บทที่ 766.2 ผู้อาวุโสร่ายรำ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

นอกจากนี้แล้วบนมหาสมุทรทักษิณยังมีเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนลำหนึ่งปรากฎขึ้นมา มากพอจะข้ามทวีปเดินทางไกลได้ ขนาดใหญ่มาก ประหนึ่งนครยิ่งใหญ่โอฬาร บนเรือข้ามฟากมีเพียงภิกษุท่าทางแปลกประหลาดที่คล้ายกับว่าเกิดจากการจำแลงของมหามรรคาอยู่คนเดียวเท่านั้น เพียงแต่ว่าร่องรอยของเรือลำนี้ไม่เป็นที่แน่ชัด จะขึ้นเรือได้หรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับวาสนาอย่างเดียวเท่านั้น ทว่าคนที่ขึ้นเรือไปแล้วกลับเหมือนวัวปั้นดินที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่มีใครที่ออกมาได้สักคน หลังจากนั้นมาชงเชี่ยนผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตเซียนเหรินของหลิวเสียทวีปก็จับมือกับเซียนกระบี่จากแผ่นดินกลางคนหนึ่งขึ้นเรือไปตรวจสอบ คิดไม่ถึงว่าจะยังไม่อาจรั้งเรือข้ามฟากลำนั้นเอาไว้ได้ แล้วยังเกือบจะถูกภิกษุหนุ่มที่ราวกับอยู่ในขั้นไร้รอบเขตผู้นั้น ‘รั้งตัวไว้เป็นแขกหนึ่งร้อยปี’ ทั้งสองฝ่ายจึงได้แต่ฝืนฝ่าฟ้าดินเล็กออกมา ถึงได้กลับมาเยือนใต้หล้าไพศาลได้อีกครั้ง

ศาลชิวเฟิงแห่งแจกันสมบัติทวีป เรือข้ามฟากไร้นามที่ล่องลอยอยู่บนทะเลทางทิศใต้ไม่มีร่องรอยแน่ชัด หอชมมหาสมุทรบนภูเขาของเกราะทองทวีป…

หลังจากที่อาณาเขตของใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างเชื่อมติดกัน โชควาสนาตระกูลเซียนก็เหมือนหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝนตกที่พากันแตกหน่อ

เฉินผิงอันย่อมไม่มีความสนใจใดๆ ต่อศาลชิวเฟิงแห่งนั้น แต่หากภูเขาลั่วพั่วมีคนที่จะลงเขาไปฝึกประสบการณ์กลับพอจะลองไปดูได้ ลองไปเสี่ยงโชคดู ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อันตรายเหมือนเรือข้ามฟากลำนั้น

หลิวเสี้ยนหยางเดินมาส่งเฉินผิงอันถึงหน้าประตู แล้วพลันเหวี่ยงแขนออกมา

เฉินผิงอันก้มหัว ค้อมตัวลง พุ่งกระโจนไปข้างหน้า คล่องแคล่วดุจสายน้ำไหล

เรือนพักแห่งที่สอง กุ้ยฮูหยินแห่งนครมังกรเฒ่า ถัวเหยียนฮูหยินแห่งภูเขาห้อยหัว

เฉินผิงอันพาเผยเฉียนกับหน่วนซู่ถือของขวัญไปขอบคุณ ทั้งสองฝ่ายนั่งลงพูดคุยกันบนเก้าอี้ยาวในระเบียงไผ่เขียว

กุ้ยฮูหยินยังคงอ่อนโยนดังเดิม นางเรียกให้เผยเฉียนไปนั่งลงข้างกัน หน่วนซู่ก็ถูกกุ้ยฮูหยินดึงมาไว้ข้างกายด้วย

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้แต่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งเพียงลำพัง

พูดคุยเรื่องอารามจินกุ้ยของแคว้นชิงหลวนกับกุ้ยฮูหยิน เพราะต้นกุ้ยโบราณบนภูเขาชิงเหย้าคือเผ่าพันธ์ตำหนักดวงจันทร์อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับไผ่เขียวภูเขาพีอวิ๋นที่มีความเกี่ยวข้องกับถ้ำสวรรค์จู๋ไห่

