เฉินผิงอันพยักหน้า “อันที่จริงข้ารู้จักกับหลิ่วชิงเฟิงมานานแล้ว เป็นคนลงมือทำงานอย่างเป็นรูปธรรม ร้ายกาจอย่างมาก เดินไปบนเส้นทางของการควบกันระหว่างคุณธรรมแห่งอริยะและความเผด็จการของราชา ไม่มีปณิธานของบัณฑิตแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่าในช่วงเวลาส่วนใหญ่ไม่คล้ายลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเลยด้วยซ้ำ หากหลิ่วชิงเฟิงเป็นผู้ฝึกตน จ้าวเหยาก็คงไม่มีโอกาสจะได้เป็นราชครูสักเท่าไร อันที่จริงความคิดเห็นหลายๆ อย่างของบัณฑิตมักจะกว้างใหญ่เลื่อนลอยเกินไป ไม่มีบันไดให้เดินไปทีละก้าว สองมือว่างเปล่า ไม่อาจประคับประคองความคิดจินตนาการอันล้ำเลิศบางอย่างได้ แต่หลิ่วชิวเฟิงกลับไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย เขาเชี่ยวชาญด้านการสร้างสถานการณ์ ถึงขั้นไม่ใช่การฉกฉวยสถานการณ์ด้วยซ้ำ ปีนั้นตอนที่ข้ายังออกจากคฤหาสน์หลบร้อนไปเยือนเรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัวได้ เคยตั้งใจสังเกตเรื่องราวในวงการขุนนางของหลิ่วชิงเฟิงโดยเฉพาะ”
เจียงซ่างเจินถอนหายใจ “บัณฑิตที่ถูกเจ้าชมเชยถึงขนาดนี้ได้ ต้องร้ายกาจแน่นอน”
การประลองหมากล้อมในศาลายังคงดำเนินต่อไป นักพรตหญิงของอารามชิงเหมยเล่นหมากล้อมกับผู้ฝึกตนหญิงของพรรคชิงหลิงพลางใช้เสียงในใจเล่าถึงความเป็นเจ้าบุญทุ่มของ ‘โจวเซินฉิง’ และความสัมพันธ์ควันธูปที่เขามีต่ออารามชิงเหมยไปด้วย ทำเอาฝ่ายหลังที่ได้ฟังจิตวิญญาณสั่นไหว นึกไม่ถึงว่าบนโลกจะมีผู้ฝึกตนใหญ่ที่ใช้จ่ายเงินเทพเซียนดั่งเงินขาวทั่วไปเช่นนี้อยู่ด้วย? คงไม่ใช่เทพเซียนพสุธาที่ขอบเขตสูงเข้าไปในชั้นเมฆหรอกกระมัง?
พวกเฉินผิงอันออกมาจากภูเขาของพรรคชิงหลิงทั้งอย่างนี้ ก่อนจะลงมาจากภูเขา เฉินผิงอันควักเงินเกล็ดหิมะออกมาสิบเหรียญ ซื้อหลิงจือหยกเขียวมาสองชิ้น พอไปถึงตีนเขาก็มอบให้สวีหย่วนเสีย
สวีหย่วนเสียยิ้มกล่าว “ข้าจะเอาของเล่นนี่ไปทำอะไร ด้วยทรัพย์สินน้อยนิดของศูนย์ฝึกยุทธนั่นเอามาดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำได้ไม่ถึงสองครั้งเลยด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันอธิบาย “หากมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ส่งจดหมายจะช้าเกินไป ให้มาที่ภูเขาของพรรคชิงหลิง เปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ข้าจะรีบมาหาทันที”
สวีหย่วนเสียพูดอย่างขำๆ ปนฉุน “หรือว่าเจ้าที่อยู่ในภูเขาลั่วพั่วจะคอยเฝ้าดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของพรรคชิงหลิงอยู่ทุกวัน? เจ้าเป็นเจ้าขุนเขา ไม่กลัวว่าจะเสียภาพพจน์รึ?”
