เฉินผิงอันจ้องมองม้วนภาพแล้วเอ่ยเนิบช้ากับตัวเองว่า “ภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาไฉ่อวิ๋นและภูเขาเซียนฉ่าวยังไม่ต้องไปพูดถึง ภูเขาลั่วพั่วคือที่ตั้งของภูเขาบรรพบุรุษ ภูเขาหลังอ๋าวได้ให้เจ้าเกาะหลิวเช่าไปแล้ว ภูเขาเจินจูเล็กเกินไปจริงๆ ภูเขาหนิวเจี่ยวคือท่าเรือตระกูลเซียน หงเซี่ยได้ไปบุกเบิกจวนวารีอยู่ใต้น้ำของภูเขาหวงหูแล้ว ข้องราชามังกรของหลิงจวินและหน่วนซู่ก็ได้หลอมมาทำเป็นค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำของที่นั่น ถ้าอย่างนั้นภูเขาที่ตอนนี้ยังเหลือว่างอยู่ก็มีภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาจูซา ยอดเขาเว่ยเซี่ย หอบูชากระบี่ ภูเขาเซียงฮว่อ ยอดเขาหย่วนมู่ เนินจ้าวตู๋ ภายในสิบปี พิธีเปิดขุนเขาคงไม่ต้องจัดแล้ว ภูเขาเจ็ดลูก ตอนนี้พวกเจ้าสามารถเลือกกันได้แล้ว”
หงเซี่ยลุกขึ้นยืน พูดเสียงสั่นว่า “เจ้าขุนเขา ข้าย้ายไปอยู่ในพื้นที่มงคลรากบัวแล้ว ได้ครอบครองแม่น้ำลำคลองสายหนึ่งของที่นั่น ตามหลักแล้วควรจะมอบภูเขาหวงหูให้คนอื่น จวนวารีก็มอบให้กับ…อวิ๋นจื่อแล้วกันเจ้าค่ะ”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ยิ้มมองหงเซี่ย ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ต้อง โชควาสนาตระกูลเซียนของเจ้าอยู่ที่ภูเขาหวงหู ไม่ว่าจะด้านส่วนรวมหรือด้านส่วนตัว เจ้าล้วนไม่อาจยกภูเขาหวงหูให้ใครได้”
หงเซี่ยกำลังจะพูด เฉินผิงอันกลับโบกมือ “วางใจให้สบายเถอะ เก็บจวนวารีแห่งนั้นเอาไว้”
หงเซี่ยจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก นางรีบยอบกายคารวะทันที “ขอบพระคุณเจ้าขุนเขา”
เจียงซ่างเจินรู้สึกปลงอนิจจังยิ่งนัก แล้วยังจะบอกว่าไม่ใช่เผด็จการอีกหรือ? หากเป็นที่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วนจะต้องมีคนกี่มากน้อยที่หันมาถ่มน้ำลาย ทุบเก้าอี้ใส่ตน?
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “หงเซี่ย ไม่ต้องระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้ การประชุมในศาลบรรพจารย์ เจ้าก็คือส่วนหนึ่ง เป็นคนที่มีเก้าอี้ อยู่ที่นี่ เหตุผลใหญ่ที่สุด หลังออกไปจากศาลบรรพจารย์ใครกล้าหาเรื่องเจ้า เจ้าก็มาหาข้าได้เลย ข้าจะช่วยอธิบายเหตุผลให้เจ้าเอง”
ชุยตงซานพยักหน้า “นั่นสิๆ”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “ที่ข้าพูดก็หมายถึงเจ้านั่นแหละ วันหน้าเจ้าอย่าได้เอาแต่ข่มขู่หงเซี่ย”
ชุยตงซานใช้หางตาเหลือบมองไปทางหงเซี่ย หงเซี่ยรีบมองมายังเจ้าขุนเขาตามจิตใต้สำนึกทันใด เฉินผิงอันที่เพิ่งจะถอนสายตากลับมาจากม้วนภาพแห่งขุนเขาสายน้ำจึงได้แต่มองไปทางชุยตงซานอีกครั้ง ชุยตงซานก็ได้แต่ยกชายแขนเสื้อสองข้างขึ้น
สุยโย่วเปียนที่เงียบมาโดยตลอดเอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยากเอาหอบูชากระบี่มาเป็นสถานที่ฝึกตน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้”
สุยโย่วเปียนขมวดคิ้วถาม “ทำไม?”
