พอคิดถึงเจ้าขี้มูกยืดน้อยในอดีต ก็คิดไปถึงหลิวเสี้ยนหยาง คิดถึงหลิวเสี้ยนหยางก็คิดไปถึงเซอเยว่ที่ไม่รู้จักทันที พริบตานั้นความคิดพลันแบ่งแยกออกไป คิดไปถึงซือถูหลงชิวที่คล้ายจะมีความคิดเห็นบางอย่างต่อหลิวเสี้ยนหยาง คิดถึงผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตประตูมังกรของถนนอวี้ฮู่ก็อดนึกไปถึงห้าสุดยอดทั้งใหม่และเก่าในกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้ พอคิดถึงศิษย์พี่ใหญ่ที่ ‘ปกป้องมรรคาสร้างสถานการณ์ถามใจอย่างยากลำบาก’ ความคิดของเฉินผิงอันก็ย้อนกลับมาคิดถึงห้าสุดยอดนั่นอีกครั้งทันที…
อาเหลียงพฤติกรรมการเดิมพันดีที่สุด ใช้น้ำลายสระผม เฒ่าหูหนวกคนต้องพูดภาษาคน ลู่จืองามล่มบ้านล่มเมือง เซียนกระบี่ใหญ่หมี่นับแต่โบราณมาความรักลึกซึ้งมิอาจรั้งเขาไว้ได้
ซือถูหลงชิวข้าสาบานว่าเป็นเรื่องจริง กู้เจี้ยนหลงขอให้ข้าผู้อาวุโสได้พูดประโยคเป็นธรรมสักคำ ต่งถ่านดำจ่ายเงินราวน้ำไหล หวังซินสุ่ยก่อนต่อสู้ข้าใช้ได้ หลังต่อสู้ช่างข้าเถอะ
เฉินผิงอันฟุบตัวบนราวระเบียง ลมเย็นพัดโชยมาปะทะใบหน้า
เจียงซ่างเจินพลันเอ่ยว่า “เรื่องของความคิด ต้องระวังไว้บ้างแล้ว หากกลายเป็นจิตใจที่เตลิดเหมือนวานรและม้าพยศจริง เท่ากับจำแลงเป็นเทวบุตรมารนอกโลกครึ่งตัวแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องทำนองนี้ แต่คนโง่บนภูเขาก็ยังรู้ว่ามันเป็นปัญหาอย่างมาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “กำลังแก้ไข”
นี่คือโรคร้ายที่ทิ้งไว้ภายหลังหลังจากอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานเกินไป ฝึกฝนร่างกายและเรี่ยวแรงนับว่ายังพอจะดีหน่อย แต่เรื่องของการฝึกฝนจิตใจ นับแต่โบราณมาก็เป็นดาบสองคม และเฉินผิงอันเองก็ไม่อยากจะเดินไปบนเส้นทางประหารสามอสุภะอย่าง ‘บัณฑิต’ หยางหนิง เพราะจะใกล้ชิดกับลัทธิเต๋าเกินไป ทว่าก็เคยมีภิกษุกลางภูเขารูปหนึ่งบอกกล่าวแก่เฉินผิงอันอย่างชัดเจนว่าการศึกษาพระธรรม ไม่ใช่การหนีเรื่องทางโลกมุ่งสู่ฌาน เมื่อมีประโยคนี้ เฉินผิงอันก็วางใจได้มาก
ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่ถามถึงภิกษุ ‘หนุ่ม’ กับเหยาเซียนจือว่าเขาได้ไปจำวัดอยู่ในวัดแห่งใดของใบถงทวีปหรือไม่ อันที่จริงเป็นเพราะเฉินผิงอันต้องการเป็นฝ่ายตามหาวิธีในการคลี่คลายปัญหาด้วยตัวเอง ทางที่ดีที่สุดคือสามารถช่วยให้ตัวเองมุ่งตรงเข้าหาเจตจำนงเดิม พระธรรมสายของหนิวโถวฌาน เพียงแค่ประโยคว่า ‘ไผ่เขียวขจีคือตัวพระธรรม ดอกไม้เหลืองสดใสคือปัญญา’ ยังไม่พอ ต่อให้เฉินผิงอันจะอาศัยสิ่งนี้มายืดขยายความจนบรรลุไปถึงอีกประโยคหนึ่งที่มาจากหาดหินหวงเฮ้อของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาซึ่งบอกว่า ‘ยามที่ปทุมาไม่ร่วงโรย บุปผาแห่งปัญญาย่อมผลิบานได้เอง’ แต่กระนั้นก็ยังคงไม่เพียงพอ