เฉินผิงอันกล่าว “แน่นอนว่าข้าไม่มีทางคอยจับจ้องมองอยู่ทุกวัน แต่จะมีคนคอยจับตามองให้ จะดีจะชั่วก็เป็นเจ้าขุนเขาคนหนึ่ง ผู้ถวายงานเค่อชิงก็ยังพอจะมีอยู่บ้าง”
สวีหย่วนเสียถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หวังให้เกิดเรื่องกับข้าหรือ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ไม่เป็นมงคลจริงๆ เสียด้วย จึงได้แต่เก็บหลิงจือหยกเขียวชิ้นนั้นลงไป พอมาคิดดูอีกทีก็หันเอาไปมอบให้เจียงซ่างเจิน “เจ้าชอบเรื่องพวกนี้ ยกให้เจ้าแล้วกัน”
เจียงซ่างเจินรับมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้ออย่างไม่เกรงใจ
ทางศูนย์ฝึกยุทธยังหาเงินด้วยการเป็นผู้คุมภัยด้วย ทุกคนจึงได้ขี่ม้าตัวเตี้ย ป๋ายเสวียนคงจะรู้สึกว่าหลังม้าทำให้ก้นร้อนจึงลุกขึ้นยืน เอาสองมือไพล่หลัง ยืนอยู่บนหลังม้าด้านหลังเจียงซ่างเจิน ไม่รอให้อาจารย์เฉาเปิดปาก ป๋ายเสวียนก็บอกว่าขอแค่เจอผู้คนระหว่างทาง เขาจะยอมนั่งลงแต่โดยดีแน่นอน ป๋ายเสวียนพลันยื่นมือมาตบหัวเจียงซ่างเจิน “พี่ใหญ่โจว ควบม้าห้อตะบึงเข้าสิ ขนาดมีสี่ขายังช้าขนาดนี้ ช้ากว่านายน้อยใช้สองขาเดินเสียอีก”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “ทำไมเจ้าไม่นอนคว่ำบนพื้นแล้วเดินห้าขาไปเลยล่ะ”
กี่ปีมาแล้วที่ตนไม่ได้ขี่ม้าท่องยุทธภพ? เจียงซ่างเจินใคร่ครวญอย่างละเอียด น่าจะหลายร้อยปีแล้วกระมัง ได้อาศัยใบบุญของเจ้าขุนเขาจริงๆ
ป๋ายเสวียนอับอายจนพานเป็นความโกรธ ค้อมเอวยื่นมือไปรัดคอเจียงซ่างเจิน “บังอาจ! พูดกับนายน้อยแบบนี้ได้อย่างไร?!”
เฉินผิงอันกับสวีหย่วนเสียขี่ม้านำอยู่หน้าสุด เฉินผิงอันหันหน้ามา ป๋ายเสวียนจึงรีบปล่อยมือทันที ลูบศีรษะของเจียงซ่างเจิน จากนั้นใช้สองมือตบข้างแก้มของเจียงซ่างเจิน “ขี่ม้าช้าๆ หน่อย ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นแบบนี้ พี่ใหญ่โจวไม่หล่อเหลาแล้วนะ”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ป๋ายเสวียน วันหน้าเจ้าเองก็สามารถอาศัยใบหน้าหาข้าวกินได้นะ หากที่ภูเขาลั่วพั่วมีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ผ่านไปอีกหลายสิบปีหรือร้อยปี คาดว่าเจ้าคงแบกรับหน้าที่นี้ได้แล้ว”
ป๋ายเสวียนหัวเราะเสียงเย็น “นายน้อยทำตัวขายหน้าแบบนั้นไม่ได้หรอก”
เฉินผิงอันได้ยินประโยคนี้ก็หันกลับมามองป๋ายเสวียนอีกครั้ง
ป๋ายเสวียนรู้ทันทีว่าท่าไม่ดีจึงรีบพูดอย่างร้อนรน “อาจารย์เฉา พวกเราเป็นคนจะเห็นแก่เงินมากเกินไปไม่ได้นะ น่าหลันคนเห็นแก่เงินตัวน้อย เหยาคนมึนตัวน้อย อวี๋นักพรตน้อย พวกเขาทำเรื่องพวกนี้เหมาะสมจะตายไป ข้ากับเจ้าคนตาเหล่แล้วก็เจ้าคนหน้าตาย ล้วนทำไม่ได้ ต่อให้เป็นพ่อครัวน้อยอย่างเฉิงเฉาลู่ก็ยังดีกว่าพวกเราสามคนนะ”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไป ไม่ได้สนใจเจ้าลูกกระต่ายน้อยที่ชอบตั้งฉายาให้คนอื่นผู้นั้นอีก
กวอฉุนซีที่ขี่ม้าขนาบข้างเจียงซ่างเจินพลันเอ่ยว่า “พี่ใหญ่โจว ท่านกับเฉินผิงอันต่างก็เป็นคนบนภูเขาใช่ไหม?”
