ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันงีบหลับอยู่ในศาลบรรพจารย์ ทุกคนที่อยู่นอกห้องโถงต่างก็รอคอยให้เจ้าขุนเขาปรากฏตัวกันเงียบๆ
สำหรับผู้ฝึกตน การนอนหลับพักผ่อนก็คือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ชีวิตคนก็มีแค่สองเรื่องคือตื่นกับหลับเท่านั้น ชั่วชีวิตนี้ ยามที่มาก็คือการตื่นใหญ่ ยามที่จากไปก็คือการหลับใหญ่
ชุยตงซานสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ชำเลืองตามองเจียงซ่างเจินที่จอนผมสองข้างเริ่มเป็นสีขาว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตะวันจันทราดุจมดบนแท่นโม่ ข้าผู้อาวุโสร่ายรำอย่างอิสระเสรี”
เดิมทีเจียงซ่างเจินกำลังพูดจาแสดงความอิจฉาเซียนกระบี่หมี่ที่พอไม่มีภาระก็ตัวเบา ส่วนหมี่อวี้ก็กำลังเอ่ยชื่นชมความมีคุณธรรม บนบ่าแบกภาระหนักดุจเหล็กไว้อย่างองอาจของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งโจวอย่างเลื่อมใสบูชา
พอได้ยินคำทอดถอนใจของชุยตงซาน เจียงซ่างเจินก็ยิ้มเอ่ยว่า “เดินทางกลับแม้เมามาย ยกโคมไฟมองหากระบี่ ถามท่านว่ามีเรื่องไม่สงบสุขใดหรือไม่ ประโยคนี้ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ”
หมี่อวี้ฟังด้วยความมึนงงสนเท่ห์ เสียเปรียบอย่างหนักเพราะอ่านหนังสือมาไม่มาก เพียงแต่อยู่ดีๆ ก็นึกอยากจะปลอมตัวเป็นผู้กล้าออกไปท่องยุทธภพล่างภูเขาดูสักรอบ ชุดขาวควบม้า จะได้ทำความรู้จักกับจอมยุทธ์หญิงน่ารักสดใสมากๆ หน่อย
ชุยตงซานเริ่มบ่นเฉาฉิงหล่าง ตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลเจ้าได้อันดับหนึ่งติดต่อกันสามครั้งในการสอบ พอไปถึงสนามสอบของต้าหลีกลับได้เป็นแค่ปั้งเหยี่ยนในการสอบครั้งล่าสุด แล้วก็ได้เป็นแค่เปียนซิว (ตำแหน่งขุนนางทำหน้าที่เป็นผู้เรียบเรียง แก้ไข ตรวจสอบตำราและเอกสารต่างๆ) ฮั่นหลินซึ่งเป็นขุนนางระดับหกชั้นโทของต้าหลี ทำเอาเขาที่เดินทางไปยังสวนกงเต๋อในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางครั้งนี้ไม่กล้าคุยโวให้อาจารย์ปู่ฟัง ตาเฒ่าต่งของศาลบุ๋น โจวมี่อดีตเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอวี๋ฝู เจ้าคนที่เล่นหมากล้อมห่วยแตกสองคนนี้ได้อ่านบทความทั้งหลายที่เจ้าเขียนในการสอบไปแล้ว คำประเมินไม่ถือว่าสูงเท่าใดนัก อาจารย์ปู่มีตำแหน่งเป็นแค่ซิ่วไฉ ยังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า ก็ได้แต่ให้ตาเฒ่าต่งและเจ้าขุนเขาโจวช่วยตรวจสอบ ช่วยเขียนคำวิจารณ์ให้เชิงอรรถ จึงต้องเอาบทความของเจ้าไปให้พวกเขาน่ะสิ
เฉาฉิงหล่างรับเอากระดาษคำตอบสามสี่แผ่นที่ ‘ถูกขโมยมา’ จากกรมพิธีการต้าหลีมาแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ด้านบนมีตัวอักษรสีชาด วงกลม และคำอธิบายของอาจารย์ผู้เฒ่าต่งกับเจ้าขุนเขาโจวอยู่เยอะมากจริงๆ คำวิจารณ์ก็มีอยู่บ้าง เพียงแต่มีไม่มาก ที่มากกว่ายังคงเป็นถ้อยคำไพเราะที่มีความพิถีพิถันและกะน้ำหนักหนักเบาดียิ่ง