เฉินผิงอันพลันเงยหน้ามองม่านฟ้า ก่อนจะก้มหน้าไล่มองไปตามลำน้ำใหญ่สายนั้น มองตรงไปจนถึงภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป เอ่ยว่า “ข้าจะไปเยือนศาลของลำน้ำใหญ่รอบหนึ่ง แล้วเราไปรวมตัวกันบริเวณใกล้เคียงกับเมืองหลวงแห่งที่สอง”
เจียงซ่างเจินกล่าว “เจ้าขุนเขาทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านได้อย่างเชี่ยวชาญถึงแก่นจริงๆ”
เผยเฉียนถาม “ข้าไปกับอาจารย์พ่อด้วย?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ขี่กระบี่จะเร็วมาก เจ้าตามไม่ทันหรอก”
เผยเฉียนพยักหน้า
เฉินผิงอันยื่นสองนิ้วออกไปปาดเบื้องหน้าหนึ่งที “ไป”
กระบี่ยาวออกจากฝัก พุ่งไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ทะยานไปถึงชั้นเมฆ
เฉินผิงอันงอเข่าสองข้างลงเล็กน้อย แล้วจึงดีดร่างขึ้นสูง เรือเมฆาทั้งลำลดดิ่งฮวบลงมาตาม ถึงกับลดต่ำไปหลายสิบจั้ง จมเข้าไปในทะเลเมฆผืนใหญ่
เผยเฉียนเงยหน้ามองไปยังทิศทางที่ร่างของอาจารย์พ่อพุ่งหายไป เพียงไม่นานสายตาของนางก็มองไม่เห็นร่องรอยของเขาอีก จึงเกาหัวเอ่ยว่า “ตามไม่ทันจริงๆ”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ปณิธานของเซียนกระบี่ ร่างกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ขี่กระบี่อย่างเต็มกำลัง ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเป็นขอบเขตยอดเขา ตามทันสิถึงจะแปลก ไม่อย่างนั้นอาจารย์พ่อของเจ้าจะถามกระบี่กับเผยหมิ่นได้อย่างไร”
เผยเฉียนถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “หากตอนนั้นเจ้าตามไปทันการถามกระบี่ของอาจารย์พ่อข้า แล้วบวกกับศิษย์พี่เล็กไปด้วยอีกคน?”
อาจารย์พ่อคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง
โจวเฝยคือผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตถดถอยจากบินทะยานมายังเซียนเหริน
ศิษย์พี่เล็กคือคอขวดขอบเขตเซียนเหริน
อาจารย์พ่อนั้นไม่ต้องพูดมากแม้แต่ครึ่งคำ ที่เหลืออีกสองคนต่างก็เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหารและ…หนีเอาชีวิตรอด
เวทคาถา วิชาอภินิหาร สมบัติอาคม รวมไปถึงความสามารถก้นกรุก็ยิ่งมีมากมายก่ายกอง
หากเผยหมิ่นไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตบินทะยานทั่วไป เผยเฉียนก็ไม่จำเป็นต้องถามคำถามเช่นนี้เลย ตกอยู่ในน้ำมือของพวกอาจารย์พ่อสามคน ไม่ถูกซ้อมจนตายก็ต้องถูกผลาญพลังจนตายไปอย่างช้าๆ
ผลคือเจียงซ่างเจินกลับเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่ต่างชุยตงซาน “รักษาชีวิตก็มีวิธีของการรักษาชีวิต สู้สุดชีวิตก็มีวิธีการสู้ให้สุดชีวิต”
เผยเฉียนฟุบตัวลงบนราวรั้ว ทอดสายตามองไปยังทิศไกล “เจ้าสำนักเจียง ขอบคุณนะ”
เจียงซ่างเจินเองก็มองไปยังทิศไกล ยิ้มเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ข้ารีบไปนครเซิ่นจิ่งหรือ?”
