ตอนที่ 1680 ออกเดินทางและบอกลา

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

ในวงโคจรภายนอกท่ายานอวกาศสง่างาม ยานอวกาศรูปทรงขนาดยาวบินกลับไปมาระหว่างท่ายานกับยานมิลกี้เวย์ โดยโหลดทรัพยากรที่ชาวอาณานิคมอาจจะใช้เข้าสู่พื้นที่โกดัง

มันคล้ายกับเข็มที่ร้อยด้าย และถักทอตาข่ายที่มองไม่เห็นในอวกาศ

ไม่ใช่แค่วงโคจรนอกท่ายานที่วุ่นวาย แต่ข้างในท่ายานก็เป็นเหมือนกัน

กลุ่มผู้คนวุ่นวายเดินผ่านทางเดินโลหะไปทางยานมิลกี้เวย์ และจากการนำของเจ้าหน้าที่การบิน พวกเขาขึ้นไฟล์ทที่ไปเทาเซติ

“ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่สร้างลิฟต์ขึ้นมาล่ะ?” สือเจิ้งหัวเงยหน้าขึ้นและมองดูทางเดิน เขาจับที่จับมือด้วยมือขวาและพูดกระซิบด้วยเสียงเบาๆ “มันต้องเดินอีกนานแค่ไหนกัน?”

ทางเดินนี้ที่เชื่อมต่อท่ายานกับมิลกี้เวย์ยาวจริงๆ และไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่

มันไม่มียานสัมภาระขนาดเล็กหรือว่าทางเลื่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารระดับเฟิร์สคลาส ชาวอาณานิคมระดับประหยัด หรือว่าพนักงานของสตาร์สกายเทคโนโลยี พวกเขาทุกคนต้องเดินผ่านทางเดินระยะยาวนี้เพิ่งขึ้นยานมิลกี้เวย์

ถึงแม้ว่าที่นี่ไม่มีแรงโน้มถ่วง การเดินไกลขนาดนี้เป็นเรื่องไม่ดีต่อใจเลย

“การที่ยานอวกาศสองลำอยู่ใกล้กันมากไปเป็นเรื่องอันตราย โดยเฉพาะเมื่อการถ่ายมวลเกิดขึ้นในระดับใหญ่แบบนี้” ชายแปลกหน้าที่เดินข้างเขาดูเหมือนจะได้ยินเสียงบ่น เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “แน่นอน ผมได้ยินเหตุผลอื่นมา”

สือเจิ้งหัวถามว่า “…เหตุผลอะไรเหรอ?”

“การเดินห้ากิโลเมตรไปมิลกี้เวย์ ทุกย่างก้าวให้โอกาสคุณหันหลังกลับไป” ชายแปลกหน้าพยักหน้าและพูดต่อ “การจากบ้านไปโลกที่ห่างไกลไปสิบล้านปีแสง มันเป็นตั๋วเดินทางขาเดียว… ดังนั้น มีคนพูดว่าการเดินไปมิลกี้เวย์ก็เป็นช่วงเวลาพักของผู้โดยสาร”

“นอกจากการเสียเวลา มันก็ไม่มีจุดหมายอะไรเลย” สือเจิ้งหัวพูดด้วยเสียงไม่แยแสอะไร “ผมจะมียืนอยู่ตรงนี้โดนไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนงั้นเหรอ? ผมไม่เห็นว่ามันจะมีสาระอะไร”

“การทำลายความกระตือรือร้นคือประเด็น” ชายแปลกหน้ายิ้มให้และพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “คุณไม่อาจคงรักษาการเดินทางยาวนานสิบปีแสงด้วยแค่ความกระตือรือร้น การถวิลหาบ้านได้ฆ่าความกระตือรือร้น มันเป็นเรื่องดีที่สุดที่จะคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนขึ้นยาน”

ในอีกฟากหนึ่ง ในท่ายานที่ห่างไปไม่ไกล

หลี่กวงหยาละสายตาจากฝูงคนเยอะไม่มีที่สิ้นสุดแออัดกันในทางเดิน เขามองลู่โจวและพูดด้วยความลังเล “คุณวางแผนจะไปจริงๆ เหรอ?”