อันที่จริงไม่เพียงแต่กระดาษคำตอบของเฉาเปียนซิวเท่านั้น กระดาษคำตอบหน้าพระที่นั่งของสามอันดับหนึ่งและจิ้นซื่ออันดับสองของการสอบหน้าพระที่นั่งในครั้งนี้ล้วนถูกชุยตงซานหอบเอามาด้วยจนเกลี้ยง แล้วเอาไปไว้ที่สวนกงเต๋อ หลังจากตาเฒ่าต่งอ่านกระดาษคำตอบเหล่านั้นจบก็เอ่ยทอดถอนใจมาหนึ่งประโยคว่า แสงตะวันสาดเรื่อรอง ก้อนเมฆลอยขึ้นสูง มารวมกันที่ต้าหลี ผู้มากความสามารถดารดาษ คือความงามแห่งขุนเขาสายน้ำ
เฉาฉิงหล่างถาม “ศิษย์พี่เล็ก ตำแหน่งเปียนซิวแห่งฮั่นหลินของข้า เมื่อไหร่ถึงจะลาออกได้หรือ?”
อันที่จริงเรื่องของการเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ต้าหลีก็ไม่ได้เป็นความตั้งใจเดิมของเฉาฉิงหล่างเช่นกัน แต่เป็นจูเหลี่ยนที่พูดยุยง อาจารย์จ้งเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถทำได้ เฉาฉิงหล่างถึงได้เริ่มจากการสอบระดับท้องถิ่น สอบระดับจังหวัด สอบระดับแคว้น และสอบระดับหน้าพระที่นั่งตามลำดับ สอบจนกระทั่งติดอันดับเป็นปั้งเหยี่ยน ดูเหมือนว่าสายของเหวินเซิ่ง หากพูดถึงแค่เรื่องของยศจากการสอบเคอจวี่ก็ดูเหมือนว่าภาระทั้งหมดจะตกลงมาบนบ่าของเฉาฉิงหล่างคนเดียว และเฉาฉิงหล่างก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังจริงๆ ต่อให้ราชวงศ์ต้าหลีจะคืนแผ่นดินครึ่งหนึ่งกลับไปให้ ทว่าปัญญาชนของอีกครึ่งทวีปก็ยังคงแย่งชิงกันอยากเป็นปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบสองสนามอย่างสอบระดับแคว้นและสอบหน้าพระที่นั่งในเมืองหลวงที่ต้าหลีเป็นผู้บุกเบิกก่อนใครที่ยิ่งมีผู้มากความสามารถมาเข้าร่วมนับไม่ถ้วน ทุกคนล้วนเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตลำดับต้นๆ เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นปั้งเหยี่ยนของการสอบครั้งล่าสุดอย่างเฉาฉิงหล่างนี้จึงมีน้ำหนักมากอย่างถึงที่สุด
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “จะลาออกจากขุนนางทำไม? เดี๋ยวศิษย์พี่เล็กจะช่วยหางานเรียบเรียงตำราประวัติศาสตร์ให้เจ้าทำ การตรวจสอบของกรมขุนนางก็จะช่วยขวางไว้ให้เจ้าด้วย ถือเสียว่าเป็นฮั่นหลินหลางคนหนึ่งที่ได้นั่งเก้าอี้เย็นล่วงหน้าไปก่อนสองสามปีแล้วกัน”
สุยโย่วเปียนยืนอยู่ข้างกายอาจารย์จ้งชิว คนหนึ่งสละวิถีวรยุทธอย่างเด็ดเดี่ยว หันไปฝึกตนฝึกกระบี่ ตั้งปณิธานไว้ว่าจะใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่ ถือกระบี่บินทะยาน อีกคนหนึ่งกลับถึงขั้นสามารถฝึกฝนวิชาอภินิหารของลัทธิขงจื๊อได้ระหว่างทาง สอดผสานเข้ากับหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในตำรา สุดท้ายจึงสร้างโอสถทองได้สำเร็จ ล้วนไม่ใช่คนธรรมดากันทั้งนั้น
แม้ว่าสุยโย่วเปียนจะไม่ชอบแย้มยิ้มพูดคุยกับสามคนที่เหลือในภาพวาด แต่กับอาจารย์จ้งนางกลับให้ความเคารพนับถืออย่างมาก เวลานี้กำลังเอ่ยแสดงความยินดีกับเขา “อาจายร์จ้งใช้ภาพบรรยากาศของวิญญูชนผู้เที่ยงตรงแห่งสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อมาสร้างโอสถทองได้ เป็นเรื่องที่ล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง”
