บทที่ 766.4 ผู้อาวุโสร่ายรำ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันพาชุยตงซาน เว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงเดินไปยังจวนที่บรรยากาศลุ่มลึกอย่างถึงที่สุดหลังนั้น

ทางฝั่งนี้มีลำธารเอื่อยๆ ไหลรินผ่าน คนสองกลุ่มยืนพิงราวรั้ว

หลี่เอ้อ หลี่หลิ่ว หันเฉิงเจียง

หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย ต่งสุ่ยจิ่ง

อวี๋ลู่กำลังมองปลาในลำธาร คิดว่าจะทำเบ็ดตกปลาด้วยตัวเองสักคัน

เซี่ยเซี่ยพอเห็นชุยตงซาน นางก็ไม่มีท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์อีก

แล้วก็จริงดังคาด หลังจากที่เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยเรียกหลี่เอ้อว่าท่านอาหลี่ หลี่เอ้อพยักหน้ายิ้มรับแล้ว ชุยตงซานก็รีบวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเซี่ยเซี่ยทันใด เขย่งปลายเท้า ยืดคอยาว ตะโกนเสียงดังอยู่ข้างหูนาง “โอสถทองใหญ่เซี่ย เทพธิดาใหญ่เซี่ย!”

เซี่ยเซี่ยตัวแข็งทื่อ หัวใจบีบรัดตัวแน่น ยืนนิ่งไม่ขยับ

อวี๋ลู่โบกมือให้เฉินผิงอัน “ข้าไปหาไม้ไผ่ก่อนนะ”

อวี๋ลู่ดีดปลายเท้าเล็กน้อยก็ข้ามรั้วไม้ไผ่และธารน้ำไป วิ่งไปยังป่าไผ่ฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มง่วนอยู่คนเดียว

เฉินผิงอันเอ่ยกับหลินโส่วอี “ก่อนหน้านี้ไปที่ศาลลำน้ำใหญ่มารอบหนึ่ง ตอนนั้นเจ้าเพิ่งจะออกไปได้ไม่นานเท่าไร”

หลินโส่วอีพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นสักเท่าไร ยังคงเป็นแบบที่เคยเป็นมา คาดว่าต่อให้ผ่านไปอีกหลายร้อยหรือถึงพันปี หลินโส่วอีก็ยังคงมีนิสัยเช่นนี้อยู่เหมือนเดิม

เฉินผิงอันพูดกับต่งสุ่ยจิ่ง “กลับไปถึงเรือนพักในจังหวัดแล้วจะไปดื่มเหล้ากับเจ้า ขอความรู้เรื่องการทำการค้า”

ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มตอบ “มีเรื่องให้คุยเยอะนักเลยล่ะ”

เฉินผิงอันกุมหมัดให้หลี่หลิ่วและหันเฉิงเจียงผู้นั้น เพียงยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไร

ไม่อย่างนั้นคาดว่าวันนี้หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิ่งก็คงต้องมาดื่มเหล้ากับตนแล้ว

หลี่หลิ่วยิ้มบางๆ พร้อมพยักหน้ารับ หันเฉิงเจียงประสานมือคารวะตามกฎระเบียบ “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”

เฉินผิงอันจึงได้แต่คารวะแบบเดียวกันกลับคืนไป “คารวะอาจารย์หัน”

หลินโส่วอีกระตุกมุมปาก ต่งสุ่ยจิ่งคิดว่าตาไม่เห็นใจย่อมไม่หงุดหงิด จึงหันตัวไปมองป่าไผ่ฝั่งตรงข้าม คารวะ คารวะ ทำไมคนแซ่หันอย่างเจ้าไม่ค้อมเอวจนหน้าผากจรดพื้นไปเลยเล่า แบบนั้นจะไม่ยิ่งดูจริงใจมากกว่าหรอกหรือ?

