เด็กหนุ่มรองเท้าฟางควบคุมตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ทั้งประหม่าและว้าวุ้นใจมากเช่นกัน

เขาอยู่ในชุดผ้าทอหยาบ สวมรองเท้าฟางคู่หนึ่ง แต่ทั้งตัวกลับสะอาดหมดจดเป็นอย่างยิ่ง แม้ผิวพรรณจะดูคล้ำอยู่บ้าง แต่ดวงตากลับส่องประกายแวววาว

“นั่งสิ เจ้ากับข้าได้เจอกันถือเป็นวาสนา ลองเล่าชีวิตเมื่อก่อนให้ข้าฟังได้ไหม”

หลินสวินยิ้มกล่าว น้ำเสียงนุ่มนวลอบอุ่น ทำให้ใจของเด็กหนุ่มรองเท้าฟางสงบลงเหมือนอาบไล้ด้วยลมวสันต์ จึงนั่งลงตามคำบอก

เขาคิดไปคิดมาก็เล่าเรื่องในอดีตของตนออกมา เสียงดังฟังชัด มีระเบียบชัดเจน

เด็กหนุ่มมีชื่อว่าซูไป๋ อายุสิบสาม มาจากชนบทที่ห่างไกลแห่งหนึ่งในแดนฐิติประจิม ครอบครัวหาเลี้ยงชีพด้วยการเพาะปลูกมาหลายรุ่น

ช่วงก่อนหน้านี้หมู่บ้านถูกอสูรปีศาจบุกโจมตี บิดามารดาของซูไป๋ก็โชคร้ายประสบเคราะห์ ตายในปากของสัตว์ปีศาจ…

หลังจากรู้เรื่องพวกนี้นัยน์ตาของหลินสวินฉายแววทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง

ซูไป๋

ชื่อนี้ทำให้เขานึกถึงอวิ๋นชิ่งไป๋อีกครั้ง

ยามนี้เด็กหนุ่มรองเท้าฟางที่ชื่อว่าซูไป๋ตื่นเต้นหาใดเปรียบ เขาเข้าใจได้รางๆ ในแววตาดูเฝ้ารออย่างไม่อาจสงบ

สายตาหลินสวินจ้องมองเด็กหนุ่มกล่าว “ปีนั้นมีคนที่คล้ายเจ้ามากคนหนึ่ง แต่ยามเขาก้าวไปบนหนทางฝึกปราณกลับถูกบีบบังคับมาตลอด ชีวิตของเขาจึงเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมด้วยเหตุนี้”

ซูไป๋ชะงัก อดกล่าวไม่ได้ “ผู้อาวุโส ข้าไม่เหมือนเขา”

หลินสวินกล่าว “เหตุใดจึงไม่เหมือน”

ซูไป๋สูดหายใจลึก กล่าวจริงจัง “ข้า… หากข้าได้ติดตามผู้อาวุโสเพื่อฝึกปราณ จะมีแต่ความยินดีและดีใจ คนอื่นก็ไม่อาจบีบข้าให้ทำอะไรได้เช่นกัน”

หลินสวินยิ้มแล้ว นี่เป็นเด็กหนุ่มที่ฉลาดมากคนหนึ่ง

“ทำไมเจ้าถึงอยากฝึกปราณ”

หลินสวินเอ่ยปากอีกครั้ง “ข้าจะให้โอกาสเจ้าแค่สามครั้ง หากคำตอบทำให้ข้าพอใจ ข้าจะให้โอกาสเจ้ากราบอาจารย์ครั้งหนึ่ง”

ซูไป๋คึกคักขึ้นมาทันที สะท้านไปทั้งตัวด้วยความตื่นเต้นยินดี

แต่ไม่นานเขาก็สูดหายใจลึกสองสามครั้ง พยายามทำให้ตัวเองสงบลง ทั้งไม่รีบร้อนเอ่ยปาก

เขารู้ว่านี่คือการทดสอบของผู้อาวุโสหลินสวิน!