จ้งชิวยิ้มกล่าว “สนใจแต่เรื่องการหว่านไถ ไม่สนใจเรื่องผลเก็บเกี่ยว เจ้าและข้าต่างก็มีความคิดเหมือนกัน”
อันที่จริงอาจารย์ของสุยโย่วเปียนที่อยู่ในบ้านเกิดของพวกเขา จ้งชิวก็รู้จัก แต่ไหนแต่ไรมาราชครูจ้งก็อ่านตำราหลากหลาย เรื่องลับแห่งยุทธภพ เกร็ดประวัติพงศาวดาร ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนอ่านหมด บัณฑิตผู้นั้นอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวถูกมองเป็นบุคคลที่ไม่ต่างจากอริยะแห่งลัทธิขงจื๊อ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นเซียนกระบี่ที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง เอาเป็นว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ที่เขียนถึงเขาไม่ว่าจะเป็นในบทประพันธ์ส่วนตัว หรือในเกร็ดพงศาวดารก็หนีไม่พ้นว่า แค่เขาอ้าปากก็พ่นเม็ดกระบี่ออกมา แสงสีขาวเปล่งวาบทีเดียว หัวคนพลันกลิ้งหล่นจากบ่า ส่วนคำเรียกขานของจ้งชิวที่บอกว่า ‘อริยะบุ๋นปรมาจารย์บู๊’ นั้น คำว่า ‘อริยะบุ๋น’ แท้จริงแล้วก็สามารถถือได้ว่าเป็นแบบอย่างคนรุ่นหลังตามหลังอาจารย์ท่านนั้นของสุยโย่วเปียน
หลูป๋ายเซี่ยงถามเว่ยเซี่ยน “ทำไมถึงยังไม่รับลูกศิษย์สักที?”
เว่ยเซี่ยนตอบ “รอให้ลูกศิษย์ของเจ้ารับลูกศิษย์ ข้าค่อยรับ อายุน้อย ลำดับศักดิ์สูง ได้เปรียบมาเปล่าๆ หากขนาดนี้แล้วยังไร้อนาคต ก็จะตีให้ตาย”
เผยเฉียนพลันเอ่ยว่า “เหล่าเว่ย เจ้าบอกว่าการเข่นฆ่าในสนามรบไม่มีค่ายกลงูตัวยาวเหมือนอักษรอี (一) หรือค่ายกลประตูมังกรอะไร ก็แค่จัดขบวนให้แน่นอน แนวตรงแนวขวางพุ่งตะบึงไปข้างหน้าอย่างเสรีเท่านั้น สุดท้ายต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเอง สะบัดดาบสะเปะสะปะ ฟันคนมั่วซั่ว เมื่อก่อนข้าไม่เชื่อ มักจะรู้สึกว่าเจ้าพูดหลอกข้า รอจนข้าไปเยือนเกราะทองทวีป ถึงได้รู้สึกว่าดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้จริงๆ”
เว่ยเซี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง นวดคลึงปลายคาง “คำพูดที่มีความรู้ขนาดนี้ ปกติข้าไม่ค่อยพูดนะ หรือว่าเป็นคำพูดหลังจากข้าดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว?”
เผยเฉียนกล่าว “รบกวนเจ้าเหล่าเว่ยช่วยหยุดแต่พอสมควรเถอะ”
หลูป๋ายเซี่ยงหัวเราะฮ่าๆ “ดื่มเก่ง ดื่มเก่ง”
โจวหมี่ลี่กำลังกระซิบกระซาบกับพี่หญิงหน่วนซู่ แอบแข่งกันว่าเมล็ดแตงในชายแขนเสื้อของแต่ละคนใครมีมากใครมีน้อย
หลังจากที่เฉินผิงอันเดินออกมาจากประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์แล้วก็พบว่าทุกคนค่อนข้างเงียบ สายตาที่มองมายังตนค่อนข้างจะแปลกประหลาด เฉินผิงอันเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นความผิดปกติ จึงถามอย่างสงสัย “มีอะไรกันหรือ?”