เผยเฉียนส่ายหน้า “ขอบคุณพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของเจ้าที่ทำให้ข้าได้พบกับอาจารย์พ่อเร็วกว่าเดิม”
เจียงซ่างเจินถอนหายใจ
ตนสามารถตามความคิดของเจ้าขุนเขาหนุ่มได้ทัน แต่กลับตามความคิดของเผยเฉียนไม่ทันเลยจริงๆ
เผยเฉียนมีสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าสำนักเจียง วันหน้าหากมีคนที่ไม่เหมาะให้เจ้าลงมือก็มาบอกข้าสักคำ ข้าจะไปถามหมัดให้ แต่เจ้าต้องรับรองว่าจะไม่บอกกับอาจารย์พ่อของข้า รวมไปถึงหากอาจารย์พ่อของข้ารู้เรื่องภายหลังก็จะต้องไม่โกรธเกินไปนัก”
เจียงซ่างเจินยิ้มกว้างเจิดจ้า “ตกลงตามนี้!”
เผยเฉียนยิ้มตาหยี
เจียงซ่างเจินกระซิบถามเบาๆ อย่างลับๆ ล่อๆ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ทำไมข้าถึงได้ยินมาว่าหลิวโยวโจวมีความคิดแบบนั้นกับเจ้าล่ะ?”
เผยเฉียนมีสีหน้ากังขา จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่จริงกระมัง ใครโง่ถึงขนาดเล่าลือกันไปอย่างส่งเดชเช่นนั้น ข้าเคยเจอหน้าเขาที่ศาลเหลยกงแค่ครั้งเดียว ไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ เอาเป็นว่ามองดูแล้วน่าจะเป็นคนทึ่มคนหนึ่ง”
เผยเฉียนรู้สึกจากใจจริงว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ จะมาชอบนางทำไม นางก็ไม่ได้สวยอะไรสักหน่อย
สำหรับสกุลหลิวของธวัลทวีป ความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวของเผยเฉียนก็คือมีเงิน ตอนที่เดินทางไปท่องเที่ยวราชวงศ์ต้าตวนเพียงลำพัง เผยเฉียนเคยได้สัมผัสเรื่องนี้กับตัวเองมาก่อนแล้ว ส่วนหลิวโยวโจวผู้นั้น ความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวที่นางมีต่อเขาก็คือชุดคลุมเสื้อไผ่ที่เจ้าโง่นั่นสวมบนร่างเวลานั้น มองดูแล้วท่าจะมีมูลค่าอย่างมาก
บนม่านฟ้า คนชุดเขียวขี่กระบี่หยุดลอยตัวนิ่ง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ก้มหน้าลงมองโลกมนุษย์
น่าเสียดายที่แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ไม่มีอริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นนั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าอีกแล้ว
เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างร่วงดิ่งลงสู่พื้นดิน กระบี่ยาวสอดกลับเข้าฝักได้ด้วยตัวเอง
อยู่ห่างจากศาลของลำน้ำใหญ่มาอีกหลายสิบลี้ คนชุดเขียวพลันพลิ้วกายลงพื้น
บนถนนทางหลวงมีรถม้าสัญจรกันขวักไขว่
เฉินผิงอันเดินอยู่ริมตลิ่งของลำน้ำใหญ่ ถอนเวทอำพรางตาออก หันหน้ามายิ้มเอ่ย “เสียมารยาทแล้ว อาจารย์สวี่”
ข้างกายมีบุรุษคนหนึ่งที่พาดกระบี่ไว้ด้านหลังในแนวขวางปรากฏตัว เขาพยักหน้าพร้อมคลี่ยิ้มบางๆ “ข้าก็ว่าใครกันที่ใจกล้าขนาดนี้ ถึงขนาดกล้าทิ้งตัวดิ่งลงมาจากท้องฟ้า”
จอมยุทธพเนจรสำนักโม่ เซียนกระบี่สวี่รั่ว
เฉินผิงอันประสานมือคารวะ
สวี่รั่วกุมหมัดคารวะกลับคืน
คนทั้งสองเดินตรงไปยังศาลของลำน้ำใหญ่ด้วยกัน
เฉินผิงอันถามว่า “หลินโส่วอียังเป็นคนเฝ้าศาลอยู่หรือไม่?”