จากนั้นเฉินผิงอันก็เดินเล่นห่างไปไกลพร้อมกับหลี่เอ้อ

หลี่เอ้อถาม “ความเคลื่อนไหวที่ใบถงทวีป?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “เลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางที่ภูเขาไท่ผิง”

หลี่เอ้อเอ่ยอย่างปลาบปลื้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะอยู่บนภูเขาหลายวันหน่อย ป้อนหมัดไม่ต้องระวังมือเท้าอีกแล้ว”

เฉินผิงอันสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ก็ยังพยักหน้ารับ

หลี่เอ้อตบไหล่เฉินผิงอัน รวมเสียงให้เป็นเส้นกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นความต้องการของหลี่หลิ่ว ข้าที่เป็นพ่อก็ไม่มีอะไรให้พูดมาก ถึงอย่างไรนิสัยใจคอของเฉิงเจียงก็ไม่เลว แต่มีประโยคหนึ่งที่อันที่จริงข้าไม่ควรพูด เจ้ากลับบ้านมาช้าเกินไป อาหญิงของเจ้ารู้สึกเสียดายอย่างมาก มักจะพร่ำพูดว่าหากเจ้ากลับมาเร็วหน่อย ไม่ว่าอย่างไรนางก็คงไม่มีทางตอบตกลงกับงานแต่งครั้งนี้เป็นแน่”

เฉินผิงอันแข็งใจเอ่ยว่า “ท่านอาหลี่ก็เป็นพ่อตาคนแล้ว ไม่ควรพูดประโยคนี้จริงๆ”

หลี่เอ้อหัวเราะ ต่อยลงบนไหล่ของเฉินผิงอันหนึ่งหมัด “ไม่ควรเป็นการป้อนหมัดอะไรแล้ว น่าจะเป็นการถามหมัดของขอบเขตเดียวกันถึงจะถูก”

ไหล่เฉินผิงอันเอียงไปข้างหนึ่ง “แน่นอนว่ายังคงต้องป้อนหมัด”

สามชั้นของขอบเขตปลายทาง ปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน

เฉินผิงอันเป็นแค่ปราณโชติช่วง แต่หลี่เอ้อกลับเป็นเทพมาเยือนแล้ว

หลี่เอ้อกล่าว “ขอแค่เจ้าชนะข้า จะเป็นการป้อนหมัดหรือถามหมัด แน่นอนว่าเจ้าเป็นคนตัดสินใจ”

เฉินผิงอันได้แต่ยิ้มเจื่อนจนคำพูด

การป้อนหมัดของท่านอาหลี่ ไม่เบาเลยจริงๆ

ชุยตงซานอยู่ต่อเพื่อพูดคุยเรื่องในวันวานกับเซี่ยเซี่ย

หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยนเดินไปหาหลี่เอ้อ ขอความรู้วิชาหมัดบางอย่างจากเขา

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พาเหวยเหวินหลงไปเยี่ยมเยือนเหวยอวี่ซงเทพเจ้าแห่งโชคลาภสำนักพีหมา ฟ่านเอ้อ ซุนเจียซู่ จินซู่

ฟ่านเอ้อมาคอยยืนรอเฉินผิงอันที่หน้าประตูอยู่ตลอดเวลา

เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ ตรงไปหา ยิ้มพลางยกมือขึ้นตีมือกับฟ่านเอ้อแรงๆ

ฟ่านเอ้อเดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอัน กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ทุกวันนี้ข้าเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตห้าของวิถีวรยุทธแล้วนะ คราวหน้าพวกเรามาประลองฝีมือกันสักหน่อยไหม?”

เฉินผิงอันลังเลอยู่นาน สุดท้ายเอ่ยแค่ว่า “ทะลุขอบเขตเร็วยิ่งนัก”

อยู่ที่นี่ล้วนพูดคุยกันเรื่องของการค้า ไม่ใช่ว่าไม่มีความสัมพันธ์ควันธูป แต่ว่ามิตรภาพ แท้จริงแล้วก็อยู่ในการค้านี่เอง

สหายที่แท้จริง แท้จริงแล้วพูดหนึ่งพันกล่าวหนึ่งหมื่นก็หนีไม่พ้นความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายใหญ่กว่าคำว่าเงินเท่านั้น

ยามอยู่กับเซี่ยซงฮวา หยวนหลิงเตี้ยน เว่ยซานจวินที่เป็นแขกของภูเขาลั่วพั่วก็ถือว่าได้แสดงน้ำใจของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่แล้ว

