสูงเพรียว บนร่างสวมชุดสีสันสดใสงามหรูหราที่มีไอเมฆหมอกลอยอวล หากพวกบัณฑิตที่ผิดหวังทั้งหลายเดินทางผ่านมาเห็นเข้า คาดว่าคงจะบอกว่าตัวเองได้รับความโปรดปรานจากเทพหญิงอย่างที่กล่าวถึงในตำราแล้ว

เฉินผิงอันหยุดเดิน ยิ้มเอ่ยว่า “ยินดีด้วย”

สตรีที่เปลี่ยนจากผีในป่าเขามาเป็นสาวใช้ข้างกายเทพภูเขายิ่งมั่นใจในสถานะของอีกฝ่ายมากขึ้น ก็คือเซียนกระบี่หนุ่มที่ชอบใช้เหตุผลมากเป็นพิเศษคนนั้น นางรีบร้อนยอบตัวคารวะ เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “บ่าวคารวะเซียนกระบี่ นายท่านของข้ามีธุระต้องออกไปข้างนอก ไปเยือนที่ศาลเทพอภิบาลเมืองผู้ตรวจการ อีกไม่นานก็จะกลับมาแล้ว บ่าวกังวลว่าเซียนกระบี่จะต้องออกเดินทางต่อก็เลยตั้งใจมาพบท่านเป็นพิเศษ รบกวนเซียนกระบี่แล้ว หวังว่าท่านจะรอให้บ่าวส่งข่าวไปแจ้งเหนียงเนียงเทพภูเขา จะได้ให้นายท่านของข้ารีบเดินทางกลับมาที่ศาลเพื่อมาพบเซียนกระบี่เร็วหน่อย”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถิด ข้าแค่ผ่านทางมา คงไม่รบกวนการฝึกตนอย่างสงบของเทพภูเขาเหวยพวกเจ้าแล้ว”

คงเป็นเพราะเหวยเว่ยเอาแต่ยืมไม่เคยใช้คืนกับศาลเทพอภิบาลเมืองประจำอำเภอแน่นอน ทางศาลเทพอภิบาลเมืองประจำจังหวัดก็เคยขอร้องมาแล้วหลายครั้ง ต้องไปกินน้ำแกงประตูปิดอยู่ที่นั่นก็เลยได้แต่ต้องไปเยือนศาลเทพอภิบาลเมืองผู้ตรวจการของเขตการปกครองซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานปกครองแห่งโลกมืดแน่นอน

สตรีร่างสูงโปร่งพูดด้วยเสียงสะอื้น “หากผู้อาวุโสเซียนกระบี่จากไปทั้งอย่างนี้ ไม่ยอมอยู่ต่อ ข้ากับพี่สาวจะต้องถูกนายท่านด่าแน่นอน”

เฉินผิงอันถาม “เทวรูปที่หลงเหลืออยู่ในวัดก่อนหน้านี้จัดการอย่างไร?”

นางอึ้งตะลึง ก่อนจะเอ่ยว่า “เรียนเซียนกระบี่ เหนียงเนียงบ้านข้าเก็บรวบรวมไว้อย่างระมัดระวัง บอกว่าวันหน้าจะได้เอาไว้หลอก เอ่อ…เอาไปขอร้องผู้มีจิตศรัทธารายใหญ่ของศาลเทพภูเขาบางท่านให้จ่ายเงินซ่อมวัดขึ้นมาใหม่”

เฉินผิงอันพยักหน้า ยิ้มเอ่ย “เหนียงเนียงเทพวารีมีใจแล้ว”

หลอก? เฉินผิงอันแค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นนิสัยการกระทำของเหวยเว่ย ดังนั้นเรื่องที่รวบรวมเทวรูปแตกพังเอาไว้ เกินครึ่งคงจะเป็นเรื่องจริง

เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า เดินไปถึงม้านั่งหินตัวยาวใต้ต้นสนนอกอารามแล้วก็นั่งลง ปลดงอบไม้ไผ่ นั่งลงบนด้านหนึ่งของม้านั่งหินเขียวตัวยาว ยิ้มเอ่ยว่า “นั่งลงคุยกันสิ”

สตรีร่างสูงโปร่งรีบยอบกายคารวะทันใด “บ่าวมิกล้าเด็ดขาด เซียนกระบี่นั่งพักเถิดเจ้าค่ะ”

เรื่องความงามอะไรนั่น นายท่านของตนทยอยเสียเปรียบครั้งใหญ่ต่อเซียนกระบี่ท่านนี้มาแล้วสองครั้ง โชคดีที่ทุกๆ สามวันห้าวันเหนียงเนียงบ้านตนจะต้องเปิดบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นอ่านสักที ทุกครั้งที่อ่านล้วนมีความสุขยิ่งนัก แต่นางกับเทพหญิงอีกองค์หนึ่งที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลกลับไม่กล้าเหลือบตามองบันทึกเล่มนั้นแม้แต่แวบเดียว พวกนางสองคนมักจะรู้สึกเย็นสันหลังวาบอยู่เสมอ กลัวว่าหากไม่ระวังจะมีกระบี่บินเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากในหนังสือ แสงกระบี่เปล่งวาบหนึ่งที หัวก็จะกลิ้งหลุดออกจากบ่า

เฉินผิงอันไม่คิดจะรอให้เหวยเว่ยผู้นั้นกลับมาถึงศาลเทพภูเขา เขาคิดแล้วก็เอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าเห็นคนที่มาจุดธูปสองคนก่อนหน้านี้ เป็นปัญญาชนของแคว้นซูสุ่ยที่ผ่านทางมาทางนี้ พวกเจ้าอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างชายแดนของสองแคว้น ทางหลวงก็ตั้งอยู่ในอาณาเขตของศาล มีพ่อค้าหลายคนผ่านทางมา ทัศนียภาพของขุนเขาสายน้ำก็งดงาม แล้วยังมีเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำที่เต็มไปด้วยความพิลึกพิลั่นแปลกใหม่อีกไม่น้อย วิถีทางโลกทุกวันนี้สงบสุขดีแล้ว ตามหลักแล้วคนในยุทธภพที่บอกว่าจะออกมาท่องยุทธจักร นักท่องเที่ยวที่กระเป๋าเงินพองแน่นก็ต้องมีไม่น้อย ควันธูปของที่ศาลไม่ควรจะน้อยนิดแค่นี้ถึงจะถูก”

โชคชะตาบุ๋นจากการสอบติดเป็นขุนนางมียศตำแหน่ง สามารถทำงานในวงการขุนนางได้อย่างราบรื่น โชคชะตาบู๊ที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วยุทธภพ เงินทองไหลมาเทมา บุญสัมพันธ์ชีวิตคู่ที่งดงาม โชควาสนาความสงบร่มเย็น กำจัดโรคปัดเป่าภัยร้าย ลูกหลานสืบทอดตระกูล สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของพื้นที่หนึ่งแสดงความศักดิ์สิทธิ์ให้เห็น ก็หนีไม่พ้นเรื่องพวกนี้

