“ผลการฝึกตนของเจ้าก็แค่ราชาเทพช่วงกลาง แม้จะสามารถสังหารราชาเทพช่วงปลาย ทว่าขยะอย่างหลูเฉิงหลงน่ะ ข้าก็สามารถสังหารภายในกระบวนท่าเดียวได้เช่นกัน ไม่รู้ว่าเจ้าจะสามารถต้านทานกระบวนท่าของข้าได้สักกี่กระบวนท่าล่ะ?”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ฉีเตียหลงก็หกระเหินเดินฟ้ามุ่งหน้าเดินตรงไปทางหลัวซิว พลังออร่าบนตัวเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เหมือนภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งกดอัดลงไปทางหลัวซิวพร้อมกับเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น

“เป็นออร่าที่ธรรมดาทั่วไปมาก”

หลัวซิวประเมินค่าอย่างสุขุมเรียบนิ่ง ราวกับปรมาจารย์โลกยุทธ์ยุคหน่ึงประเมินค่าผู้น้อยคนหนึ่งยังไงอย่างนั้น

“ช่างโอหังยิ่งนัก!”

จิตสังหารของฉีเตียหลงเดือดพล่าน ยกมือขึ้นแล้วสะบัดออกไปทีหนึ่ง รัศมีเทวสองลำแสงก็ยิงตรงออกไป เกิดเป็นเสียงระเบิดดังสนั่นคล้ายเสียงฟ้าร้อง ทำลายสุญญากาศจนสลายเป็นฝุ่นผง

รัศมีเทวสองลำแสงนั่นคือกระบี่บินสองเล่มที่โดดเด่น เล่มหนึ่งสีเขียว เล่มหนึ่งสีฟ้า ต่างสอดคล้องกับกฎธาตุลมและอัสนี

มิน่าล่ะฉีเตียหลงถึงมั่นใจเช่นนี้ ฝึกกฎลมและอัสนีพร้อมกัน อีกทั้งกฎสองธาตุนี้ยังสามารถประกอบเสริมซึ่งกันและกันได้ด้วย ทำให้พลานุภาพเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นักยุทธ์ที่อยู่ภายใต้แดนเดียวกันแทบจะไม่มีผู้ใดที่เป็นคู่ต่อสู้เขา แล้วจะนับประสาอะไรกับผู้ที่ผลการฝึกตนอยู่ต่ำกว่าตน?

เสียงลมที่โหมพัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งร้องคำราม ม้วนพาคมลมสีเขียวที่นับไม่ถ้วนฉีกกระชากสรรพสิ่ง แสงอัสนีทั้งหมดค่อย ๆ แผ่กระจายออกไป ตัดสลับกันจนก่อเป็นแหอัสนี ผนึกฟ้าดินเพื่อป้องกันไม่ให้หลัวซิวหลบหนี

สีหน้าหลัวซิวไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยแม้แต่น้อย เห็นเพียงเขาย่างเท้าก้าวไปข้างหน้า คมลมและแสงอัสนีทั้งหมดพรั่งพรูมา ขณะที่พวกมันอยู่ในขอบเขตหนึ่งร้อยเมตรของเขาอยู่นั้น ก็พบว่าปริภูมิบิดเบี้ยวไปอย่างต่อเนื่อง รอยร้าวเริ่มปรากฏทีละรอย ปริภูมิแต่ละจุดเริ่มทรุดตัวลง กลืนกินการโจมตีทุกอย่างจนหายวับไป

ภายในขอบเขตบริเวณหนึ่งร้อยเมตรโดยที่มีตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ถูกหลัวซิวทำให้กลายเป็นอาณาจักรปริภูมิที่แข็งแกร่งมากกว่าเดิม ภายใต้การโคจรกฎปริภูมิ รอยร้าวและปริภูมิที่ทรุดตัวลงสามารถกลืนกินการโจมตีส่วนมากจนทำให้การโจมตีเหล่านั้นสลายหายไปได้

วิชาการใช้กฎปริภูมิประเภทนี้ เป็นสิ่งที่หลัวซิวเพิ่งตระหนักรู้ได้เมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากเขาค้นพบว่าตัวเองขาดวิธีการพิเศษในการยึดกุมและใช้กฎมาโดยตลอด

เมื่อเห็นว่าหลัวซิวไม่เกรงกลัวการโจมตีของพลังลมอัสนีเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของฉีเตียหลงจึงเปลี่ยนแปลงไป “กฎปริภูมิหรือ?”