เฉินผิงอันพาจูเหลี่ยนและจ้งชิวมาเยี่ยมเยือนมอบของขวัญกลับคืน

อวี้เจวี้ยนฟูกุมหมัด

หลินจวินปี้กุมหมัดก่อน จากนั้นค่อยประสานมือคารวะ เอ่ยเรียกสองครั้งด้วยคำเรียกขานสองอย่าง “คารวะใต้เท้าอิ่นกวาน คารวะอาจารย์เฉิน”

เฉินผิงอันผงกศีรษะตอบรับก่อน จากนั้นจึงประสานมือคารวะกลับคืน ยิ้มถามว่า “พวกเฉากุ่น เสวียนเซินสบายดีหรือไม่?”

หลินจวินปี้ลุกขึ้นยืนก่อนถึงตอบ “ล้วนได้เจอกันคนละครั้ง คิดถึงใต้เท้าอิ่นกวานยิ่งกว่าจวินปี้เสียอีก”

หลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวน ทุกวันนี้อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ได้เป็นแค่เด็กหนุ่มที่มีชื่อเสียงอีกต่อไป แต่เป็นบุคคลผู้โดดเด่นในบรรดากลุ่มคนรุ่นเยาว์ ทุกครั้งที่เอ่ยถึงชื่อหลินจวินปีนี้ ก็มักจะมอบความรู้ตื่นตะลึงให้แก่ผู้คนได้เสมอ ขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่ ประสบการณ์และคุณความชอบทางการสู้รบที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ความสามารถส่วนบุคคล การสืบทอดสายบุ๋นของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ฉู่เซียง (ตำแหน่งขุนนางผู้ช่วยในสภาขุนนาง) แห่งราชวงศ์เส้าหยวน รูปโฉมที่หล่อเหลาโดดเด่น กลิ่นอายแห่งตระกูลเซียนบนภูเขา ฝีมือการเล่นหมากล้อมที่สูงส่ง บุคลิกสุภาพสง่างาม เก่งในการลงมือปฏิบัติจริง…ล้วนมีแต่ข้อดี ราวกับว่าเป็นคนที่ไร้ตำหนิอย่างไรอย่างนั้น

เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “จวินปี้ เจ้ายังต้องผ่านสามด่านไปให้ได้ จิตมารของคอขวดก่อกำเนิด เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน รับหน้าที่เป็นราชครูของราชวงศ์เส้าหยวน รอคอยคำด่าอย่างสงบ”

หลินจวินปี้สีหน้าเคร่งขรึม รอคอยประโยคต่อไปเงียบๆ คิดดูแล้วด่านสุดท้ายมีแต่จะข้ามผ่านไปได้ยากยิ่งกว่า

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ยังต้องให้ข้าพูดมากอีกหรือ? แน่นอนว่าต้องรีบหาภรรยา อย่าอยู่เป็นชายโสดขึ้นคานน่ะสิ”

หางตาเฉินผิงอันเหลือบมองไปยังสตรีที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง

อวี้เจวี้ยนฟูถามอย่างขำๆ ปนฉุน “จะถามหมัดรึ?”

หลินจวินปี้พยักหน้า “ข้าลงเดิมพันว่าแม่นางอวี้จะชนะ”

ขอแค่ใต้เท้าอิ่นกวานตอบตกลงว่าจะถามหมัดกับคนอื่น หลินจวินปี้รู้สึกว่าตัวเองต้องจ่ายเงินดูเรื่องสนุกก็ถือว่าได้กำไรแล้ว

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พูดกับหลินจวินปี้ด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ทุกวันนี้ฝีมือการเล่นหมากล้อมของข้าพัฒนาไปมาก วันหน้าข้าจะให้ชุยตงซานเล่นกับเจ้าหลายๆ ตา”

หลินจวินปีมีสีหน้าเหนื่อยใจ นี่มันหลักการอะไรของใต้เท้าอิ่นกวานกัน?