สวี่รั่วส่ายหน้า “ไม่บังเอิญเลย หลินโส่วอีเพิ่งจะออกจากหน้าที่คนเฝ้าศาลกลับไปยังสำนักศึกษาซานหยา อีกเดี๋ยวก็จะได้เป็นรองเจ้าขุนเขาแล้ว”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าขุนเขาคนใหม่ของสำนักศึกษาซานหยาก็มีแล้วหรือ?”
สวี่รั่วอืมรับหนึ่งที เฉินผิงอันยื่นเหล้าแสงจันทร์กาหนึ่งส่งไปให้ สวี่รั่วรับกาเหล้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ ดื่มไปหนึ่งอึก เอ่ยชมคำหนึ่งว่าสุราดี แล้วจึงพูดว่า “คือวิญญูชนใหญ่คนหนึ่งของสำนักศึกษากวานหู เฉินผิงอัน เจ้าคงไม่รู้สึกยอกแสลงใจหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ประโยคนี้เอามาจากที่ใดกัน ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย”
สวี่รั่วเดินมาส่งเฉินผิงอันจนถึงลานกว้างนอกศาลของลำน้ำใหญ่ ใช้เสียงในใจเอ่ยกึ่งหยอกล้อว่า “ระหว่างเจ้าและข้า แค่ดื่มเหล้าก็พอแล้ว ทางที่ดีที่สุดอย่าได้ถามกระบี่กันเลย”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ยากมาก”
สวี่รั่วหมุนกายจากไป
ในสายตาของคนทั่วไป นี่คือบุรุษที่เกียจคร้านคนหนึ่ง
เฉินผิงอันจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เดินไปที่ประตูใหญ่ของศาลเพียงลำพัง
เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน หันหน้ามองไปยังคนสามคน
คนคุ้นหน้ามีค่อนข้างเยอะ
ซ่งจี๋ซินอดีตเพื่อนบ้านในตรอกหนีผิง ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองของต้าหลีทุกวันนี้
หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา
ยังมีเซียนดินอ่อนเยาว์ที่ไม่รู้จักอีกคนหนึ่ง เป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าโชคชะตาบู๊ที่อยู่บนร่างต่างไปจากปกติเล็กน้อย
น่าจะเป็นสหายครึ่งตัวในบรรดา ‘สหายครึ่งหนึ่ง’ ที่หม่าขู่เสวียนเคยพูดถึง ผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาเจินอู่ อวี๋สืออู้ ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะยังถูกขนานนามให้เป็นหลี่ถวนจิ่งคนที่สามของแจกันสมบัติทวีป เพราะคำเรียก ‘หลี่ถวนจิ่งคนที่สอง’ เคยเป็นของเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ เพียงแต่ว่าได้ยินมาว่าทุกวันนี้เว่ยจิ้นเป็นเซียนกระบี่ใหญ่แล้ว คำกล่าวที่เดิมทีเป็นการชื่นชมว่าคุณสมบัติในการฝึกกระบี่ของเว่ยจิ้นดีเยี่ยมนี้จึงคล้ายจะเปลี่ยนมาเป็นคำด่าคน ผู้คนจึงทำได้เพียงไม่ยกเรื่องเก่ามาพูดอีก
หม่าขู่เสวียนจุ๊ปากพูด “การต่อสู้ครั้งที่สาม ให้ข้ารอตั้งยี่สิบกว่าปี เฉินผิงอันเจ้าใช้ได้เลยนี่นา”
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคนทั้งสาม ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “หนึ่งในตัวสำรองคนรุ่นเยาว์ ข้าไม่กล้าไปมีเรื่องด้วยหรอก”
อวี๋สืออู้ผู้นั้นหยุดเดิน ชูสองมือขึ้น “เทพเซียนตีกัน อย่าลากข้าไปเกี่ยวข้องด้วย”
ซ่งจี๋ซินยืนเคียงบ่ากับคนผู้นี้ พยักหน้าเอ่ย “เช่นเดียวกัน”
หม่าขู่เสวียนยังคงเดินไปเบื้องหน้า สายตาฉายประกายเร่าร้อน “เซอเยว่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ฉุนชิงแห่งภูเขาชิงเสิน เจียงไท่กงเด็กหนุ่ม หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์กับอีกสองตัวสำรอง ข้าล้วนเคยขอความรู้มาก่อนแล้ว ธรรมดา ธรรมดาอย่างมาก ไม่สมคำเล่าลือ แค่คู่ควรจะแบ่งแพ้ชนะ ไม่คู่ควรจะแบ่งเป็นตาย”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้ากับเจ้าก็แบ่งแพ้ชนะกันหรือ? ดูเหมือนจะใช่ทั้งสามครั้ง บอกไว้ก่อนว่าเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม จงเห็นค่าและทะนุถนอมโอกาสครั้งสุดท้ายให้ดี”
หม่าขู่เสวียนหยุดเดิน สิบนิ้วของสองมือสอดเข้าด้วยกันแล้วกดมือลงเบาๆ “ไปตีกันที่ไหน?”