เฉินผิงอันหาข้ออ้างง่ายๆ ว่า “สำนักอื่นโอสถทองเปิดขุนเขา แต่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราต้องเป็นก่อกำเนิด”
หอบูชากระบี่ เฉินผิงอันมีคนที่เลือกไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว ชุยเหวยเป็นผู้นำ ตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนล้วนอยู่ที่นั่น
สุยโย่วเปียนไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่เหมาะสม
สุยโย่วเปียนคลี่ยิ้ม
เฉินผิงอันรู้ว่าเหตุใดสุยโย่วเปียนถึงได้ยิ้มเช่นนี้ อันที่จริงหากนางคิดจะฝ่าคอขวดโอสถทองนั้นไม่ยาก หากอยากจะเลื่อนเป็นก่อกำเนิดจริงๆ ปีนั้นตอนที่อยู่บนหอบินทะยาน นางก็สามารถทำได้แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม สุยโย่วเปียนถึงจงใจรั้งขอบเขตเอาไว้
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ”
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งที เก็บม้วนภาพนั้นลงไป ถอยหลังไปสามสี่ก้าว ยืนอยู่ข้างเก้าอี้ มือหนึ่งวางไว้บนพนักพิงเก้าอี้ เอ่ยว่า “การที่ภูเขาลั่วพั่วยังต้องอำพรางตัวต่อไป สาเหตุมีอยู่สามข้อ ข้อแรก ข้าเคยเป็นอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่มาสิบกว่าปี ศัตรูที่หลบซ่อนตัวมีอยู่ไม่น้อย ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นเผ่าปีศาจทั้งหมด ข้อที่สอง ในอดีตข้าเคยมีบุญคุณความแค้นส่วนตัวอยู่สองเรื่อง เรื่องของเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตกับราชวงศ์ต้าหลีที่เป็นผู้ตรวจการงานเตาเผามังกร พ่อแม่ของหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา ความอาฆาตแค้นบางอย่างเกี่ยวพันไปไกลมาก ไม่แน่ว่าในอุตรกุรุทวีปก็อาจมีคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ก็ยังมีสกุลสวี่นครลมเย็นที่ปีนั้นร่วมมือกับภูเขาตะวันเที่ยง ข้ากับหลิวเสี้ยนหยางเกือบจะถูกฆ่าตาย ข้อที่สาม ในฐานะลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง อีกไม่นานตัวตนของข้าจะถูกเปิดเผยเหมือนน้ำลดหินผุด ถึงเวลานั้นจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สถานการณ์ใหญ่ที่พุ่งมาอย่างดุดัน ถึงเวลานั้นปัญหายุ่งยากจะมีมากมาย ลำพังอาศัยแค่กระบี่บินกับหมัดยังคงไม่ได้ผล ในเรื่องนี้ข้าขอบอกกับพวกเจ้าไว้ก่อนว่า ทุกท่านโปรดเตรียมตัวให้ดี แน่นอนว่ามีข้าอยู่ด้วย อีกฝ่ายย่อมไม่อาจสมใจปรารถนาได้ง่ายขนาดนั้น”
“เพียงแต่ว่าบางครั้งที่ต้องการให้ทุกท่านออกแรง ข้าก็จะไม่เกรงใจพวกเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งตบพนักเก้าอี้เบาๆ “ดังนั้นก่อนหน้าที่จะเป็นเช่นนี้ข้าจึงจำเป็นต้องใช้มีดเร็วตัดเชือกที่พันกันยุ่งเหยิง จัดการกับกิจธุระในบ้านที่อยู่ใกล้มือให้ดี สกุลซ่งต้าหลี ภูเขาตะวันเที่ยง นครลมเย็น หลักๆ แล้วคือสามฝ่ายนี้ อืม ยังต้องบวกกับสวนน้ำค้างวสันต์ที่จัดการค่อนข้างง่ายเข้าไปอีกหนึ่ง ดังนั้นในช่วงเวลาอันใกล้นี้ข้าจะต้องเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปด้วยตัวเองรอบหนึ่ง”
เฉินผิงอันมองไปทางเพ่ยเซียง เจ้าแห่งแคว้นหูรีบลุกขึ้นยืนทันใด