ไม่ใช่ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ไม่มีทางเอาเงินเทพเซียนมากขนาดนั้นออกมาได้ วัตถุวิเศษบนภูเขาสองชิ้น เท่ากับมอบเงินให้กับพรรคชิงหลิงหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน ไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ
กวอฉุนซีคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอาจารย์ของตนจะมีสหายในยุทธภพที่เป็นเช่นนี้อยู่ด้วย
เจียงซ่างเจินหยิบหลิงจือหยกเขียวชิ้นหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ โยนให้กวอฉุนซี ใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยว่า “เอาของชิ้นนี้ไปด้วย วันหน้าสามารถนำไปทำเป็นของขวัญพบหน้าได้ เจ้าไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเกาะกงหลิ่วของทะเลสาบซูเจี่ยน ไปหาสตรีที่ชื่อว่าหลี่ฝูฉวี บอกว่าเจ้ากับคนที่ชื่อโจวเฝยเป็นเพื่อนรักกัน วันหน้าให้นางพาเจ้าขึ้นเขาไปฝึกตน บอกนางอีกคำว่า หากภายในห้าสิบปีเจ้ายังไม่ได้เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิต ก็ถือว่าสายตาข้าแย่เกินไป แล้วก็ต้องโทษที่พี่น้องกวอมีโชคไม่มากพอ ถึงเวลานั้นก็ให้นางเล่นงานพวกเราสองพี่น้องให้ตายไปเลยก็แล้วกัน พี่น้องกวอ เจ้ากล้าไปหรือไม่?”
กวอฉุนซีรับเงินห้าหกพันนั้นมาอย่างกระวนกระวาย ชายฉกรรจ์ถึงขั้นไม่อาจเรียนรู้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นซึ่งเป็นวิชาลับในยุทธภพมาจากอาจารย์ได้ด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่สอน แต่เป็นเขาที่เรียนไม่เป็น แล้วก็ไม่อยากเรียน นอกจากดื่มเหล้าพูดจาเหลวไหลไร้สาระแล้ว อันที่จริงชายฉกรรจ์ไม่มีอารมณ์อยากจะพูดคุยกับคนอื่นเลยด้วยซ้ำ กวอฉุนซีหัวเราะ “มีอะไรให้ไม่กล้ากันเล่า จะมีชีวิตอยู่รอดไปได้ถึงห้าสิบปีหรือไม่ยังบอกได้ยาก ชั่วชีวิตนี้ข้าเองก็ไม่เคยออกท่องยุทธภพอย่างจริงจังมาก่อน สถานที่ที่ไกลที่สุดที่เคยไปก็คือจังหวัดติดกัน ขนาดพวกผู้คุมกันของศูนย์ฝึกยุทธยังไม่เรียกข้าไปด้วยกัน เพราะกลัวว่าดื่มเหล้าแล้วจะทำให้เกิดความผิดพลาด ควรจะเรียนรู้เอาอย่างอาจารย์จริงๆ ฉวยโอกาสตอนที่มือเท้ายังคล่องแคล่วออกไปดูข้างนอกเสียบ้าง คนเป็นไม่ควรใช้ชีวิตอยู่อย่างอัดอั้นจนตาย”
เจียงซ่างเจินยิ้มพลางพยักหน้ารับ “บอกไว้ก่อนนะว่าการเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้ ขุนเขาสายน้ำยาวไกล เรื่องไม่คาดฝันมีมากมาย ระหว่างทางจำไว้ว่าต้องระวังให้มาก หากตายไปก่อนกลางทาง ข้าไม่ช่วยเจ้าเก็บศพนะ”
กวอฉุนซีหัวเราะเสียงดังกังวาน “ตายไปแล้วตั้งหลายปี ข้าผู้อาวุโสจะยังกลัวเรื่องนี้อีกหรือ?”