เฉินผิงอันเอ่ย “วันนี้ช่างเถิด วันหน้าจะไปที่ภูเขาเจินอู่หรือภูเขาลั่วพั่วก็แล้วแต่เจ้า”
หม่าขู่เสวียนยิ้มบางๆ “ไม่สู้เลือกที่นี่เลยดีไหม?”
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพลันคลี่ยิ้ม สองมือสอดกันไว้ในชายแขเสื้อ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “วันนี้ช่างเถิด”
ซ่งจี๋ซินเดินไปหาเฉินผิงอัน “เดินไปด้วยกันหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร สุดท้ายทั้งสองคนก็เดินไปที่หน้าประตูใหญ่ของศาลด้วยกัน เดินขึ้นบันได ก่อนจะข้ามธรณีประตู
คนที่กริ่งเกรงอย่างแท้จริงไม่ใช่หม่าขู่เสวียน แต่เป็นอวี๋สืออู้ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะนั่งดูไฟชายฝั่ง
หม่าขู่เสวียนกับอวี๋สืออู้หยุดอยู่นอกประตู ฝ่ายหลังยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากแบ่งแพ้ชนะ ดูเหมือนว่าจะสู้ไม่ได้”
หม่าขู่เสวียนรู้นิสัยของอวี๋สืออู้ดี อีกฝ่ายไม่ได้พูดจากระทบกระเทียบหรือคิดจะกระพือไฟจริงๆ สหายครึ่งตัวคนนี้หากไม่พูดอะไรเลย ก็มักจะพูดความจริงเสมอ
ในอดีตตอนที่หม่าขู่เสวียนเพิ่งไปอยู่ภูเขาเจินอู่ คนที่เขาเกลียดที่สุดก็คือเจ้าอู๋สืออู้ที่ปากไม่มีหูรูดผู้นี้ เพียงแต่ว่าอยู่บนภูเขานานวันเข้า กลับกลายเป็นว่าเกลียดอีกฝ่ายไม่ลง หากอิงตามลำดับศักดิ์ อวี๋สืออู้ที่อายุไม่มาก ยังถือเป็นบรรพจารย์ลุงของหม่าขู่เสวียนด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ ก็คือ อู๋สืออู้ก็คืออาจารย์ลุงของเจ้าขุนเขาภูเขาเจินอู่ ส่วนเรื่องที่เขาอายุน้อยๆ แต่เหตุใดถึงมีลำดับศักดิ์เช่นนี้ได้ ก็ต้องถือว่าเป็นลำดับศักดิ์ที่หล่นลงมาจากฟ้าจริงๆ การที่สวี่ป๋ายไปเยือนภูเขาเจินอู่ก็เพราะติดตามบรรพจารย์สำนักการทหารสองท่านที่มีแซ่เจียงและแซ่เว่ย ทยอยไปเยือนสำนักเบื้องล่างอย่างศาลลมหิมะแลภูเขาเจินอู่ ส่วนอวี๋สืออู้นั้น ยามที่เรียกบรรพจารย์สำนักการทหารสองท่านจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็แค่ต้องเรียกว่าอาจารย์ลุง อาจารย์อาเท่านั้น
หลังจากสงครามใหญ่ที่หอบรวมสองใต้หล้าไว้ด้วยกันผ่านพ้นไป กระแสลมจึงถูกฝนพัดพาลอยไป คนที่ได้ปิดฉากลงมีมากมายนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันก็มีหินที่ผุดหลังน้ำลดบังเกิดขึ้นมาตามสถานการณ์ คนที่แย่งชิงขึ้นฝั่ง คนที่ลุกผงาดมีมากมาย แต่สุดท้ายแล้วใครกันที่จะเป็นคนที่ได้ยึดครองอันดับหนึ่งไปเพียงลำพัง หม่าขู่เสวียนยังไม่ได้ต่อสู้กับเจ้าหมอนั่นเป็นครั้งที่สาม