เฉินผิงอันกล่าว “แม่นางอวี้ เมื่อหลายปีก่อนต้องขอบคุณที่เจ้าช่วยดูแลเผยเฉียน”

อวี้เจวี้ยนฟูส่ายหน้า “บนสนามรบของเกราะทองทวีป เผยเฉียนเคยช่วยข้าไม่ใช่แค่ครั้งเดียว”

เฉินผิงอันส่ายหน้าเช่นเดียวกัน “บัญชีจะคิดกันเช่นนี้ไม่ได้ หากไม่มีเจ้า การออกจากบ้านไปหาประสบการณ์ของเผยเฉียนมีแต่จะยากลำบากยิ่งกว่านี้”

อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ยสัพยอก “จะคิดบัญชีกันให้ชัดเจนรึ?”

เซี่ยซงฮวาเอ่ย “ที่บ้านควบคุมอย่างเข้มงวด มีวิธีอะไร แม่นางอวี้เจ้าก็ช่วยอภัยให้มากหน่อย”

เฉินผิงอันกลัวเซียนกระบี่หญิงจากธวัลทวีปผู้นี้มาก จึงรีบเอ่ยลาไปอย่างเร่งร้อน

ต่อจากนั้นในที่สุดก็ไม่ต้องมอบของขวัญตอบแทนกลับคืนอะไรอีกแล้ว จึงพาเพ่ยเซียงและหงเซี่ยไปพบกับสายของตรอกฉีหลง

เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรอย่างเจี่ยเฉิงนี้ เวลานี้เหมือนกำลังเปิดเนตรสวรรค์ ‘มอง’ เจ้าขุนเขาหนุ่ม ผู้เฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่หยุด ลูบหนวดเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ดูจากภาพบรรยากาศรอบกายเจ้าขุนเขา อำนาจหนักแต่พลังเบา พลังเบาย่อมโปร่งสว่างทั้งยังล้ำค่า ยังไม่ต้องพูดถึงขอบเขตที่สูงเสียดชั้นเมฆ พูดถึงแค่การวางตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เจ้าขุนเขาก็ราวกับคนที่ผสานรวมกับฟ้าดิน เรียกได้ว่าบรรลุถึงแก่นสุดยอดแล้ว”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

โชคดีที่ที่นี่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย

ล้วนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดไม่ก็ลูกศิษย์ของลูกศิษย์บนทำเนียบบ้านตัวเองทั้งนั้น

หยวนเป่า หยวนไหล เฉินยวนจี จ้าวซู่เซี่ย จ้าวหลวน บวกกับอวิ๋นจื่อที่ไม่อาจพูดอะไรได้ หลังจากกลายร่างเป็นคนก็กลายมาเป็นคนหนุ่มชุดดำที่ดวงตาเรียวยาวผู้หนึ่ง

เฉินผิงอันเอ่ยเตือนอวิ๋นจื่อ “อวิ๋นจื่อ วันหน้าภูเขาหวงหูก็คือสถานที่ฝึกตนของเจ้าแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ประชุมกันในศาลบรรพจารย์ หงเซี่ยเป็นฝ่ายเสนอให้ยกจวนวารีให้เจ้า จากนั้นอาศัยโอกาสนี้ เจ้าก็สามารถไปประลองฝีมือการเล่นหมากล้อมกับหลินจวินปี้สักหลายๆ ตาได้ ไม่แน่ว่าจะช่วยให้เจ้าพัฒนาจิตแห่งมรรคาได้มากขึ้น”

ที่เรือนหลังสุดท้ายนั้นมีเพียงเจ้าเกาะจูไช หลิวจ้งรุ่นที่อยู่เพียงลำพัง

เฉินผิงอันพาเฉาฉิงหล่างกับหมี่ลี่น้อยไปเยี่ยมเยือนนางด้วยกัน

หลังจากนั้นเว่ยจิ้นกับหยวนหลิงเตี้ยนก็เป็นคนกลุ่มแรกสุดที่ออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว

ครอบครัวของหลี่เอ้อก็พากันลงเขาไป ถึงอย่างไรก็อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่ว บ้านบรรพบุรุษของพวกเขาก็อยู่ที่เมืองเล็กด้วย