ทุกวันนี้สถานะของทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นดั่งหินที่ผุดหลังน้ำลดแล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นข้อห้ามอะไรอีก

กุ้ยฮูหยินยิ้มบางๆเอ่ยว่า “ต้นกุ้ยหกต้นของภูเขาชิงเหย้ามาจากสายเกาะกุ้ยฮวาของข้าจริง บรรพบุรุษเปิดขุนเขาของอารามจินกุ้ยถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเซียนฉา จางกั่วเจ้าอารามคนปัจจุบัน หากนับตามลำดับศักดิ์แล้วก็สามารถถือว่าเป็นลูกศิษย์รุ่นที่สามของเซียนฉาได้ เสี่ยวสุ่ยถ่งก็น่าจะเป็นอาจารย์ลุงของจางกั่ว เซียนฉาเคยมีข้อตกลงลับอย่างหนึ่งกับบรรพจารย์สกุลฟ่าน อีกทั้งยังช่วยทำไม้พายไม้ไผ่ให้ ทำให้ถ่อเรือข้ามผ่านร่องเจียวหลงไปได้อย่างปลอดภัย เกาะกุ้ยฮวาจึงมอบดอกกุ้ยให้เขาไปหลายกิ่ง”

คนพายเรือเฒ่าที่ปิดบังชื่อแซ่ของตระกูลฟ่านคนนั้น ชื่อจริงคือเซียนฉา ได้ละทิ้งแซ่สกุลของตัวเองไปนานแล้ว ตั้งฉายาให้ตัวเองว่านักพรตซิงโจว คนพายเรือเฒ่าถือได้ว่าเป็นลูกศิษย์ใหญ่ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง

ลู่เฉินไม่ยอมรับลูกศิษย์ที่หัวทึบผู้นี้ แต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาซึ่งมีเฉาหรง เฮ้อเสี่ยวเหลียงเป็นหนึ่งในนั้นกลับต่างก็ยอมรับศิษย์พี่ใหญ่ท่านนี้

และเซียนฉาผู้นี้ยังคงหลงรักกุ้ยฮูหยินไม่ยอมเปลี่ยนใจ ปีนั้นเฉินผิงอันนั่งเรือเกาะกุ้ยฮวาไปยังภูเขาห้อยหัวก็เคยได้สัมผัสกับความลุ่มหลงในรักของเขาที่มีต่อกุ้ยฮูหยินมาก่อน และทั้งสองฝ่ายยังเคยประลอง ‘มรรคกถา’ กันมาแล้วด้วย

อันที่จริงเฉินผิงอันมีความประทับใจที่ดีต่อลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเซียนฉามากกว่า

แต่หากจะว่ากันด้วยความน้อยใหญ่ของชื่อเสียง เซียนฉาที่เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบ อยู่ในใต้หล้าไพศาลกลับมีชื่อเสียงมากกว่าขอบเขตบินทะยานเสียอีก

ผู้ฝึกตนที่เป็นแนวเดียวกับหลิ่วชื่อเฉิงแห่งนครจักรพรรดิขาว แน่นอนว่าเฉินหลิงจวินแห่งภูเขาลั่วพั่วบ้านตนก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากัน

ในอารามจินกุ้ย เบื้องใต้ต้นกุ้ยโบราณซึ่งเป็น ‘เผ่าพันธ์ตำหนักดวงจันทร์’ ที่มีอายุมากที่สุดต้นหนึ่ง พื้นผิวของโต๊ะหินได้ถูกเซียนกระบี่บางท่านใช้ปราณกระบี่แกะสลักเป็นกระดานหมาก

ตอนนั้นจับมือกันเดินทางไปเที่ยวที่อาราม สองฝ่ายที่อยากประลองหมากล้อมกันขึ้นมากะทันหันก็คือนักพรตเซียนฉาและหลี่ถวนจิ่งเจ้าสวนแห่งสวนลมฟ้านั่นเอง