พันธมิตรเพิ่งได้กลับมาตั้งท่าได้ ยังมีปัญหาอีกหลายประการให้เขาแก้ไข

ปัญหาด้านการปกครองเหล่านี้ไม่ใช่ความถนัดของลู่โจว เนื่องจากเขามักโฟกัสที่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์และไม่เต็มใจที่จะแสดงความเห็นทางการเมืองออกไป แต่การมีเขาอยู่ในระบบสุริยะ อย่างน้อยในทางจิตวิทยาทำให้หลี่กวงหยารู้สึกโล่งใจ

“ผมวางแผนทริปนี้เป็นเวลานาน และตอนนี้มันเป็นวันออกเดินทางแล้ว” ลู่โจวเหลือบมองหลี่กวงหยาและพูดแซวเล็กน้อย “ทำไมล่ะ? คุณจะคิดถึงผมเหรอ?”

“ไม่คิดถึงหรอก” หลี่กวงหยาตั้งใจมองลู่โจวแล้วเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นเขาถอนหายใจและพูดว่า “แต่ผมรู้ว่า ถึงผมอยากจะโน้มน้าวคุณ มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร”

“งั้นไม่ต้องโน้มน้าว ปล่อยผมไป” ลู่โจวยิ้มและพูดต่อ “มองโลกในแง่บวกนะ ผมกำลังไปเทาเซติวันนี้ ในอีกไม่กี่เดือน ขอบเขตของพันธมิตรมนุษย์จะขยายไปอีกสิบล้านปีแสงจากระบบสุริยะ มันเป็นการเสียสละที่คุ้มค่า”

หลี่กวงหยายิ้มขมขื่นและพูดว่า “มันไม่ใช่คำถามว่าคุ้มค่าหรือไม่… ช่างมันเถอะ”

หลี่กวงหยาปรับอารมณ์ตัวเอง มองดูลู่โจวอย่างเคร่งขรึม และพูดว่า

“เดินทางปลอดภัยครับ”

“ขอบคุณครับ”

ลู่โจวยิ้มอย่างมั่นใจให้หลี่กวงหยา จากนั้นเขามองดูหวังเผิง หลี่เกาเหลียง และผู้อำนวยการหลี่ ซึ่งยืนอยู่ข้างเขา

เขาอ้าปากเตรียมพูด เขาอยากพูดหลายอย่าง แต่เขาไม่อาจจะนึกคำออกมาได้

“อย่าทำให้มันเป็นเหมือนเรื่องร้ายแรง ด้วยความก้าวหน้าในเทคโนโลยีความเร็วกว่าแสง การเดินทางระยะสิบปีแสงใช้เวลาไม่กี่เดือน กลับมาเยี่ยมด้วยนะ!” หลี่เกาเหลียงมองลู่โจวและยิ้มเบิกบานออกมา ทำลายบรรยากาศเงียบสงัด “ถ้าคุณไม่มีเวลากลับมาเยี่ยม ผมจะเป็นคนไปหาคุณเอง”

“ผมคิดว่าการที่ผมเข้าร่วมกำลังเสริมสำหรับแผนการอนาคตนั้นดูทะเยอทะยานแล้วนะ ผมไม่คิดว่าคุณจะทะเยอทะยานกว่าผมเสียอีก” ผู้อำนวยการหลี่ถอนหายใจ เขาจ้องมองลู่โจวและพูดจริงจัง “ดูแลตัวเองด้วยครับ ถ้าคิดถึงบ้านก็กลับมาเยี่ยมบ้างนะ อย่าลืมนะว่ามีคนอีกมากบนโลกที่คิดถึงคุณ”

หวังเผิงไม่ได้พูดอะไรเลย

เขาไม่ใช่พวกช่างคุยตามปกติ โดยเฉพาะโอกาสแบบนี้ที่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

เขายื่นมือไปแตะไหล่ของลู่โจวเบาๆ จากนั้นเขาพูดด้วยเสียงขรึม “ดูแลตัวเองนะครับ”

“ครับ คุณด้วยนะ”

สีหน้าของลู่โจวเต็มไปด้วยอารมณ์ เขากลืนน้ำลายลงคอเบาๆ ท้ายที่สุดแล้ว เขาอดกลั้นอารมณ์ที่ท่วมท้นอยู่ในใจ

เขายื่นมือไปแตะไหล่ของสามคนนี้เงียบๆ

จากนั้นเขาพูดอย่างขึงขัง

“ดูแลตัวเองด้วยครับ!”