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “เพ่ยเซียง เจ้าจงอยู่ในพื้นที่มงคลรากบัวให้สบายใจ จัดการกิจธุระของแคว้นหูให้เหมาะสม ฟ้าไม่มีทางถล่มลงมา ในเมื่อเจ้ากลายเป็นผู้ถวายงานของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วพวกเราแล้ว คนครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน ผลกรรมน้อยนิดแค่นั้นที่มีกับสกุลสวี่นครลมเย็น ข้าจะช่วยสะบั้นให้เจ้าเอง จะไม่เหลือภัยแฝงอยู่อีกแม้แต่น้อย แต่บอกไว้ก่อนว่าเจ้าไม่ต้องมีการกระทำที่เป็นการทำลายผลประโยชน์ของแคว้นหูเพียงแค่เพื่อจงใจประจบเอาใจศาลบรรพจารย์แห่งนี้ ไม่มีความจำเป็นเลย ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรามีขนบธรรมเนียมที่ไม่ค่อยเหมือนกับภูเขาทั่วไป ค่อนข้างจะมีเหตุผล หลายปีที่อยู่ร่วมกันมานี้ เชื่อว่าผู้ถวายงานเพ่ยเซียงน่าจะรู้ดีแก่ใจ”
เพ่ยเซียงรีบยอบกายคารวะทันใด
เฉินผิงอันผงกศีรษะรับ จากนั้นก็พูดต่อว่า “ต่อจากนี้จะมาพูดคุยกันเรื่องสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่ว ซึ่งจะเลือกที่ตั้งเป็นใบถงทวีป”
เฉินหลิงจวินเบิกตากว้าง อะไรนะ? จะมีสำนักเบื้องล่างแล้ว? ถ้าอย่างนั้นเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่าง ก็คงเป็นหน้าที่ที่ตนมิอาจเกี่ยงงอนได้สินะ เขาจึงกระแอมสองสามที เตรียมจะลุกขึ้นยืน แต่เฉินผิงอันกลับยิ้มเอ่ยว่า “ทำไม นายท่านใหญ่หลิงจวินคิดจะไปเยือนใบถงทวีปด้วยตัวเองสักรอบหรือ? จะเป็นการเอาคนมีความสามารถไปใช้ในงานเล็กน้อยเกินไปหรือไม่?”
เฉินหลิงจวินรีบเอาก้นวางลงบนเก้าอี้ทันที หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “ไม่ไปๆ นายท่านล้อกันเล่นเสียแล้ว ข้าแขนขาเล็กบาง ภาระบนภูเขาลั่วพั่วก็หนักมากพอแล้ว”
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็ยังเลือกพูดไปตามตรง “เดิมทีข้าคิดจะให้เฉาฉิงหล่างรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่าง แต่กังวลว่าเรื่องการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างจะไม่ได้เป็นเพียงสถานการณ์อันซับซ้อนระหว่างสามทวีปอย่างแจกันสมบัติทวีป ใบถงทวีปและอุตรกุรุทวีปเท่านั้น หากตัวตนสองอย่างของข้าถูกเปิดเผย จะต้องมีเรื่องไม่คาดฝันอีกเยอะมากที่จะเกิดกับสำนักเบื้องล่าง”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ข้าเป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักเบื้องล่างก็แล้วกัน พลิกเปลี่ยน ต้องพลิกเปลี่ยนเสียหน่อย”
แสร้งทำเป็นร้องเอ๊ะอย่างตกตะลึงหนึ่งที ชุยตงซานก็โน้มตัวไปด้านหน้า ยืดคอยาวมองไปทางหมี่อวี้ เอ่ยว่า “คราวนี้ดีแล้ว มีตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างเพิ่มมาอีกตำแหน่งแล้ว เซียนกระบี่ใหญ่หมี่? เจ้าว่าบังเอิญหรือไม่?”
หมี่อวี้เพิ่งจะรู้สึกผ่อนคลายสบายเนื้อสบายตัวได้ไม่นานเท่าไร เวลานี้กลับทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจอีกครั้ง เขามองไปทางเฉินผิงอันด้วยท่าทางน่าสงสาร พูดหน้าเบ้ว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน เป็นขุนนางอะไรนั่น ข้าทำไม่ได้จริงๆ นะ ต่อให้ข้าไม่ได้เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง แต่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งต้องทำ ข้าก็ยอมนะ!”