ถ้าตอบได้ดี ตั้งแต่นี้ไปจะได้เป็นมัจฉากระโดดข้ามประตูมังกร ทะยานขึ้นเหนือเมฆ

หากตอบไม่ดี สุดท้ายตัวเขา… จะเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ที่ได้แต่เบิกตามองบิดามารดาประสบเคราะห์ต่อหน้าสัตว์ปีศาจ มีแต่ความเดือดดาลและเพลิงโทสะทั่วท้อง แต่ไม่มีกำลังพอจะทำอะไรได้คนนั้น!

‘ทำไมถึงอยากฝึกปราณ’ ซูไป๋เริ่มใคร่ครวญ แววตาเหม่อลอย นึกถึงเรื่องมากมาย

นึกถึงบิดามารดาที่ลำบากตรากตรำมาตั้งแต่ตอนตนยังเด็ก แต่กลับยังถูกความยากจนข้นแค้นและโรคภัยรุมเร้าให้ใช้ชีวิตอย่างขัดสน

นึกถึงความสามารถเทียมฟ้ามากอิทธิพล ย้ายภูผาถมทะเล ประหนึ่งไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้ของผู้ฝึกปราณพวกนั้นซึ่งนักเล่าเรื่องกล่าวถึง

และนึกถึงฝูงอสูรปีศาจนั่นที่ทำให้ตนเจ็บปวดหาใดเปรียบ นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ถูกเซวียหย่งถากถางบนชายฝั่งทะเลหมากดารา

เซวียหย่งเคยพูดว่า ‘ไม่มีพรสวรรค์ ต่อให้พยายามไปก็เปล่าประโยชน์ บนโลกนี้ไม่เคยขาดพวกอ่อนหัดที่ตั้งปณิธานไว้สูงส่ง แต่ละคนล้วนคิดว่าความขยันสามารถซ่อมเสริมจุดบกพร่อง สวรรค์ย่อมตอบแทนคนหมั่นเพียร แต่สุดท้ายก็ยังดับมอดกลางหมู่ชน ไม่อาจเทียบกับผู้ฝึกปราณคนอื่นได้อยู่โข นี่ก็คือมหามรรค แต่ไหนแต่ไรมาล้วนโหดร้ายเช่นนี้ พวกทึ่มทื่อที่คิดจะพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิต แน่นอนว่าได้แต่ละเมอเพ้อพก’

แรงกระตุ้นที่เด่นชัดหาใดเปรียบผุดขึ้นในใจของเด็กหนุ่มรองเท้าฟางทันใด อยากจะแสดงภาพความวาดหวังในการฝึกปราณของตนออกมา

แต่เมื่อเห็นแววตาที่นิ่งสงบและล้ำลึกนั้นของหลินสวิน เด็กหนุ่มรองเท้าฟางก็ได้สติทันที สะกดข่มแรงกระตุ้นที่เด่นชัดนั้นลงไป

เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมานั้นบ้างคับแค้น บ้างเดือดดาล บ้างเป็นทุกข์ และบ้างโศกเศร้า แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้นานแล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากภายหน้าตนอยากจะฝึกปราณ ก็ไม่อาจยึดติดอยู่กับอดีตเพียงอย่างเดียว!

นึกถึงตรงนี้ซูไป๋ก็เหงื่อแตกไปทั้งตัว เขารู้ว่าหากเมื่อครู่ตนบุ่มบ่ามเอ่ยคำตอบนั้นออกไป ผู้อาวุโสหลินสวินต้องผิดหวังมากแน่

จากนั้นเด็กหนุ่มรองเท้าฟางคนนี้ก็ตกสู่ห้วงคิดอีกครั้ง

เขายิ่งคิด ความรู้สึกก็ยิ่งสับสน มึนงงเหม่อลอย ไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนคล้อยของเวลา

หลินสวินไม่รบกวนเขา ลุกขึ้นจากไปเงียบๆ

“เสี่ยวฉง ทำไมเจ้าถึงนึกอยากมาเจอข้า”