ลู่โจวทนอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ต่อไปไม่ไหว หลังจากกล่าวอำลาเพื่อนเก่า เขามองดูลู่เสี่ยวเฉียว หลังจากที่บอกสิ่งที่อยากฝากฝังเธอไว้ เขาก็หันหลังกลับและขึ้นยานมิลกี้เวย์

ห้องของเขาอยู่ที่ส่วนบนสุดใกล้กับทางเดินขึ้นยาน หน้าต่างสูงถึงเพดานมีมุมกว้างที่สุดและเห็นทางเดินทั้งหมดได้…

ถึงแม้ว่าไม่มีสิงตื่นตาตื่นใจให้ดู เขายังอยากดูมันอยู่สักพัก

เขามองดูกลุ่มคนกล่าวอำลาและกลุ่มชาวอาณานิคมที่กำลังจากบ้านเกิดแล้วออกเดินทางครั้งใหม่…

เขารู้สึกใจเต้น เขามองดูฝูงคนนอกหน้าต่างและสูดลมหายใจเข้าลึก

ในอีกไม่นานเขาก็จะได้เดินทางไปโลกที่ห่างไปสิบปีแสง…

มันเป็นสถานที่ซึ่งห่างไกลกว่าดาวอังคาร

และการเดินทางของเขาไม่ได้สิ้นสุดที่นั่นสำหรับจักรวาลทั้งหมด เขาจะไปที่ที่ห่างไกลกว่าเทาเซติ ไปยังสถานทีที่ไม่มีโอกาสย้อนกลับมา…

เสี่ยวไอที่ยืนอยู่ข้างลู่โจวก็สัมผัสได้ถึงความลังเลในใจลู่โจว และเธอจับมือเขาอย่างแผ่วเบา

“เจ้านาย เสี่ยวไอจะอยู่ด้วยเสมอเลย (๑•̀ᄇ•́)و✧”

“อืม” ลู่โจวยิ้มให้และพยักหน้า เขายื่นมือไปลูบผมสังเคราะห์ “ขอบคุณนะ”

จู่ๆ ทั้งสองได้ยินเสียงฝีเท้านอกห้องกัปตัน และมีเสียงเคาะสองครั้ง เวร่าที่ถือแท็บเลตแนบตัวเอง เดินเข้ามาแล้วพูดเสียงเบา

“ศาสตราจารย์ เราจะออกเดินทางในอีกสามสิบนาที กัปตันเรนฮาร์ทเชิญคุณไปที่สะพานเพื่อดูช่วงเวลานี้”

“เข้าใจแล้ว”

ลู่โจวขยับมือออกจากหัวเสี่ยวไอและพยักหน้าเบาๆ ให้เวร่า จากนั้นเขาหันไปมองกระจกสูงใหญ่ที่อยู่ข้างตัว

ฝูงคนจำนวนมากบนทางเดินดูไม่สิ้นสุดเริ่มเบาบางลงเรื่อยๆ

“ช่วงเวลานี้มาถึงแล้วในที่สุด”

ลู่โจวลูบกล่องแหวนในกระเป๋าด้วยนิ้วชี้ เขาเหลือบมองฝูงคนบางเบาเป็นครั้งสุดท้าย

แต่เมื่อเขากำลังจะหันตัว เขาสังเกตเห็นบางอยู่ที่หางตา ทั้งตัวเขาแข็งนิ่ง

เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้มองผิดไป

ใบหน้าที่คุณเคยนั้น…

คือเธอ…

……………………………………………………………..