ทางฝั่งของจวนไช่เฉวี่ย ไม่เพียงหลิ่วกุ้ยเป่าคนเดียว ยังมีเทพธิดาทำเนียบวงศ์ตระกูลที่สายตาฉายประกายเร่าร้อนอีกหลายคนที่ทำให้หมี่อวี้กลัดกลุ้มยิ่งนัก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างสามารถเลือกไว้ก่อนแล้วค่อยพิจารณากันใหม่อีกทีได้ ถึงอย่างไรขอแค่เจ้าเลื่อนเป็นเซียนเหริน ไม่ว่าอะไรก็คุยได้ง่าย”
หมี่อวี้ถอนหายใจโล่งอก สามารถเลื่อนไปได้วันหนึ่งก็วันหนึ่งเถอะ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองสุยโย่วเปียน ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ข้าได้พบกับอาจารย์ของเจ้า ทุกวันนี้เขาใช้นามแฝงว่าหนีจาน เป็นคนพายเรือผู้เฒ่าที่พายเรือข้ามแม่น้ำของหาดหินหวงเฮ้อ ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวตั้งนานแล้ว ทุกวันนี้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ และยังมีเรื่องเล่าลือที่บอกว่าพิฆาตยุงเหนือแม่น้ำอะไรนั่นอีก ตอนที่เจ้าไปฝึกตนอยู่ที่สำนักกุยหยก อันที่จริงก็น่าจะเคยได้ยินมาก่อน เมืองฉีเฮ้อที่พวกเราเคยไปเยือนก็คือ ‘ร่องรอยเซียน’ แห่งหนึ่งที่อาจารย์ของเจ้าทิ้งไว้ยามที่ ‘บินทะยาน’ ออกไปจากบ้านเกิด”
สุยโย่วเปียนมีสีหน้าซับซ้อน พยักหน้ารับเบาๆ สองมือกำที่วางแขนเก้าอี้แน่น
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งที ภาพขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ของภูเขาเหล่าจวินในพื้นที่มงคลก็ปรากฏขึ้นมา
เฉินผิงอันอธิบายสถานการณ์บนภูเขาและล่างภูเขาของใบถงทวีปในทุกวันนี้ให้ทุกคนฟังคร่าวๆ ก่อน ภูเขาไท่ผิง สกุลเหยาต้าเฉวียนตั้งตนเป็นกษัตริย์ สันนิบาตใบท้อ ท่าเรือชวีซาน ยอดเขาเทียนแจว๋…
จ้งชิวเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างอยู่ในใบถงทวีป อันที่จริงวางตัวได้ยากยิ่งกว่าเลือกที่ตั้งอยู่ในแจกันสมบัติทวีปเสียอีก เพราะหากไม่ทันระวัง พวกเราก็จะต้องผูกปมแค้นกับผู้ฝึกตนของทั้งแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีป ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนของสองทวีปลงใต้แทรกซึมไปทั่วใบถงทวีป สถานการณ์รุดไปเบื้องหน้าเหมือนผ่าลำไม้ไผ่ ง่ายที่จะเกิดความขัดแย้งด้านผลประโยชน์กับพวกเขา หากต่างฝ่ายต่างแค่หาเงินทองเข้ากระเป๋า เป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง กลับกลายเป็นว่าพูดได้ง่าย ไม่แน่ว่าอาจยังถือโอกาสกลายเป็นพันธมิตรกันได้ด้วย แต่หากภูเขาลั่วพั่วต้องการคำว่าเหตุผล กลับยากแล้ว”
เว่ยเซี่ยนหรี่ตาลง มองไปทางม้วนภาพขุนเขาสายน้ำภาพนั้น “ยาก? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก หลังจากเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างแล้ว หากอิงตามความหมายของเจ้าขุนเขาที่จะใช้มีดเร็วตัดปมเชือกที่พัวพันกันยุ่งเหยิง ยกตัวอย่างเช่นอุตรกุรุทวีป เงื้อมีดใส่สำนักฉงหลิน แจกันสมบัติทวีป เงื้อมีดใส่แซ่ใหญ่นอกเหนือจากตระกูลฟ่านและตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่า ขอแค่มีดนั้นฟันลงไปไวพอ ต่อให้คนด้านข้างไม่โดนฟันไปด้วย แต่ขอแค่ตาไม่บอด มองเห็นแล้ว ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดได้อยู่ดี”
ชุยตงซานพยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ แต่สายตากลับมองไปทางเฉาฉิงหล่างที่จมสู่ภวังค์ความคิดคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
เฉาฉิงหล่างเงียบคิดไปพักใหญ่ก็เอ่ยว่า “แทนที่จะเข้าไปพัวพันกับปมเชือกยุ่งเหยิงที่ต่างฝ่ายต่างก็ถือปลายอีกด้านหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง ไม่สู้เอาตามที่เว่ยเซี่ยนบอก ท่ามกลางสถานการณ์ของสองทวีป หาคนสองคนที่ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิงออกมา จากนั้นพวกเราค่อยมาเป็นคนอธิบายเหตุผล แบบนี้จะปลอดโปร่งโล่งใจอย่างมาก คนนอกมองเห็นประกายคมกริบของมีดก็จะมีเหตุผลตามไปด้วย อย่างน้อยที่สุดเมื่อพบเจอพวกเราก็จะเป็นฝ่ายอ้อมเดินไปทางอื่นเอง แต่พวกเราที่…กระทำการอย่างเผด็จการเช่นนี้ กลับยังคงไม่พอ ยังต้องมีการวางแผนในนอกประสาน สันนิบาตใบท้อ? พวกเราก็ทำได้เหมือนกัน อาจารย์ได้ยกเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน ยอดเขาเทียนแจว๋ สกุลเหยาต้าเฉวียนมาพูดแล้ว อันที่จริงยังสามารถเลือกพันธมิตรหนึ่งฝ่ายมาจากทั้งอุตรกุรุทวีปและแจกันสมบัติทวีปได้ ทางที่สุดที่สุดคือไปสานสัมพันธ์กับสกุลหลิวธวัลทวีปให้ดี แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว มากพอแล้ว! ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่เซี่ยที่เป็นทั้งผู้ถวายงานของสกุลหลิวธวัลทวีป แล้วยังเป็นเค่อชิงของพวกเราด้วย แบบนี้ก็สามารถรบกวนให้นางช่วยนำความไปบอกแทนพวกเราได้แล้วหรือไม่? แต่ห้ามทำให้เซียนกระบี่เซี่ยรู้สึกลำบากใจเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็จะได้ไม่คุ้มเสียแล้ว จะทำให้สิ้นเปลืองความสัมพันธ์ควันธูปที่ล้ำค่าอย่างถึงที่สุดของอาจารย์ไปเสียเปล่า”
ชุยตงซานปรบมือแย้มยิ้ม
หมี่ลี่น้อยฟังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใด แต่เอาเป็นว่าปรบมือตามต้องไม่มีทางผิดไปแน่นอน
สุยโย่วเปียนพลันเอ่ยว่า “ข้าสามารถรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างได้ รอให้ข้าเป็นขอบเขตก่อกำเนิดก่อน”
จ้งชิวยิ้มกล่าว “ข้าสามารถไปเยือนใบถงทวีปเป็นเพื่อนเฉาฉิงหล่างรอบหนึ่งได้ ให้เฉาฉิงหล่างฝึกประสบการณ์ไปอีกสักหลายๆ ปี ไม่ต้องรีบร้อนเป็นเจ้าสำนักอะไรนั่น”
หมี่อวี้เห็นว่าสถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้วก็รีบเปลี่ยนใจ ยิ้มกล่าวทันใด “ข้าสามารถไปเป็นผู้ช่วยอาจารย์จ้งได้”
เฉาฉิงหล่าง ชุยตงซาน จ้งชิว หมี่อวี้ สุยโย่วเปียน
บวกกับเจียงซ่างเจินที่คอยประสานงานอย่างลับๆ อีกคนหนึ่ง
แทบจะเรียกได้ว่าเป็นแผนการที่ไร้ช่องโหว่แล้ว
เฉินผิงอันถาม “พื้นที่มงคลรากบัวล่ะ?”