หลินสวินเจอซย่าเสี่ยวฉงบนหน้าผา เด็กสาวที่ใสซื่อไร้เดียงสา บริสุทธิ์ดั่งเครื่องแก้วคนนี้เหมือนไม่โตขึ้นเลย ยังคงมีใบหน้าเหมือนปีนั้น

เพียงแต่เปรียบเทียบกับปีนั้นแล้ว รูปโฉมของเด็กสาวลดความเยาว์วัยไปหลายส่วน และเพิ่มความงามขึ้นมามาก

“หา? ข้านึกขึ้นได้ว่าไม่เจอพี่หลินสวินมานานมากแล้ว ดังนั้นก็เลยมา”

ซย่าเสี่ยวฉงทำหน้างง ในใจคิดว่าคำถามนี้แปลกเกินไปแล้ว

หลินสวินชะงัก อดหัวเราะไม่ได้ ใช่แล้ว อยากมาก็มา ต้องมีจุดประสงค์บางอย่างจึงจะบุกป่าฝ่าดงมาโดยไม่คำนึงถึงอะไรด้วยหรือ

นี่ก็คือซย่าเสี่ยวฉง ถ้าอยากทำอะไรก็ทำตามใจปรารถนา เมื่อจิตใจไม่ด่างพร้อย กลับกลายเป็นว่าเข้าใกล้มหามรรค สอดคล้องกับเจตนารมณ์

“หากข้าไม่มา พี่หลินสวินจะไปหาข้าไหม” ซย่าเสี่ยวฉงเอ่ยถาม

หลินสวินอ้ำอึ้งไปชั่วขณะ แน่นอนว่าเขาจะพูดว่าใช่ก็ย่อมได้ แต่ยามเผชิญหน้ากับเด็กสาวที่ซื่อสัตย์จริงใจอย่างซย่าเสี่ยวฉง เขากลับไม่อยากพูดอย่างขอไปที

คิดไปคิดมาเขาก็ถอนใจกล่าว “แน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ น่าจะราว…”

ซย่าเสี่ยวฉงกล่าวเสียงกังวานอย่างดีใจ “ท่านมาก็พอแล้ว!”

หลินสวินพลันละอาย

ถึงขั้นที่ว่าเขายังอิจฉาเด็กสาวที่บริสุทธิ์และงดงามคนนี้อยู่บ้าง ด้วยมีกลิ่นอายที่พาให้คนรู้สึกดี เหมือนต้นไม้หันเข้าหาดวงอาทิตย์

สาเหตุที่อิจฉา เป็นเพราะเขาทำไม่ได้

เขายังมีเรื่องมากมายต้องทำ แม้จิตมรรคจะแข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่ด้วยผ่านความลำบากมานาน จึงไม่อาจกลับไปไร้เดียงสาเหมือนตอนแรกได้อีกแล้ว

หลินสวินกล่าวเสียงอบอุ่น “ในเมื่อมาแล้วก็อยู่เล่นที่นี่ให้สนุก คิดถึงบ้านเมื่อไหร่ข้าค่อยพาเจ้ากลับไป”

ซย่าเสี่ยวฉงกะพริบตาปริบๆ นัยน์ตาใสสะอาดเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พี่หลินสวิน มีแต่ท่านที่ดีกับข้า ขอแค่ท่านไม่รังเกียจ ภายหน้าข้าก็จะดีกับท่านไปตลอด”

หลินสวินหัวเราะลั่น

การพูดคุยกับซย่าเสี่ยวฉงทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขหาใดเปรียบ

ผ่านไปสามวันเต็ม เด็กหนุ่มรองเท้าฟางใคร่ครวญคำถามที่หลินสวินให้มาตลอด

เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด หน้าซีดเผือดไปหมด ท่าทางเหนื่อยล้าทั้งกายใจ

“พี่ใหญ่ คำถามนี้ยากเกินไปแล้ว เจ้าหนูนี่ยังไม่เคยเริ่มฝึกปราณ จะตอบแบบ ‘ชัดเจนแจ่มแจ้ง’ ได้อย่างไร”