ชุยตงซานพูดเสียงเบา “ศิษย์พี่หญิงใหญ่?”
ความหมายในคำพูดนี้ก็คือ ในสถานการณ์ที่เร่งด่วนคับขันเช่นนี้ควรเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ต้องออกหน้าแล้ว
เผยเฉียนถามอย่างสงสัย “อะไร?”
ชุยตงซานทอดถอนใจ รู้สึกเสียดายยิ่งนัก เสียดายที่เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยแห่งตรอกฉีหลงผู้นั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นย่อมเป็นการเริ่มต้นที่ดี พอลมแห่งขนบธรรมเนียมพัดโชยขึ้นมา ไม่ว่าใครจะขวางก็ขวางไม่อยู่แล้ว
เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ เดินไปข้างหน้า ถามว่า “อีกเดี๋ยวพวกเราจะจัดการกันอย่างไร คงจะปล่อยให้คนกลุ่มใหญ่เฮโลกันเข้าไปทีเดียวหมดไม่ได้กระมัง?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “คุณชายเป็นคนตัดสินใจเถิด”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย “จะเอะอะเกินไปนักไม่ได้ อีกเดี๋ยวมอบของขวัญกลับคืน ทุกๆ เรือนที่พัก แค่ให้คนสองคนไปเยือนเป็นเพื่อนข้าก็พอแล้ว ลงจากเขาไปพร้อมกันก่อน ถึงเวลานั้นข้าค่อยเรียกชื่อ คนที่ทำธุระเสร็จแล้วก็สามารถกลับไปก่อนได้”
อันที่จริงที่ในคืนวันที่สามสิบก่อนปีใหม่ของเมืองเล็กจะมีประเพณี ‘ข้าวถามคืน’ ทุกครอบครัวจะต้องไปเยี่ยมเยียนคนบ้านใกล้เรือนเคียง หลังจากกินอาหารในคืนข้ามปีร่วมกันแล้ว ก่อนฟ้ามืดจะต้องจัดวางอาหารและสุราไว้เต็มโต๊ะใหม่อีกครั้ง บุรุษฉกรรจ์จะเล่นทายหมัด ดื่มสุรากินอาหาร พวกเด็กๆ จะไม่ร่วมวงสนุกกับพวกผู้ใหญ่ แต่จะไปจับกลุ่มเล่นกันเอง ไปขอขนม ขอเมล็ดแตงจากบ้านอื่น แล้วจะต้องพกถุงเล็กๆ ไปด้วย ขอแค่ไม่ใช่ครอบครัวที่เป็นศัตรูกัน พวกเด็กๆ ก็จะกรูกันเข้าไปร้องเรียกท่านลุงท่านอาท่านน้าท่านป้า ผู้เฒ่าที่มีอายุมากหน่อย คืนนั้นก็จะมานั่งข้างเตาไฟ คำเรียกขานของพวกเด็กๆ จะเรียกผิดลำดับอาวุโสหรือไม่ เสียงดังหรือไม่ หรือว่าเรียกเสียงเบาเกินไป พวกคนแก่ก็จะไม่ถือสา หากเป็นเพื่อนบ้านที่ความสัมพันธ์ไม่ดี เด็กบางคนก็จะรอคอยอยู่ในตรอกนอกประตู
ตามภาษาท้องถิ่นของเมืองเล็ก คำว่าถามกับคำว่าฝันเป็นสองคำที่ออกเสียงเหมือนกัน ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งแรกยังเคยถามคำถามข้อนี้กับเป่าผิงน้อย ว่าสรุปแล้วว่าเป็นข้าวถามคืน หรือข้าวฝันคืนกันแน่
ในเรือนพักสิบกว่าแห่งที่มีแขกเข้าพัก มีเซียนกระบี่สองคนกำลังชื่นชมกลอนคู่บทหนึ่งอยู่ในห้องหนังสือ
ดอกเหมยล้อมเรือนสามสิบต้น ชั้นวางตำราหนังสือสองพันเต็มสองตา
เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ยชื่นชม “กลิ่นอายสดชื่นลอยอวลอยู่เต็มหน้ากระดาษ นี่ต่างหากจึงจะเป็นจวนตระกูลเซียน”
มีคนเห็นแก่เงินตัวน้อยนั่งยองอยู่ในห้องโถง ขยับวนไปรอบเก้าอี้ไท่ซือลายเมฆคู่หนึ่งช้าๆ แม่นางน้อยถึงได้ค้นพบว่าด้านหลังพนักเก้าอี้มีตัวอักษรสลักอยู่ แบ่งออกเป็นคำว่า ‘ลมเย็นแดดงาม’ และ ‘เมฆเปิดจันทร์กระจ่าง’ เก้าอี้เป็นของใหม่ ทว่าตัวอักษรกลับมีท่วงทำนองของความเก่าแก่
มีฮูหยินสองคนเดินอยู่ในระเบียงไผ่เขียวแห่งหนึ่ง ถัวเหยียนฮูหยินเงยหน้ามองไป มีม้าเหล็กพวงหนึ่งห้อยอยู่ใต้ชายคา แผ่นหยกบางๆ รูปนกหลายสิบแผ่นร้อยเรียงต่อกันด้วยเส้นด้ายสีเขียว ห้อยอยู่นอกชายคา ยามที่ลมพัดนกกระพือปีกจึงส่งเสียงดังกรุ้งกริ้ง
กุ้ยฮูหยินมองไปยังหินลมน้ำก้อนหนึ่งที่อยู่นอกระเบียง ด้านบนแกะสลักแปดคำว่า ‘หน้าผาตั้งตระหง่านโดดเดี่ยว ประหนึ่งป่ายปีนสู่สวรรค์’ เป็นตัวอักษรแบบหวัด คาดว่าคงยังรู้สึกสาแก่ใจไม่มากพอจึงมีคนเขียนตัวอักษรลี่ซูเล็กๆ ไว้ตรงมุมขวาด้านล่างว่า หินนี้เป็นของข้า
ในศาลาลมของเรือนหลังหนึ่ง หลิ่วกุ้ยเป่าแห่งจวนไช่เฉวี่ยกำลังต้มชา มีกาน้ำชาจื่อซาใบหนึ่งที่ก้นกาประทับคำว่า ‘ฝนหนาว’ เอามาใช้สำหรับดื่มชาเย็นโดยเฉพาะ ตราประทับชื่อคือคำว่าปู้เหยียนโหว
ภาพขุนเขาสายน้ำยิ่งใหญ่ผืนหนึ่งแขวนไว้กลางห้องโถง ยาวสองจั้ง เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต มองดูคล้ายเป็นทัศนียภาพของตระกูลเซียนบนขอบสวรรค์ที่บินเข้ามาในฉากบังลมสีสันสดใสของบ้านท่าน
แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของสกุลฟ่านจิตรกรเอกบนภูเขาท่านที่อยู่แผ่นดินกลาง มองอย่างละเอียดก็ยังคงเป็นเช่นนี้ ไม่มีจุดใดที่ไม่ถูกต้องแม้แต่น้อย คำลงท้าย ตราประทับลาย ตราประทับชื่อ ล้วนเป็นหลักฐานชั้นเยี่ยม
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว พ่อครัวเฒ่าที่ปลดผ้ากันเปื้อนออกจากเอวผู้นั้น พอกลับเข้ามาในห้องหนังสือของตัวเองแล้วก็ไม่เพียงแต่ใช้สองมือถือพู่กัน ปากยังคาบพู่กันไว้อีกด้ามหนึ่ง จรดพู่กันดุจบุปผาผลิบาน วาดออกมาตามแต่ใจปรารถนา
ก็แค่ตำราภาพวาดของจิตรกรที่มีชื่อเสียงสองสามเล่มที่ซื้อมาจากร้านหนังสือเมืองหงจู๋ซึ่งวางไว้บนโต๊ะเท่านั้น