ตอนที่หันเฉิงเจียงลงจากภูเขา ฝีเท้าก้าวเบาและเร็วขึ้นหลายส่วน รู้สึกว่าเจ้าขุนเขาเฉินคือบัณฑิตที่มีเหตุผล ในที่สุดตนก็ไม่ถูกหลิวเสี้ยนหยางหลอกแล้ว

แขกคนอื่นๆ ที่มาเข้าร่วมงานพิธีล้วนอยู่ต่อบนภูเขาอีกหลายวัน

อันที่จริงสำหรับงานพิธีเฉลิมฉลองของสำนักหนึ่งในใต้หล้าไพศาลแล้ว เวลาสั้นๆ เพียงวันเดียวก็ร่วมพิธีจนเสร็จสิ้น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

โดยทั่วไปแล้ว สั้นหน่อยก็สิบวันครึ่งเดือน ยาวหน่อยก็หนึ่งถึงสองเดือน ล้วนเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก

หากไม่ทันระวัง ตำแหน่งเก้าอี้ขยับไปอยู่ด้านหลัง ผู้คนไม่เห็นหน้าค่าตา นั่นจะกลายเป็นปัญหาแล้ว หรือยกตัวอย่างเช่นตอนที่เจ้าบ้านนำของขวัญมอบกลับคืน กลับไม่ใช่เจ้าสำนักที่ปรากฏตัว หรือแม้แต่บรรพจารย์ผู้คุมกฎหรือผู้ถวายอันดับหนึ่งก็ยังพูดจาพาทีแค่ไม่กี่คำ สุดท้ายมีเพียงพวกเซียนดินทั่วไปที่รับผิดชอบนำของขวัญมามอบตอบแทน ก็จะทำให้ทำเนียบเก่าแก่บนภูเขาเก่าแก่มากมายรู้สึกว่าเสียมารยาทเกินไป ถูกหมิ่นเกียรติอย่างยิ่ง หรือไม่งานเฉลิมฉลองที่หากไม่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสักสองสามคนมาร่วมแสดงความยินดี หรือไม่มีเซียนเหรินเป็นผู้นำขบวนมาร่วมงานพิธี ก็ช่างเป็นเรื่องตลกขบขันยิ่งนัก…หรือยกตัวอย่างเช่นพอเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำแล้ว เพียงไม่นานก็มีภูเขาบ้านตนส่งกระบี่บินมาแจ้งข่าวว่าสำนักแห่งนั้นไม่ได้เรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบถึงกับไม่ได้เห็นเงาร่างของบรรพจารย์บ้านตน กลับเป็นใครๆๆ ของภูเขาลูกใดที่ได้ออกหน้าออกตาบ่อยมาก…

อันที่จริงหากภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่ภูเขาลั่วพั่วของเฉินผิงอัน กล้าจัดหาเรือนที่พักของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนอย่าง ‘ตามแต่ใจ’ เช่นนี้ พูดถึงแค่ลำดับขั้นตอนก่อนหลังของการมอบของขวัญกลับคืน ก็ถือว่าได้ละเมิดกฎไปมากมายหลายข้อแล้ว

ต้องพิจารณาถึงว่าหยวนหลิงเตี้ยนคือลูกศิษย์ที่ได้รับความสำคัญของฮว่อหลงเจินเหริน หลินจวินปี้คือราชครูของราชวงศ์เส้าหยวนในอนาคต อวี้เจวี้ยนฟูก็ยิ่งเป็นลูกหลานสกุลอวี้…

หลังจากนั้นคนกลุ่มของอุตรกุรุทวีปก็นัดหมายกันว่าจะเดินทางกลับด้วยกัน

เซี่ยซงฮวาพาลูกศิษย์สองคนกลับไปพร้อมกับอวี้เจวี้ยนฟูและหลินจวินปี้ บอกว่าจะไปหาศาลชิวเฟิงด้วยกัน

พอดีกับที่ได้เดินทางร่วมกับพวกฟ่านเอ้อ ซุนเจียซู่ช่วงระยะทางหนึ่ง

หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยนต่างก็กลับไปยังภูเขาและกองทัพของตัวเอง