วันนี้ถือว่ากุ้ยฮูหยินได้ช่วยไขข้อสงสัยใน ‘ร่องรอยเซียน’ อันยาวนานข้อหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน ดูท่าคงไม่ต่างจากเมืองฉีเฮ้อแห่งนั้นสักเท่าไร

เฉินผิงอันมองเผยเฉียนแล้วก็พลันหัวเราะออกมา

อารามจินกุ้ยเคยมีนักพรตน้อยที่กระตือรือร้นในการรับรองแขกคนหนึ่งใช้สารพัดวิธีเพื่อที่จะมอบร่มกิ่งกุ้ยตระกูลเซียนที่มีค่าอย่างถึงที่สุดด้ามหนึ่งให้กับแม่นางน้อยถ่านดำที่เคยมาเป็นแขกบนภูเขา

เผยเฉียนถามอย่างสงสัย “อาจารย์พ่อ?”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ยังจำนักพรตน้อยคนนั้นได้หรือไม่?”

เผยเฉียนคิดแล้วก็พยักหน้า “จำได้ อยู่ข้างกายนักพรตหนุ่มที่มีชื่อว่าสวี่ป๋อรุ่ย เป็นคนน่ารำคาญผู้หนึ่ง”

ถัวเหยียนฮูหยินรู้สึกอิจฉากุ้ยฮูหยินอยู่บ้างที่สามารถพูดคุยกับใต้เท้าอิ่นกวานที่ใจดำอำมหิตผู้นี้ได้โดยไม่ต้องระวังคำพูดใดๆ

เพียงแต่ว่าพอคิดถึงน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เส้าอวิ๋นเหยียนให้นางยืมชั่วคราวลูกนั้น ถัวเหยียนฮูหยินก็รู้สึกสงบใจลงได้เล็กน้อย ไม่ควรยื่นมือไปตบหน้าคนที่ยิ้มให้ไม่ใช่หรือ?

เหตุใดเฉินผิงอันถึงจัดแจงให้นางไปคอยอยู่ข้างกายลู่จือ ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจเดิมของคฤหาสน์หลบร้อนหรือความตั้งใจของตัวใต้เท้าอิ่นกวานเอง ถัวเหยียนฮูหยินก็รู้ชัดเจนดีในใจ เพราะหวังให้ลู่จือที่นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาซึ่งมาถึงใต้หล้าไพศาลแล้ว ตนจะคอยช่วยนางวางแผนได้

กุ้ยฮูหยินใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “คุณชายเฉิน เรื่องด้ายแดงของผู้เฒ่าจันทรา รู้ความเป็นมาหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เพียงแค่เคยได้ยินมาว่าหลิ่วชีมีสมุดวาสนาครองคู่อยู่เล่มหนึ่ง เป็นของที่ผู้เฒ่าจันทราเคยพลิกเปิดเพื่อเลือกคนสองคน จากนั้นร้อยด้ายแดงเชื่อมโยงพวกเขาไว้ พวกเขาก็จะกลายมาเป็นคู่ครองกัน จะสามารถอยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่าได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่าด้ายแดงเส้นนั้นสั้นหรือยาว”

หลิ่วชี

ใต้หล้านี้เคยมีผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาสองกลุ่มที่ถูกประเมินไว้สูงเกินไปและถูกประเมินไว้ต่ำเกินไป

หลิ่วชีขอบเขตบินทะยานเป็นคนหนึ่งในนั้น เนื่องจากเขียนคำได้ดี ถ้อยคำที่เขาเขียนแพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง แต่ ‘ขอบเขตเส้นเอ็นหลิว’ นั้นมาจากไหน เหตุใดถึงมีวาสนาเซียนที่เดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียวนี้ กลับเป็นเรื่องที่ไม่เคยแพร่ไปในใต้หล้าไพศาล

ดังนั้นหลิ่วชีอยู่บนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนยอดเขา จึงเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่ถูกประเมินไว้ต่ำเกินไป