ในที่ลับ อาหลู่ที่ติดตามการเคลื่อนไหวของซูไป๋มาตลอดอดกล่าวไม่ได้

แววตาหลินสวินเผยนัยยากอธิบาย เอ่ยว่า “เด็กที่เกิดมายากจน เมื่อเจอโอกาสที่สามารถเปลี่ยนโชคชะตา ต่อให้เป็นแค่ความหวังที่เลือนรางก็จะทุ่มกำลังทั้งหมดไปคว้ามันมาไว้ในมือ ถึงขั้นยึดติดยอมสละชีวิตโดยไม่คำนึงถึงอะไรอยู่บ้าง”

“ตรงกันข้ามเหล่าทายาทที่ฐานะทางบ้านร่ำรวยพวกนั้นจะไม่เป็นเช่นนี้ ด้วยพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการฝึกปราณในอนาคตแต่แรก มีคนเตรียมทุกอย่างให้พวกเขาอยู่ก่อนแล้ว”

“นี่ก็คือช่องว่างของชาติกำเนิด พวกที่ยากจนข้นแค้นบนโลกนี้ ในหมู่คนหลายหมื่นพัน คนที่โดดเด่นเหนือผู้อื่นในตอนท้ายจะมีสักกี่คน”

“ต่อให้โดดเด่นเหนือคนอื่น ยามเปรียบเทียบกับเหล่าลูกหลานซึ่งเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียงเด่นดังพวกนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนทางข้างหน้าหรือเบื้องลึกเบื้องหลัง สุดท้ายก็ยังต่างกันมากเกินไป”

หลินสวินเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “ก็เหมือนเด็กหนุ่มคนนี้ หากไม่ได้เกิดมายากจน มีหรือจะต้องทุ่มสุดตัวเพื่อโอกาสในการฝึกปราณเช่นนี้ เช่นเดียวกัน ในเมื่อเขาอยากเปลี่ยนชะตาชีวิต เช่นนั้นตั้งแต่ก้าวแรกของการเริ่มแสวงมรรคก็ต้องพยายามมากกว่าปกติ มิฉะนั้นภายหน้าจะถูกลิขิตให้ดับมอดท่ามกลางผู้คน”

อาหลู่เกาหัวกล่าว “พี่ใหญ่ ด้วยพลังของท่านตอนนี้ แค่ชี้แนะเจ้าหนูนี่นิดหน่อย ภายหน้าก็ไต่เต้าจนประสบความสำเร็จได้แล้วไม่ใช่หรือ”

หลินสวินยิ้ม “หากเป็นเช่นนั้นข้ายอมไม่รับศิษย์ ในเมื่อจะรับศิษย์ แน่นอนว่าต้องรับผิดชอบต่อมรรคาของเขาในภายหน้า ในอนาคตข้าไม่อยากให้ศิษย์ของข้าใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาชื่อเสียงของข้าหลินสวิน”

อาหลู่กล่าวสีหน้าพิกล “แต่หากกลายเป็นศิษย์ของท่าน การจะไม่ได้รับอิทธิพลจากชื่อเสียงของท่านคงยากเกินไปแล้ว หากเจ้าหนูนี่ไม่พยายามสักร้อยเท่าพันเท่า เป็นไปได้ว่าต้องอยู่ใต้เงามืดของท่านไปชั่วชีวิต”

หลินสวินกล่าว “ดังนั้นข้าจึงถามปัญหานั้นกับเขา มีเพียงคิดจนเข้าใจและหยั่งถึง มรรคาของเขาในภายหน้าจึงจะไม่ได้รับผลกระทบจากข้า”

“ดูท่าพี่ใหญ่คงตัดสินใจรับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นศิษย์แล้วสินะ”

อาหลู่กล่าวอย่างประหลาดใจ

หลินสวินกล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง “ตอนแรกข้าอยากลองดูว่าเขาจะกลายเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋คนที่สองได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ข้าแค่อยากให้เขาเป็นตัวเขาเอง ซูไป๋ที่เป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง”

พูดถึงตรงนี้หลินสวินก็ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าตอนนี้เขาผ่านการทดสอบของข้าแล้ว”

“ผ่านแล้วรึ”

อาหลู่ตกตะลึง

“ผู้อาวุโส ท่านบอกว่าข้า… ผ่านแล้วหรือ”

ซูไป๋ถูกหลินสวินปลุก ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขายังคิดคำตอบที่สมบูรณ์แบบไม่ได้เลย

แต่หลินสวินกลับบอกว่าเขา… ผ่านแล้ว!