ป๋ายเสวียนเหลือบมองชายฉกรรจ์แล้วยกนิ้วโป้งให้
ทางฝั่งของบ้านเกิด อันที่จริงก็มีผีขี้เหล้าอย่างกวอฉุนซีอยู่มากมายเหมือนกัน
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถามเจียงซ่างเจิน “สำนักกุยหยกและพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา บวกกับสำนักเจินจิ้ง นอกจากรายงานขุนเขาสายน้ำที่พวกเจ้าควบคุมอย่างเปิดเผยแล้ว ยังมีอีกเท่าไร?”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “เยอะมาก ไม่ต่ำกว่าสิบฉบับ เอ่ยประโยคที่ฟังแล้วหน้าไม่อายสักคำ ปีนั้นหากไม่เป็นเพราะข้า ทางฝั่งศาลบรรพจารย์ของยอดเขาเสินจ้วนก็ไม่มีทางยินดีจ่ายเงินอยุติธรรมนี้แน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ทางฝั่งของใบถงทวีป รายงานขุนเขาสายน้ำที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเป็นผู้ควบคุม วันหน้าข้าจะขอยืมใช้สักหน่อย แน่นอนว่าต้องคิดบัญชีกันอย่างชัดเจน ทุกครั้งที่ให้นักเขียนบนภูเขาพวกนั้นเขียนรายงาน ก็จะต้องลงบัญชีไว้อย่างชัดเจน สิบปีคิดกันหนึ่งครั้ง ส่วนแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวี ตัวข้าเองจะปูทางเองก็แล้วกัน”
เจียงซ่างเจินถาม “พอถึงช่วงเวลาสำคัญก็จะหาคนมาด่าเจ้าหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรเล่า?”
เจียงซ่างเจินตอบ “กะน้ำหนักได้ค่อนข้างยากนะ”
เฉินผิงอันเอ่ย “สิ่งที่พูดได้ง่ายที่สุดในใต้หล้านี้ก็ไม่ใช่ถ้อยคำที่เป็นธรรมหรอกหรือ?”
เจียงซ่างเจินทอดถอนใจ “พวกรายงานขุนเขาสายน้ำที่ข้าจัดการไปก่อนหน้านี้ก็เพราะว่าขาดสองคำว่า ‘เป็นธรรม’ นี่ไปพอดี”
เฉินผิงอันยิ้มตอบกลับไปหนึ่งประโยค “จิตใจที่ทำร้ายคนอื่นไม่ควรมี จิตใจที่ป้องกันคนอื่นไม่ควรขาด”
เงียบกันไปครู่หนึ่ง เจียงซ่างเจินก็หัวเราะขึ้นมา “บัณฑิตอย่างพวกเจ้านี่นะ!”
รายงานขุนเขาสายน้ำบางส่วนประสานกับบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำส่วนหนึ่ง สามารถรวบรวมผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ต่อให้อยากหลบซ่อนก็ซ่อนไม่อยู่เอาไว้มากมาย ปล่อยไปสักหลายสิบปีถึงร้อยกว่าปีก็แล้วกัน ช่วงเวลาระหว่างนี้ขอแค่ภูเขาลั่วพั่วตั้งใจจับสังเกตให้มาก จดจำถ้อยคำที่แสดงความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรมเหล่านั้นเอาไว้ ก็จะสามารถสืบสาวเบาะแสไปจนเจอ แล้วทำการพลิกค้นภูเขาทำเนียบวงศ์ตระกูลน้อยใหญ่ทั้งหลายได้ตามแต่ใจปรารถนา
เลี้ยงปลา
สามารถรู้ใจเจ้าขุนเขาหนุ่มได้ดีขนาดนี้ เจ้าหนึ่งคำข้าหนึ่งคำ อีกทั้งความคิดยังโลดแล่นไปไกลโดยที่ไม่พบเจอกับอุปสรรคแม้แต่น้อย เจียงซ่างเจินกับชุยตงซานสามารถทำได้อย่างผ่อนคลาย
ประคับประคองสนับสนุนรายงานขุนเขาสายน้ำสองสามฉบับที่ ‘ขอให้ข้าได้พูดจาเป็นธรรมสักสองสามประโยค’ ขึ้นมา ขณะเดียวกันก็จับตามองเรื่องของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำหลากหลายสีสันบนภูเขาต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีปในอนาคต อันที่จริงตอนนี้ในใจของเฉินผิงอันมีตัวเลือกสำหรับคนที่จะมารับหน้าที่นี้แล้วด้วยซ้ำ นั่นคือเจี่ยเฉิง นักพรตเฒ่าตาบอดที่อยู่ในร้านฉ่าวโถวตรอกฉีหลง และยังมีนักบัญชีน้อยในห้องบัญชีบนภูเขาลั่วพั่วอย่างจางเจียเจิน แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกคิดถึงคฤหาสน์หลบร้อนในปีนั้นเล็กน้อย อันที่จริงผู้ฝึกตนสายอิ่นกวาน แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือในด้านนี้ ต่อให้จะเป็นรายงานขุนเขาสายน้ำที่ต้องลงมือเขียนด้วยตัวเอง ก็ยังเขียนได้ง่ายดายราวกับกวักมือเรียกก็มาหา หลินจวินปี้ กู้เจี้ยนหลง เฉากุ่น เสวียนเซิน…