หลังจากที่หลิ่วชีเดินทางจากใต้หล้ามืดสลัวกลับมายังไพศาลบ้านเกิด ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคือผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่ถูกประเมินไว้ต่ำเกินไปที่สุด ถึงขั้นไม่มีหนึ่งใน

บนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ หลิ่วชีเคยสกัดขวางปีศาจใหญ่หยางจื่อ เล่าลือกันว่าเขาใช้เวทคาถาสามร้อยหกสิบห้าชนิด สยบกำราบวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตซึ่งเป็นวิชาน้ำของหย่างจื่อได้อย่างสิ้นเชิง

สุดท้ายจึงร่วมมือกับรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นท่านหนึ่ง คุมขังหย่างจื่อที่พยายามจะหลบหนีอยู่ในพื้นที่ลับแห่งหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้สำเร็จ

ในบรรดากลุ่มของผู้ฝึกตนที่เคยถูกประเมินไว้สูงเกินไป มีจวี้จื่อสำนักโม่ที่ ‘คนคนเดียวสามารถโจมตีเมือง สามารถพิทักษ์เมืองได้เพียงลำพัง’ และยังมีจั่วโย่วที่ไม่เคยประลองกระบี่กับเผยหมิ่นอย่างแท้จริงมาก่อน

เพียงแต่ว่าหลังจากศึกเฝ้าพิทักษ์ทักษินาตยทวีปผ่านพ้นไป จวี้จื่อสำนักโม่และจั่วโย่วที่ถามกระบี่กับเซียวสวิ้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่มาหลายครั้งก็ไม่ได้อยู่ในลำดับของ ‘ผู้ที่ถูกประเมินไว้สูงเกินไป’ อีกต่อไป เปลี่ยนมาเป็นเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ที่ทุ่มสุดชีวิตทำลายตะวันจันทราบนบ่าแทน เพราะว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแลกชีวิตอะไรกับหลิวชา ดูเหมือนว่าหลิวชาไม่แม้แต่จะขอบเขตถดถอยด้วยซ้ำ เพียงแค่สามารถรั้งหลิวชาไว้ตรงริมทางเข้ากุยซวี (มหาสมุทรจุดที่น้ำไหลมารวมกัน ภาษาจีนคือ归墟 แปลตรงตัวได้ว่ากลับคืนสู่ซากปรัก ในตำนานจีนจะหมายถึงที่ซึ่งน้ำทั้งหมดรวมถึงทางช้างเผือกไหลลงสู่ความว่างเปล่าที่ลึกที่สุด ลักษณะคล้ายน้ำวน) บนทะเลทักษิณแห่งหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงไปยังใต้หล้าไพศาลได้เท่านั้น

กุ้ยฮูหยินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องระวัง”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ระวังมากแล้ว”

กุ้ยฮูหยินชำเลืองตามองข้อมือของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เหมือนกัน”

ลุกขึ้นแล้วบอกลา

เฉินผิงอันพลันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถัวเหยียนฮูหยิน วันหน้าข้าค่อยสอบถามเรื่องการสู้รบที่ทักษินาตยทวีปจากเจ้าอย่างละเอียดอีกที”

ถัวเหยียนฮูหยินพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าแข็งทื่อ

จุดที่สาม ล้วนเป็นคนของอุตรกุรุทวีป

เฉินผิงอันพาเฉาฉิงหล่าง โจวหมี่ลี่และเฉินหลิงจวินไปด้วยกัน

หมี่ลี่น้อยมาจากทะเลสาบคนใบ้ เฉินหลิงจวินก็เคยเดินลงลำน้ำที่อุตรกุรุทวีป

ป๋ายโส่วยืนรอต้อนรับเฉินคนดีพี่น้องที่รักที่หน้าประตูด้วยตัวเอง ขอแค่เผยเฉียนไม่ได้อยู่ที่นี่ เฉินคนดีก็คือพี่น้องคนดีของตน

ไปถึงลานเรือนแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันก้าวเท้าข้างหนึ่งข้ามผ่านธรณีประตูไป เตรียมจะหดเท้ากลับ เผ่นหนีเพื่อความปลอดภัย

หลิวจิ่งหลง หลิ่วจื้อชิง สวีซิ่งจิ่ว นั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่งกันอยู่ บนโต๊ะวางสุราไว้จนเต็ม

คิดไม่ถึงว่าป๋ายโส่วจะได้รับคำสั่งจากอาจารย์จึงปิดประตูลงเรียบร้อยแล้ว

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “ดื่มเหล้านั้นได้ แต่ว่าดื่มได้แค่พอสมควรเท่านั้น ไม่อย่างนั้นรับรองแขกด้วยความเมามายจะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง หากไม่ได้จริงๆ ก็รอให้ข้าไปเยี่ยมเยือนทุกคนเสร็จก่อนแล้วค่อยมาดื่มเหล้ากับพวกเจ้าให้สาแก่ใจ”

หลิวจิ่งหลงยิ้มบางๆ “ดื่มก่อนเถอะ ดื่มเหล้านี่นะ หากดื่มได้ที่แล้ว ไม่ว่าอะไรก็ล้วนพูดง่าย”

เฉินผิงอันหันไปมองเฉาฉิงหล่าง เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า “อาจารย์ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ดื่มเหล้า”

เฉินหลิงจวินตบอกดั่งสนั่นฟ้า รีบรับคำบัญชาการณ์ทันใด “ดื่มเหล้า? ผ่านด่านข้าไปให้ได้ก่อนเถอะ! นายท่านโปรดวางใจ อีกเดี๋ยวข้าจะรับผิดชอบแบกอาจารย์หลิวกลับเข้าไปในห้องให้เอง”

หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าคารวะเฉินผิงอันด้วยขนบของลัทธิเต๋า

เฉินผิงอันยิ้มพลางกุมหมัดคารวะกลับคืน

แรกเริ่มสุดทั้งสองฝ่ายได้เจอกันที่นครเหนือเมฆ คนหนึ่งวางแผงขายยันต์ คนหนึ่งตาแหลมเฉลียวฉลาด

ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย

พบเจอกันด้วยดีแล้วจากลากันด้วยดี ขุนเขาสายน้ำมาบรรจบพบกันอีกครั้ง

เฉินผิงอันเอ่ยขออภัยสวีซิ่งจิ่ว ไม่เพียงแต่พลาดงานแต่งงานของสวีซิ่งจิ่ว ยังพลาดพิธีเฉลิมฉลองบนภูเขาที่อีกฝ่ายได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้านครด้วย

สวีซิ่งจิ่วเข้าอกเข้าใจผู้อื่นดียิ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้ขอดื่มเหล้ากับอาจารย์เฉินสักมื้อก่อน กลับไปถึงนครเหนือเมฆแล้วค่อยดื่มชดเชยอีกที”

ตรงเอวของสวีซิ่งจิ่วห้อยกระบี่เล่มยาวเอาไว้ คือกระบี่อาคม ‘ซี่เหมย’ ที่ภูเขาลั่วพั่วมอบให้ สวีซิ่งจิ่วตบด้ามกระบี่เบาๆ “พระคุณที่มอบกระบี่ให้ ข้าค่อยหาโอกาสดื่มเหล้าคารวะขอบคุณอาจารย์เฉินอีกรอบ”

เฉินผิงอันทำได้เพียงแกล้งโง่ หันไปเอ่ยแสดงความยินดีกับหลิ่วจื้อชิงแทน

หลิ่วจื้อชิงที่รูปโฉมหล่อเหลาอย่างถึงที่สุดยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็แค่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิด ไม่มีค่าพอให้ป่าวประกาศแก่ใคร แค่เหล้ามื้อเดียวก็พอ”

เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำ

เหล้าๆๆ เหล้ากับท่านปู่พวกเจ้าสิ ผีขี้เหล้าอย่างพวกเจ้าสามคนดื่มกันเองเลยไป

ป๋ายโส่วถอนหายใจ “ข้ากลับสู้อาจารย์หลิ่วไม่ได้แล้ว เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ตัวน้อยๆ แค่โอสถทองที่ได้บุกเบิกขุนเขา ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มเหล้าแค่ครึ่งมื้อแล้วกัน?”