จ้งชิวยิ้มพลางย้อนถาม “เจ้าขุนเขา?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด
ฉางมิ่งพลันถามว่า “ทางฝั่งของภูเขาฮุยเหมิง?”
อันที่จริงยังมีอีกสามคนที่ฝึกตนอยู่ที่ภูเขาฮุยเหมิงอย่างสันโดษ กากเดนราชวงศ์จูอิ๋งที่ใช้นามแฝงว่าเส้าพอเซียน เหมิงหลงสาวใช้ ชิวสือผู้ฝึกตนหญิงของเรือข้ามทวีปภูเขาต่าเจี้ยวอุตรกุรุทวีปในอดีตที่ใช้นามแฝงว่าสือชิว
เฉินผิงอันเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ “หลังจากส่งแขกที่มาเข้าร่วมงานพิธีกลับไปแล้ว ข้าค่อยไปเยือนภูเขาฮุยเหมิงสักรอบ หากพวกเขาเต็มใจก็ให้เข้ามาอยู่ในทำเนียบของภูเขาลั่วพั่วได้เลย”
ผู้คุมกฎฉางมิ่งไม่เอ่ยอะไรอีก
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เหม่อมองไปทางประตูใหญ่
อันที่จริงยังมีเรื่องอีกมากมายที่สามารถปรึกษากันได้ ยกตัวอย่างเช่นพื้นที่มงคลรากบัว เส้นทางการค้าสามเส้น การจัดการความสัมพันธ์กับราชวงศ์ต้าหลี การจัดการกับเงินเทพเซียนมากมายขนาดนั้นในห้องบัญชี การอบรมปลูกฝังรายงานขุนเขาสายน้ำ ซากปรักที่ตั้งศาลเทพภูเขาที่อยู่บนยอดเขาจี๋หลิงยอดเขาหลัก จะสามารถสร้างจุดศูนย์กลางค่ายกลกระบี่พิทักษ์ภูเขาแห่งหนึ่งขึ้นมาได้หรือไม่…
รอกระทั่งเฉินผิงอันคืนสติก็สังเกตเห็นว่าในศาลบรรพจารย์นอกจากตนแล้ว ทุกคนถึงกับเดินออกกันไปหมดแล้ว
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน หมุนตัวเดินถอยหลัง พอหยุดฝีเท้าก็เงยหน้ามองภาพแขวนสามภาพนั้น
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลน ก่อนที่จะเงื้อกระบี่ฟาดฟันบนภูเขาสุ้ยซาน เขาเคยเอ่ยประโยคหนึ่งโดยไม่ตั้งใจว่า ‘ตีกันก็ตีสิ’
หลังจากที่ได้คุยเล่นกับอาเหลียง ถึงได้รู้ว่าเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนได้มีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนหนึ่งทิ้งประโยคหนึ่งไว้ริมน้ำว่า ‘ตีกันก็ตีสิ’
เฉินผิงอันหัวเราะ หมุนตัวเดินก้าวยาวๆ ไปทางประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์
ส่วนใครแพ้ใครชนะในสถานการณ์ถามใจครั้งที่สองนั้น ตอนที่อยู่ลำน้ำฉีตู้ อันที่จริงเฉินผิงอันก็เข้าใจแล้ว คิดจะเอาชนะศิษย์พี่ใหญ่ชุยฉานให้ได้ก็ต้องมีกำลังใจที่ว่าข้าสามารถเล่นหมากล้อมชนะซิ่วหู่ได้เสียก่อน เมื่อมีความคิดเช่นนี้ ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะชนะ แต่หากไม่มีใจเช่นนี้ ทุกเรื่องก็ไม่ต้องหวังเลย
คนชุดเขียวสะพายกระบี่จากไป ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าคือผู้ดูแลขุนเขาสายน้ำแห่งนครชิงตู” (ชิงตูเปรียบเปรยถึงสวรรค์)
เมื่อมือกระบี่ชุดเขียวก้าวข้ามธรณีประตูออกมา ภายใต้แสงตะวันสาดส่อง ทุกคนที่รออยู่ด้านนอกต่างก็หันไปมองเขาอย่างพร้อมเพรียง
ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ อาจารย์พ่อ หรือเจ้าขุนเขา
ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าบุรุษที่เดินออกมาจากประตูใหญ่ผู้นั้น ดุจดั่งเทพเจ้า
——