ในที่สุดเฉินผิงอันก็หลบการดื่มเหล้าไม่พ้น คืนวันที่พระจันทร์แจ่มกระจ่างก่อนหน้านี้ จัดการให้สวีซิ่งจิ่วพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว เฉินผิงอัน หลิวจิ่งหลงและหลิ่วจื้อชิงสามคนที่ทั่วร่างคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราก็ไปนอนบนหลังคามองดวงจันทร์บนฟ้าด้วยกัน

ชุยเหวยพาพวกตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนไปฝึกตนอยู่ที่หอบูชากระบี่ สุยโย่วเปียนที่ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าในอนาคตจะไปอยู่ที่สำนักเบื้องล่างในใบถงทวีป จึงขอกระท่อมหลังหนึ่งพักอาศัยอยู่ที่นั่น เพราะนางถูกใจแม่นางน้อยคนหนึ่ง ตั้งใจจะรับเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด แต่ป๋ายเสวียนกลับเปลี่ยนใจกะทันหัน ห้อยยันต์กระบี่ไว้ตรงเอว เดินอาดๆ กลับมาที่ยอดเขาจี้เซ่อ บอกว่าจะฝึกหมัดก่อนสักสามสี่วัน เรื่องของการฝึกกระบี่นี้ นายน้อยต้องร้อนใจด้วยหรือ?

หลินโส่วอี อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยค่อนข้างสนใจเนินจ้าวตู๋แห่งนั้น จึงไม่ได้เกรงใจเฉินผิงอัน ต่างก็ขอเรือนพักส่วนตัวคนละหลังไว้ที่นั่น ผลคือพวกเขากลับต้องประหลาดใจ เพราะที่เก็บหนังสือทุกแห่งล้วนมีหนังสืออุดมสมบูรณ์ยิ่ง

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ปกปิดความลำเอียงของตัวเองแม้แต่น้อย เก็บเรือนหลังหนึ่งที่ตำแหน่งที่ตั้งดีที่สุดไว้ให้เป่าผิงน้อย

เฉินผิงอันไปเยือนภูเขาฮุยเหมิงเพียงลำพังมารอบหนึ่ง ได้เจอกับเส้าพอเซียนและเหมิงหลง รวมไปถึงชุนสุ่ยที่ใช้นามแฝงว่าสือชิว

เด็กสาวบนเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวในอดีต มองบุรุษชุดเขียวที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไปแล้วยิ้มพูดว่านางคิดตกแล้ว ใต้หล้านี้ไม่มีหลุมใดที่ข้ามผ่านไปไม่ได้

ตอนที่เอ่ยประโยคนี้ ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายแวววาว ในมือนางกำถุงเงินปักลายบุปผาเอาไว้แน่น ยกมือขึ้นเบาๆ แกว่งถุงผ้าในเมือ บอกว่าจะไม่มอบให้คุณชายเฉินแล้ว

เฉินผิงอันเอ่ยเพียงประโยคเดียวว่า พวกเราสามารถอดทนกับความทุกข์ยากทั้งหลายจนผ่านมันมาได้ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าความยากลำบากทั้งหลายที่มาเยือนล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

สตรีผู้นั้นยอบกายคารวะบุรุษชุดเขียวสะพายกระบี่

เฉินผิงอันกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วแล้วพลิกเปิดดูบันทึกของห้องบัญชี เป็นความเคยชินจนกลายเป็นนิสัย

ทางฝั่งของห้องบัญชีนี้ นอกจากเหวยเหวินหลงแล้วก็ยังมีจางเจียเจิน อดีตเด็กหนุ่มลูกจ้างร้านเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกวันนี้อายุสามสิบปีแล้ว

เฉาฉิงหล่างอยู่ที่หน้าประตูภูเขา เขากับหยวนไหลต่างคนต่างอ่านหนังสือของตัวเองไป

เฉินยวนจียังคงฝึกหมัดเดินนิ่งเหมือนเดิม หยวนเป่าก็ฝึกเป็นเพื่อนนางด้วย

หยวนไหลที่มองหนังสือมองเฉินยวนจี หยวนเป่ากลับมองเฉาฉิงหล่างที่มองหนังสือ

บนภูเขาลั่วพั่ว คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินลาดตระเวนภูเขา ชุยตงซานเป็นคนนำ ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สีขาวหิมะสองข้างถูกเขาสะบัดจนเหมือนบินได้ ด้านหลังคือเฉินหลิงจวินที่ทำท่าเลียนแบบ หลังเขาอีกทีจึงจะเป็นหน่วนซู่ หมี่ลี่น้อยและคนจิ๋วควันธูปที่มาขานชื่อที่นี่ จากสูงมาต่ำ จับกลุ่มกันเป็นขบวน