นี่ทำให้เขามึนงงไปหมด

หลินสวินอมยิ้มกล่าวอธิบาย “หากเจ้าตอบอะไรมา ข้าย่อมไม่มีทางพอใจ ด้วยนั่นเป็นแค่ความคิดของเจ้าในตอนนี้เท่านั้น เมื่อเจ้าก้าวสู่มรรคาจนพลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ความคิดนี้ก็จะเปลี่ยนไป”

เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “ข้าแค่หวังว่ายามเจ้าฝึกปราณในภายหน้า หากสงสัยหรือสับสน ถึงขั้นประสบพิบัติเคราะห์ ให้ถามตัวเองดูว่าตอนนั้นตนฝึกปราณเพราะอะไร ถึงตอนนั้นในใจของเจ้าก็จะมีคำตอบแล้ว”

ในสมองของซูไป๋เหมือนมีเสียงดังตู้ม คล้ายเข้าใจได้ในชั่วขณะเดียว แต่เมื่อคิดดูอย่างละเอียดกลับยังไม่อาจเข้าใจ

หลินสวินตบบ่าที่ดูผอมบางนั้นของเด็กหนุ่ม กล่าวเสียงอบอุ่น “คำถามนี้ก็คือเหตุผลในการเสาะหามรรคาของเจ้า สักวันหนึ่งเมื่อเจ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้ รับรู้แน่ชัดดีแล้วก็จะเข้าใจเอง”

ซูไป๋ตะลึงงัน แต่ยังรับรู้ได้ว่าเขาได้รับการยอมรับจากหลินสวินแล้ว คำถามที่ยังไม่เข้าใจตอนนี้ สุดท้ายภายหน้าก็จะเข้าใจเอง!

“ตอนนี้เจ้าแค่ผ่านการทดสอบของข้า แต่จะรับเจ้าเป็นศิษย์หรือไม่ ยังต้องดูตัวเจ้าด้วย”

หลินสวินสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวราบเรียบ

ซูไป๋ดีใจอย่างสุดซึ้ง คุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวอย่างเลื่อมใสเด็ดเดี่ยว “ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ”

หลินสวินกล่าว “ช่วงเวลาต่อจากนี้ข้าจะสอนวิธีฝึกปราณขั้นพื้นฐานให้กับเจ้า มอบวิชาลับฝึกปรานให้เจ้า”

“แต่ช่วงที่เจ้ายังไม่ได้รับการยอมรับจากข้า ห้ามทำตัวเป็นศิษย์ของข้า นี่ก็หมายความว่าการกระทำของเจ้าต่อจากนี้ ไม่เกี่ยวกับข้าหลินสวิน”

“หากข้าพบว่าเจ้าแอบอ้างชื่อเสียงของข้า ข้าจะชิงมรรควิถีทั้งตัวของเจ้าไป สั่งสอนเจ้าให้ไม่อาจผงาดขึ้นได้อีกชั่วนิรันดร์ เจ้าเข้าใจไหม”

คำพูดพวกนี้กระแทกใส่ใจของซูไป๋เหมือนเสียงธรรม กึกก้องและน่าเกรงขาม

ซูไป๋เงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ผู้น้อยเข้าใจขอรับ!”

วันนี้หลินสวินที่ครองพลังปราณระดับมกุฎมหาอริยะ รับเด็กหนุ่มรองเท้าฟางซูไป๋ที่เกิดมายากจนเป็น ‘ศิษย์ฝากนาม’!

ช่วงที่ซูไป๋ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากหลินสวิน เรื่องนี้นอกจากคนส่วนน้อยที่รู้ บนโลกก็ไม่มีใครรู้เห็น