สีหน้าของสตรีกระอักกระอ่วน คิดใคร่ครวญหาถ้อยคำที่เหมาะสมอย่างระมัดระวัง ถึงได้ตอบเสียงสั่นว่า “เหนียงเนียงบ้านข้าแอบบ่มเพาะปลูกฝังจอมยุทธน้อยในยุทธภพไว้หลายคน ตำราลับวิชายุทธก็มอบไปให้แล้วหลายเล่ม แต่ก็จนใจที่ไม่มีใครได้ดิบได้ดี ส่วนโชคชะตาบุ๋น วาสนาชีวิตคู่อะไรนั่น…ทางฝั่งของศาลเทพภูเขาพวกเรานี้ ดูเหมือนว่าจะมีไม่มากมาตั้งแต่แรกเริ่ม ดังนั้นเหนียงเนียงบ้านข้าจึงมักจะพูดว่าหากไม่มีวัตถุดิบในการปรุงอาหาร ต่อให้เป็นสตรีที่มีฝีมือแค่ไหนก็ปรุงอาหารออกมาไม่ได้ ส่วนพวกพ่อค้าเหล่านั้น เหนียงเนียงก็รังเกียจที่บนร่างของพวกเขามีแต่กลิ่นเหม็นของเหรียญทองแดง ประเด็นสำคัญคือทุกครั้งที่เข้าศาลมาจุดธูป สายตาของบุรุษพวกนั้นก็ยัง…สรุปคือเหนียงเนียงไม่อยากจะสนใจพวกเขาสักเท่าไร”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็มีข้อเสนอเล็กๆ น้อยๆ คอยไปขอยืมควันธูปมาจากศาลเทพอภิบาลเมืองทั้งหลายเพื่อมาสร้างความมั่นคงให้กับโชคชะตาของขุนเขาสายน้ำชั่วคราว ถึงอย่างไรก็เป็นการรักษาที่ปลายเหตุไม่ใช่ต้นเหตุ ไม่ใช่แผนการในระยะยาวอะไร มีแต่จะลดทอนโชคชะตาของร่างทองเหนียงเนียงบ้านเจ้าและของศาลเทพภูเขาแห่งนี้ไปทีละนิดปีแล้วปีเล่า ขอแค่เทพภูเขาเหวยมีความสัมพันธ์ควันธูปอยู่กับราชสำนักแคว้นซูสุ่ยก็พอแล้ว ไม่ต้องมีมากเกินไปด้วยซ้ำ จากนั้นก็คัดเลือกปัญญาชนจากตระกูลยากจนที่เข้ามาสอบในเมืองหลวงอย่างตั้งใจสักคน แน่นอนว่าความสามารถโชคชะตาบุ๋น และฝีไม้ลายมือของคนผู้นี้ต้องอย่าได้แย่เกินไปนัก ต้องผ่านทุกด้าน ให้ดีที่สุดก็คือมีโอกาสสอบติดเป็นจิ้นซื่อ หลังจากที่เขามาจุดธูปขอพร พวกเจ้าก็คอยตามอยู่ด้านหลัง แอบแขวนโคมศาลเทพภูเขาของพวกเจ้าไว้อย่างลับๆ ช่วยให้เขาเดินทางเข้าเมืองหลวงยามค่ำคืน ขณะเดียวกันก็ให้เทพภูเขาเหวยไปเยือนเมืองหลวงสักรอบหนึ่ง ไปปรึกษาเรื่องนี้กับขุนนางสำคัญบางท่านของราชสำนักให้เรียบร้อยก่อนว่าพวกถงจิ้นซื่อที่สอบติดการสอบหน้าพระที่นั่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นจิ้นซื่อ คนที่ระดับขั้นของจิ้นซื่อสูงก็พยายามให้ติดอันดับแรกๆ ก่อนหน้าขั้นสอง พอไปอยู่ก่อนหน้าขั้นสองได้แล้วก็ต้องกัดฟันส่งบัณฑิตผู้นั้นให้เป็นอันดับที่สามของขั้นแรก ถึงเวลานั้นเมื่อเขามาแก้บนก็จะมีความจริงใจอย่างมาก โชคชะตาบุ๋นกลับมาหล่อเลี้ยงศาลเทพภูเขาก็จะเป็นเรื่องที่น้ำมาคลองสำเร็จ แน่นอนว่าหากพวกเจ้ายังกังวลว่าเขาจะ…ไร้คุณธรรม พวกเจ้าสามารถไปเข้าฝันเตือนบัณฑิตคนนั้นก่อนได้”

——