ในจวนที่พักรับรองแขกสามสิบหกแห่งของยอดเขาจี้เซ่อ นับตั้งแต่รูปแบบการก่อสร้าง รูปแบบขุนเขาสายน้ำ ไปจนถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยทั้งหลาย กลอนคู่ทุกบท แบบอักษรของอักษรภาพ การเลือกสรรของประดับตกแต่งห้องหนังสือทุกชิ้น การสร้างเก้าอี้ไม้ไผ่ทุกตัว การเผากาน้ำชาทุกชิ้น ตำราแผ่นไม้ไผ่ทุกม้วนล้วนมาจากฝีมือของจูเหลี่ยนที่ลงมือในยามว่างงานทั้งสิ้น
……
ในจวนแห่งหนึ่งของยอดเขาจี้เซ่อ เฉินผิงอันเพียงแค่พาผู้คุมกฎฉางมิ่งเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปด้วยกัน
แขกที่มาเขาร่วมงานพิธีกลุ่มนี้คือต่งกู่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียน หลิวเสี้ยนหยาง เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ และความสัมพันธ์ระหว่างสำนักกระบี่หลงเฉวียนกับศาลลมหิมะนั้น คนทั้งทวีปก็ล้วนรู้กันดี
ต่งกู่ที่มีชาติกำเนิดมาจากภูตแห่งป่าเขามีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่อภูเขาลั่วพั่ว อีกทั้งยันต์กระบี่ที่ราคาแพงอย่างถึงที่สุดนั้นก็เป็นภูเขาลั่วพั่วที่ซื้อไปมากที่สุด ผู้ถวายงานโจวเฝยคนหนึ่ง สหายฉางมิ่งคนหนึ่ง ล้วนซื้อกันไปราวกับเสพติดอย่างไรอย่างนั้น
เฉินผิงอันเอ่ยทักทายกับต่งกู่ตามมารยาท ไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย
ส่วนหลิวเสี้ยนหยางนั้น ไม่จำเป็นต้องพูดจาเกรงใจอะไรกัน ดังนั้นพอนั่งลงแล้ว ส่วนใหญ่เฉินผิงอันจึงพูดคุยกับเว่ยจิ้นมากกว่า
เว่ยจิ้นบอกว่าเขาคงจะไม่อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วนานนัก อีกไม่นานก็จะต้องเดินทางไปนอกมหาสมุทรสักครั้งแล้ว ยังมีเผ่าปีศาจอีกไม่น้อยที่เป็นปลาหลุดรอดแหซึ่งพากันหนีเข้าไปในมหาสมุทร ก็จะได้เอามาฝึกฝนเวทกระบี่ไปด้วยพอดี
เว่ยจิ้นยังบอกอีกว่าใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ ฟ้าอำนวยมีการผลัดเปลี่ยนใหม่ โชควาสนาแห่งตระกูลเซียนมากมายจึงพากันบังเกิดขึ้น ลำพังแค่แจกันสมบัติทวีปก็มีทะเลสาบลอยกลางอากาศแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า บนเกาะใจกลางทะเลสาบมีสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ลักษะเหมือนศาลอยู่แห่งหนึ่ง กรอบป้ายมีสามคำ ทว่ามีเพียงสองตัวอักษรที่เห็นได้ชัดคือคำว่า ‘ชิวเฟิง’ ส่วนคำสุดท้ายนั้นหลงเหลืออยู่แค่ครึ่งเดียว เป็นตัวอักษรคำว่าซือ ชื่อที่สมบูรณ์ เกินครึ่งน่าจะเป็นคำว่าศาลชิวเฟิงแล้ว แต่ผู้ฝึกลมปราณที่ไปค้นหาโชควาสนาในที่แห่งนี้ อยู่ดีๆ ก็พรวดเข้าไป แล้วอยู่ดีๆ ก็โผล่ออกมา ไม่มีใครได้รับผลเก็บเกี่ยวใดๆ รู้แค่ว่าด้านในมีกาเทพเซ่อกู่ที่เป็นภาพมายาล่องลอยกลุ่มหนึ่งคอยคาบใบไม้ที่ร่วงหล่นพักพิงอยู่
——