เฉินผิงอันกล่าว “เหล้าครึ่งมื้อ? ไม่พอกระมัง เดี๋ยวข้าไปเรียกเผยเฉียนมาดื่มเป็นเพื่อนเจ้าให้พอมื้อหนึ่งดีไหม?”

พอได้ยินชื่อเผยเฉียนสองคำนี้ ป๋ายโส่วก็รู้สึกเหมือนหัวแตกอาบเลือด จึงรีบขับเรือตามกระแสลม หันหัวหอกเปลี่ยนข้างทันใด เขาเอ่ยกับอาจารย์ด้วยถ้อยคำที่เปี่ยมไปด้วยเหตุผล “พวกท่านนี่มันอย่างไรกัน วันนี้พี่น้องคนดีของข้ายุ่งขนาดไหน มีแขกที่เดินทางมาไกลมากมายขนาดนั้นรอให้เขาไปรับรอง ดื่มเหล้าจะถ่วงธุระสำคัญเอาได้”

เฉินผิงอันนั่งลงระหว่างหลิวจิ่งหลงกับหลิ่วจื้อชิง เอ่ยถามเส้าอวิ๋นเหยียนแห่งเรือนชุนฟานว่า “เจ้าเรือนเส้า อาจารย์ลู่ที่อยู่ในทักษินาตยทวีปยังสบายดีหรือไม่? อาจารย์ลู่มีท่าทีว่าจะก่อสำนักตั้งพรรคหรือไม่? หากมีแล้วไม่รังเกียจ ข้าสามารถไปเป็นผู้ถวายงานให้ได้”

เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มพลางพยักหน้ารับ “แม้ว่าอาจารย์ลู่จะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้หลายครั้งติดต่อกัน กระบี่ที่พกติดตัวก็เปลี่ยนไปแล้วสามเล่ม กระบี่แห่งชะตาชีวิตมีความเสียหายเล็กน้อย แต่จิตแห่งกระบี่ถูกขัดเกลาไปได้เยอะมาก พอจะมองเห็นคอขวดได้แล้ว”

เส้าอวิ๋นเหยียนถอนหายใจ ไม่ได้ปิดบัง “เพียงแต่ว่าอาจารย์ลู่ไม่มีความคิดที่จะก่อสำนักตั้งพรรค แต่กลับตอบตกลงเซียนกระบี่ผู้เฒ่าฉีไปแล้วว่าจะรับหน้าที่เป็นเค่อชิงของสำนัก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เซียนกระบี่ผู้เฒ่าฉียินดีลงหลักปักฐานอยู่ในใต้หล้าไพศาลเป็นเรื่องดี อีกทั้งยังก่อสำนักตั้งพรรคด้วยการอาศัยคุณความชอบทางการสู้รบที่แท้จริง นี่ก็ยิ่งเป็นเรื่องดีเข้าไปใหญ่ อาจารย์ลู่ตอบตกลงที่จะเป็นเค่อชิง ทั้งทางด้านส่วนรวมและทางด้านส่วนตัว ตามเหตุตามผลแล้วล้วนถือว่าเหมาะสม หากเจ้าเรือนเส้ายินดีติดตามอาจารย์ลู่ รับหน้าที่เป็นเค่อชิงด้วย อันที่จริงถือว่าดีที่สุด สำหรับสำนักของเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีแล้วก็ยิ่งเป็นการส่งถ่านกลางหิมะ แน่นอนว่านี่เป็นแค่ข้อเสนอของข้าคนเดียวเท่านั้น”