มีความรู้สึกอิจฉาอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวใจเขา เนื่องจากผู้สืบทอดนายท่านคนต่อไปของตระกูลฉีในอนาคต และอัจฉริยะดั่งเขายังไม่สามารถตระหนักรู้ในกฎปริภูมิได้เลย ไอ้หมอนี่มันมีคุณธรรมและความสามารถอะไร ไม่นึกเลยว่าจะสามารถฝึกพลังแห่งกฎชั้นยอดได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?

“ขอเพียงฆ่าเจ้า ข้าก็จะได้รับวรยุทธ์ของเจ้า ไม่แน่ข้าก็สามารถฝึกกฎปริภูมิได้เช่นกัน!”

นึกคิดเช่นนี้อยู่ในใจ ฉีเตียหลงยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว มีรังสีที่สว่างไสวสะท้อนออกมาจากกระบี่ลมอัสนีทั้งสองเล่ม แล้วฟาดฟันตรงไปทางหลัวซิวพร้อมกัน

กระบี่ยุทธ์สองเล่มนี้คือราชาแห่งศัสตราวุธชั้นยอดสุด ซึ่งมีพลังแห่งกฎลมอัสนีขั้น 5 ซ่อนแฝง สามารถสังหารราชาเทพช่วงปลายภายในพริบตาได้อย่างง่ายดาย และสามารถทำให้กึ่งมกุฎเทพทั่วไปบาดเจ็บสาหัส

หลัวซิวยื่นมือออกไปคว้า หอกยุทธ์มังกรดำก็ปรากฏอยู่ในมือเขาดุจมังกรพิโรธสีดำตัวหนึ่ง พลังยันต์ค่ายโจมตีระดับ 9 ทั้ง 33 ยันต์ บวกกับพลังแห่งโลกาดาราทั้ง 28 จุด เมื่อเขาแทงหอกออกไป ปริภูมิบริเวณรอบ ๆ จึงว่างเปล่าไปภายในพริบตา

หอกนี้ไม่มีกฎใด ๆ แฝงซ่อนอยู่ ทว่ากลับสามารถข่มกฎได้ ซึ่งมันก็คือพลังสยบสรรพภพ!

ตู้มม!

เสี้ยววินาทีที่พุ่งชนกัน ลำแสงสองลำแสงก็พุ่งทะยานขึ้นสู่นภาสูง เห็นได้ชัดเจนแต่ว่ากระบี่ลมอัสนีคู่นั้นถูกหอกเดียวของหลัวซิวกระแทกจนกระเด็นออกไป

หอกยุทธ์ของหลัวซิวไม่หยุดชะงักลงเลยแม้แต่น้อย ฉีกกระชากบดขยี้ปริภูมิจนแตกสลายอย่างต่อเนื่อง แทงตรงเข้าไปทางฉีเตียหลง

ฉีเตียหลงรีบตะคอกเสียงดังลั่นในทันที กระจกบานหนึ่งถูกเขาเรียกออกมา กลายเป็นเกราะป้องกันหนึ่งชั้น พยายามต้านทานหอกนี้ของหลัวซิวเอาไว้

และแล้วในเสี้ยววินาทีที่หอกนี้กำลังจะพุ่งชนใส่เกราะป้องกันอยู่นั้น หอกยุทธ์มังกรดำและร่างกายของหลัวซิวกลับหายวับไปกะทันหัน

“ช่วยข้าด้วย!”

ฉีเตียหลงได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังมาจากข้างหลัง ซึ่งเจ้าของเสียงดังกล่าวก็คือฉีชวงชวงนั่นเอง