จะเป็นตนหรือเป็นเขา ก็บอกได้ยากแล้ว แต่หม่าขู่เสวียนมั่นใจได้ว่า ต้องไม่ใช่เซอเยว่ ฉุนชิงและสวี่ป๋ายแน่นอน ส่วนอวี๋สืออู่สหายครึ่งตัวที่อยู่ข้างกายนี้ ในฐานะผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง แต่กลับพึ่งพาโชคชะตาบู๊มากเกินไป อีกทั้งกระเพาะยังใหญ่เกินไป ก็ได้แต่อาศัยการรอคอยเท่านั้น ต่อให้เพื่อรับมือกับสงครามใหญ่ครั้งนั้นสำนักการทหารจะได้รับการยอมรับจากศาลบุ๋นโดยปริยาย ยอมแหกกฎมอบ ‘โชคชะตาบู๊’ สองส่วนให้กับอวี๋สืออู้ แต่กระนั้นก็ยังขาดอีกสองส่วนถึงจะรวบรวมได้ครบถ้วน ทุกวันนี้สงครามใหญ่ปิดฉากลงแล้ว ไอ้หมอนี่ก็ได้แต่เบิกตารอคอยไปเรื่อยๆ เท่านั้น
คาดว่าสิ่งเหล่านี้คงเป็นแผนการของซิ่วหู่ผู้นั้น ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางและบรรพจารย์สำนักการทหารสองท่านจึงได้แต่ฝืนใจยอมรับไว้เท่านั้น
หม่าขู่เสวียนกับอวี๋สืออู้เดินไปถึงริมน้ำของลำน้ำใหญ่ หม่าขู่เสวียนเคี้ยวต้นหญ้า สองมือสอดรองกันไว้ใต้ท้ายทอย
อวี๋สืออู้นั่งอยู่ด้านข้าง ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ดูเหมือนเฉินผิงอันจะมองรากฐานของข้าออกแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่เดินไปถึงยอดเขาสูงสุดของวิถีแห่งวรยุทธแล้ว”
หม่าขู่เสวียนยิ้มกล่าว “ไม่ใช่ขอบเขตสิบเอ็ดเสียหน่อย”
อวี๋สืออู้เอ่ยโน้มน้าวว่า “หม่าขู่เสวียน เชื่อข้าเถอะ การต่อสู้ครั้งนี้ อย่าสู้เลย จริงๆ นะ”
หม่าขู่เสวียนทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ยกขาไขว่ห้าง กระตุกมุมปาก “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่ไปหาเขา เจ้าหมอนั่นก็จะไม่มาหาข้าแล้ว?”
อวี๋สืออู้ถามอย่างฉงน “เจ้าไม่เคยชอบเล่าเรื่องของบ้านเกิด เมื่อก่อนข้าเองก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องพวกนี้ หรือว่าเจ้ากับเฉินผิงอันผู้นั้นมีบุญคุณความแค้นเป็นเงื่อนตายที่ไม่อาจคลี่คลายได้จริงๆ?”
หม่าขู่เสวียนถ่มต้นหญ้าที่เคี้ยวละเอียดทิ้งออกจากปาก แล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิ ไม่ได้ให้คำตอบ ปฏิทินเหลืองบางอย่าง เปิดข้ามไปไม่ได้ ต้องมีคนฉีกออกเท่านั้น
เดินไปถึงในศาลกันอย่างช้าๆ ซ่งจี๋ซินก็ยิ้มถามว่า “หนังสือสามเล่มนั้น เจ้าจะคืนให้ข้าเมื่อไหร่?”
ก่อนหน้านี้คนทั้งสองต่างก็เชิญธูปกันออกมาคนละสามดอก ในศาลคนเบียดเสียดกันแออัด ทุกหนทุกแห่งล้วนน่าอึดอัดทั้งสิ้น
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่ได้เอามาสักหน่อย”
——