เส้าอวิ๋นเหยียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อใต้เท้าอิ่นกวานพูดถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะตั้งใจพิจารณาให้ดี”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “จะดีจะชั่วก็ขอให้ข้าทำตามพิธีให้เสร็จสิ้นก่อนเถอะ อยู่บนภูเขาบ้านตัวเอง ข้าหนีไปไหนไม่ได้สักหน่อย”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ “ยิ่งขอบเขตสูงก็ยิ่งขี้ขลาดบนโต๊ะเหล้ามากเท่านั้น”

เฉินผิงอันเอ่ย “ข้า เจ้าเรือนเส้า หวนเจินเหริน ซิ่งจิ่ว เฉินหลิงจวิน และยังมีหมี่ลี่น้อย กับพวกเจ้าสองคน จะไม่เหมือนว่าเล่นสนุกกันเท่านั้นหรือ?”

สวีซิ่งจิ่วมึนงง

เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ทุกวันนี้เจินเหรินผู้เฒ่าหวนคือเค่อชิงของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา อีกทั้งพวกเราสองคนก็ยังถือว่าเป็นผู้เฒ่าจันทราครึ่งตัวให้เจ้ากับแม่นางจ้าว ซิ่งจิ่ว เจ้าลองชั่งน้ำหนักเอาเองเถิด”

สวีซิ่งจิ่วถอนหายใจ

หลิ่วจื้อชิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เพิ่มข้าไปอีกคน? ถึงอย่างไรอาจารย์หลิวก็ดื่มเหล้าเก่งอยู่แล้ว”

หลิวจิ่งหลงยื่นฝ่ามือไปกดไว้บนกาเหล้าใบหนึ่ง “วันนี้ช่างเถิด”

เฉินผิงอันออกมาจากที่แห่งนี้ได้อย่างหวุดหวิด ออกจากประตูมาแล้วก็พาหมี่อวี้และชุยเหวยไปยังที่พักแห่งถัดไป

อันที่จริงสุดท้ายสวีซิ่งจิ่วยังอยากจะเล่าเรื่องในใจเรื่องหนึ่งให้เฉินผิงอันฟัง บนใบหน้าของเจ้านครเหนือเมฆคนใหม่ผู้นี้เต็มไปด้วยความละอายใจ

เฉินผิงอันกลับยิ้มให้แล้วใช้เสียงในใจตอบว่า ไม่ต้องกังวล เรื่องเล็ก ดื่มเหล้าของเจ้าไปเถอะ อยู่เป็นเพื่อนเซียนกระบี่หลิวให้ดี

ทางฝั่งของเรือนหลังนั้น

เส้าอวิ๋นเหยียนถามอย่างสงสัย “จิ่วหลง ทำไมปล่อยเขาไปง่ายๆ แบบนี้ล่ะ?”

หลิ่วจิ่งหลงเริ่มดื่มเหล้า พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ใต้หล้านี้ไม่เคยขาดสุรา ขาดแค่สหายเก่าที่กลับมาพบเจอกันอีกครั้งเท่านั้น”

สวีซิ่งจิ่วถามอย่างสงสัย “อาจารย์หลิวพูดเช่นนี้เหมือนจะตอบไม่ตรงคำถามสักเท่าไร”

หลิวจิ่งหลงจิบเหล้าหนึ่งคำ เอ่ยอย่างจนใจว่า “ซิ่งจิ่ว จื้อชิง พวกเจ้าแต่ละคนมีคุณธรรมน้ำมิตรไม่แพ้กัน แล้วข้าจะยังทำอย่างไรได้อีก?”

เห็นว่าสวีซิ่งจิ่วมีท่าทางเป็นกังวล หลิวจิ่งหลงก็ยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อเฉินผิงอันกลับมายังภูเขาลั่วพั่วแล้ว ย่อมต้องแก้ไขอย่างเหมาะสมแน่นอน เจ้าจะยังกังวลอะไรอีก?”

สวีซิ่งจิ่วพยักหน้ารับ หยิบกาเหล้าใบหนึ่งขึ้นมา “อาจารย์หลิว ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอดื่มก่อนหนึ่งจอก!”