รอให้เรื่องของการเลื่อนเป็นสำนักและสำนักเบื้องล่างสิ้นสุดลง ก็ควรต้องไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสักรอบแล้วจริงๆ
กลับไปที่ศูนย์ฝึกยุทธในอำเภอ เฉินผิงอันก็ปลดกระบี่ที่แขวนไว้บนผนังลงมาสะพายไว้ด้านหลัง
สวีหย่วนเสียที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะลุกขึ้นยืน
เฉินผิงอันกำลังจะเอ่ยถ้อยคำที่คิดไว้คร่าวๆ ก่อนแล้วออกมา คาดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะยิ้มพลางโบกมือ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ยื่นมือมาจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เฉินผิงอัน ด่ากลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เจ้าเด็กตัวเหม็น เจ้าคิดว่าชีวิตนี้สวีหย่วนเสียมีชีวิตอยู่เพียงแค่เพื่อให้ได้ดื่มเหล้ากับพวกเจ้าสองคนหรือ? หลายปีมานี้ที่กลับมาอยู่บ้านเกิดได้แต่รอคอยตาปริบๆ ให้พวกเจ้าสองคนมาหาทุกวันหรือไร? ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย เปิดศูนย์ฝึกยุทธ ดื่มชาร่ำสุรากับสหายในยุทธภพ สานสัมพันธ์กับทางการ ตอนกลางวันสอนวิชาหมัดวิชาเท้าให้กับพวกลูกศิษย์ ตอนกลางคืนรวมเล่มบันทึกขุนเขาสายน้ำ ยุ่งนักล่ะ คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก อยู่มาจนอายุปูนนี้ มีชีวิตอยู่ได้ก็อยู่ต่อไป หากถึงเวลาที่ควรจะจากไปก็ต้องจากไป”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
สวีหย่วนเสียถอยหลังไปสองก้าว ยิ้มพลางพยักหน้า รูปโฉมของเจ้าเฉินผิงอันผู้นี้นับว่าคมคาย หล่อเหลากว่าเจ้าเด็กจางซานเฟิงนั่นอยู่หลายส่วน
สุดท้ายผู้เฒ่าเอ่ยว่า “ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่มีดวงจันทร์สามดวง มีมือกระบี่กี่มากน้อยที่ต้องไปตายอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แต่ละคนนึกจะจากก็จากไปเหมือนกันไม่ใช่หรือ? ลองนึกถึงพวกเขา แล้วลองหันกลับมามองสวีหย่วนเสีย ก็ไม่ควรอิดเอื้อนเหมือนสตรีอีกต่อไปแล้ว”
เฉินผิงอันยกสองมือกุมเป็นหมัด “พี่ใหญ่สวี รักษาตัวด้วย”
คนทั้งกลุ่มเดินเท้าออกมาจากอำเภอเซียนโหยว พอไปถึงจุดที่เงียบสงบห่างไกลผู้คนท่ามกลางขุนเขาสายน้ำ เจียงซ่างเจินก็สะบัดชายแขนเสื้อ เก็บเด็กๆ กลุ่มนั้นใส่ไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อก่อน จากนั้นค่อยทะยานลมไปที่เรือเมฆากับเฉินผิงอันและเผยเฉียน อันที่จริงเรือข้ามฟากอยู่ห่างจากภูเขาชิงหลิงมาแค่สามร้อยลี้เท่านั้น เพียงแต่ว่ามีเวทอำพรางตาของเซียนเหริน ด้วยตบะของเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรที่ชอบฝึกตนอย่างสงบผู้นั้น คาดว่าต่อให้เบิกตากว้างมองหาหลายร้อยปีก็คงยังหาไม่พบ
เรือข้ามฟากลำนี้มุ่งหน้าไปทางเหนือ แน่นอนว่าจะต้องผ่านลำน้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่ทะเลซึ่งอยู่หน้าบ้านของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน
เฉินผิงอันเดินไปที่หัวเรือ หลุบตาลงมองลำน้ำใหญ่คดเคี้ยวราวกับมังกรตัวหนึ่ง