หลิวจิ่งหลงนวดคลึงหว่างคิ้ว

……

เรือนพักแห่งที่สี่ ความรู้สึกของหมี่อวี้ก็คือกว่าจะเก็บครึ่งชีวิตที่เหลือจากในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่นี้ก็คล้ายว่าจะไม่แน่นอนอีกแล้ว

ส่วนชุยเหวยที่ออกกระบี่อย่างดุดันในสนามรบของแจกันสมบัติทวีปก็ดูเหมือนว่าจะอารมณ์หนักอึ้งยิ่งกว่าหมี่อวี้ ก่อนจะข้ามธรณีประตูเข้าไปถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเซียนกระบี่หญิงลี่ไฉ่อย่างเฉินหลี่ เกาโย่วชิง และศิษย์รักของเซี่ยซงฮวาที่เป็นเซียนกระบี่หญิงเช่นกันอีกสองคน จวี่สิง เฉามู่

ตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อนใครสี่คนนี้ ไม่ว่าจะนิสัย กระบี่บิน ขอบเขต ชาติกำเนิด เฉินผิงอันล้วนรู้ชัดเจนดี

ยังมีเด็กอีกเก้าคนที่อายุน้อยยิ่งกว่า

อิ่นกวานเฉินผิงอัน อิ่นกวานน้อยเฉินหลี่ อิ่นกวานน้อยน้อยป๋ายเสวียน

ป๋ายเสวียนเอาสองมือไพล่หลัง “โอ้โห นี่ไม่ใช่เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่มีสาวงามคนรู้ใจอยู่ทั่วเก้าทวีปไพศาลหรอกหรือ ได้ยินชื่อมานานไม่สู้ได้พบหน้า ดวงหน้านี้คือกระบี่บินจริงเสียด้วย เอาไว้กำราบสตรีโดยเฉพาะเลย”

หมี่อวี้โบกมือ “ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว”

เฉินหลี่ยิ้มตาหยี “ภูเขาลั่วพั่วไม่มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ทัน

หมี่อวี้ เจียงซ่างเจิน ชุยตงซาน นอกจากนี้ยังมีซานจวินเว่ยป้อ เค่อชิงหลิ่วจื้อชิง

หลังจากที่เรื่องส่วนตัวทั้งหลายของตนยุติลงแล้ว ภูเขาลั่วพั่วก็ควรจะเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำสักสองสามรอบดีไหมนะ?

หมี่อวี้สะบัดสาบเสื้อ ท่าทางยินดีทุ่มสุดกำลังอันน้อยนิดที่มีเพื่อภูเขาลั่วพั่วอย่างเต็มที่

น่าหลันอวี้เตี๋ยมองชุยเหวยผู้นั้น

ชุยเหวยทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

อาจารย์ผู้มีพระคุณของชุยเหวยคือน่าหลันเย่สิงแห่งจวนหนิง

และน่าหลันเย่สิงก็มาจากตระกูลน่าหลันถนนไท่เซี่ยงจริงๆ อันที่จริงยังเป็นพี่น้องรุ่นเดียวกับเจ้าประมุขน่าหลันเซาเหว่ยอีกด้วย เพียงแต่ว่าในอดีตมีความแค้นส่วนตัวที่ต่างคนต่างก็มีส่วนถูกและส่วนผิด จึงออกมาจากตระกูล ตัดขาดความสัมพันธ์กันไป

ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดชุยเหวย จึงเท่ากับมีความสัมพันธ์แบบอ้อมเจ็ดแปดตลบกับแม่นางน้อยน่าหลันอวี้เตี๋ย

น่าหลันอวี้เตี๋ยเงยหน้าขึ้น ถามชุยเหวย “อยู่บ้านเกิดไม่ออกกระบี่ อยู่ต่างบ้านต่างเมืองถึงจะออกกระบี่อย่างสุดชีวิต เพราะเหตุใดกัน?”

บรรยากาศพลันตึงเครียดความขัดแย้งพร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ

เพราะตัวอ่อนเซียนกระบี่ทุกคนต่างก็อยากรู้คำตอบของชุยเหวย

——