เจียงซ่างเจินกับเผยเฉียนเดินมาอยู่ข้างกาย
เผยเฉียนเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์พ่อ หวังจูผู้นั้นเหมือนจะปิดด่านอยู่ในพื้นที่ลับแห่งหนึ่งใต้ทะเล มีลางว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จื้อกุยคือมังกรที่แท้จริงเพียงตัวเดียวบนโลก รวบรวมโชคชะตาจำนวนนับไม่ถ้วนไว้บนร่าง ในอดีตตอนที่หวังจูฝ่าทะลุคอขวดเซียนเหรินก็สามารถมองเป็นขอบเขตบินทะยานครึ่งตัวได้แล้ว ดังนั้นถึงได้มีการจับคู่เข่นฆ่ากับเฟยเฟยในครานั้น บนสนามรบของนครมังกรเฒ่าครั้งนั้นนางยังถูกกระบองจากหยวนโส่วฟาดใส่เต็มแรง แต่กระนั้นก็ยังแค่บาดเจ็บในส่วนของเนื้อหนังเส้นเอ็นและกระดูกเท่านั้น ไม่ได้ทำลายไปถึงรากฐานมหามรรคาของนาง
เจียงซ่างเจินฟุบตัวลงบนราวรั้ว เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “หากไม่เป็นเพราะยังมีชิงจ้งฮูหยินจากหลุมน้ำลู่ที่ได้ตำแหน่ง ‘เทพพิรุณ’ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากศาลบุ๋นมาทำหน้าที่ปกครองเผ่าพันธุ์เจียวหลงทั้งหมดบนบก แบ่งเอาโชคชะตาน้ำของไพศาลไปส่วนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเด็กสาวอย่างหวังจูผู้นี้ หากนางเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้ก็คงไร้ขื่อไร้แปจริงๆ แล้ว”
สายตาของเฉินผิงอันมืดทะมึน เอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไรมานางก็เชี่ยวชาญเรื่องฉวยผลประโยชน์หลบเลี่ยงหายนะอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่คนที่สยบกำราบนางได้ตามธรรมชาติพอคนหนึ่งจากไป คนใหม่ก็มาทันที ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องมีคนคนนั้นอยู่ด้วยตลอดเวลา”
เจียงซ่างเจินกล่าว “ก็มีตรอกหนีผิงของเจ้านี่แหละที่ทำให้คนเดินอย่างอกสั่นขวัญผวาที่สุด ไม่พูดถึงเจ้าขุนเขา อ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ทุกวันนี้ก็อยู่ในเมืองหลวงแห่งที่สองนี่เอง สาวใช้ของเขาก็ยิ่งเป็นมังกรที่แท้จริงที่กำลังจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน ตระกูลเหล่าเฉาที่บ้านบรรพบุรุษอยู่ที่นั่น เฉาซี เฉาจวิ้น หนึ่งตระกูลสองเซียนกระบี่ อีกทั้งกู้ช่านที่ไปอยู่นครจักรพรรดิขาว ตอนนี้ก็มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ว่ากันว่าเมื่อหลายปีก่อนได้ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์เป็นรอบที่สอง ไปพัวพันมีเรื่องกับขอบเขตหยกดิบที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง กู้ช่านไล่ตามเขาไปอธิบายเหตุผลอยู่หลายปี ทุกวันเข่นฆ่ากันพลางพร่ำบ่นไปด้วย ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบคนนั้นเกือบจะถูกกู้ช่านบีบให้เป็นบ้าไปแล้ว สุดท้ายถึงกับกลับมานครจักรพรรดิขาวพร้อมกับกู้ช่านด้วย”
เฉินผิงอันถาม “ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบคนนั้นกริ่งเกรงนครจักรพรรดิขาว หรือไม่ก็ละโมบอยากได้มรรคกถาของนครจักรพรรดิขาวมานานแล้วหรอกหรือ?”
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “ไม่ใช่จริงๆ ก็แค่จิตแห่งมรรคาทนรับกู้ช่านไม่ไหว”
เฉินผิงอันเงียบงันไป
หากพูดถึงแค่เรื่องของความอดทน อันที่จริงปีนั้นในบรรดาคนทั้งสาม แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นกู้ช่านที่อายุน้อยที่สุดแต่กลับมีความอดทนดีเยี่ยมที่สุด
——