หมี่อวี้กำลังดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเป็นเพื่อนเจียงซ่างเจิน จูเหลี่ยนที่หลังค่อมงองุ้มเอาสองมือไพล่หลัง ชมเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง

พ่อครัวเฒ่ามีเรื่องมาชวนคุยเจียงซ่างเจินได้ไม่หยุดปาก

ฝนตกคือเสียงแห่งความทุกข์จากการคิดถึงบ้าน

หิมะที่ตกสะสมในหน้าหนาว ก็เหมือนเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกที่ห่มคลุมอยู่บนร่างของคนยากจนในฤดูร้อน น่ามองก็น่ามองอยู่หรอก เพียงแต่ว่าสวมแล้วทุกข์ทรมานยิ่ง

หลายปีที่ผ่านมานี้นางอยู่ในภูเขาแห่งหนึ่งมาโดยตลอด ฝึกตนอยู่ในป่าลึก ไม่ออกมาพบเจอข้า

ภูเขาลูกใด?

ในใจข้า

ทำเอาหมี่อวี้ที่ได้ฟังรู้สึกนับถือยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ดูแลใหญ่และผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง

หลังจากเฉินผิงอันออกมาจากห้องบัญชีก็มามองดูขุนเขาสายน้ำไกลๆ อีกครั้ง และในที่สุดก็เจอโอกาส เพราะสังเกตเห็นว่าหลิวเสี้ยนหยางเดินเตร็ดเตร่ไปซื้อเหล้าที่เมืองเล็ก

‘เย่โหยว’ กระบี่ยาวเล่มนั้นถูกแขวนไว้บนผนังชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่แล้ว

เฉินผิงอันรีบดิ่งไปที่ร้านตีเหล็กริมลำคลองทันที แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายคนหนึ่งกำลังนั่งแทะเมล็ดแตง แสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขา

เฉินผิงอันนั่งลงบนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กที่อยู่อีกด้านหนึ่ง สองนิ้วประกบกัน ดูเหมือนจะคีบดวงจันทร์เล็กจิ๋วดวงหนึ่งออกมา ยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางเซ่อเยว่ คืนให้เจ้า ก่อนหน้านี้เป็นความเข้าใจผิดกัน”

ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากไม่ตีกันก็คงไม่ได้รู้จักกัน เฉินผิงอันรับของขวัญพบหน้าของเซอเยว่เอาไว้ จิตวิญญาณดวงจันทร์ครึ่งส่วน

แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ใช่จิตวิญญาณดวงจันทร์ห้าส่วนของดวงจันทร์ดวงหนึ่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย

เซอเยว่รีบทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจทันที หันหน้ามาจับจ้องอิ่นกวานผู้นี้เขม็ง “เฉินผิงอัน เจ้าคิดจะทำอะไรอีก?!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเป็นหลิวไฉจริงๆ”

เซอเยว่โบกมือ “เอาไปๆ ประลองคาถาวิชาต่อกัน กล้าเดิมพันก็กล้ายอมรับความพ่ายแพ้”

เฉินผิงอันยกมือขึ้น ยังคงยืนกรานในความคิดว่าจะคืนของสิ่งนี้ให้กับนาง

แม่นางหน้ากลมพลันเกิดความคิด เอ่ยว่า “ถือเสียว่าเป็นของขวัญแสดงความยินดีที่ภูเขาลั่วพั่วเลื่อนขั้นเป็นสำนักก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ของขวัญหนักเกินไปแล้ว”

ใบหน้าของเซอเยว่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

เฉินผิงอันพลันเก็บจิตวิญญาณดวงจันทร์ไปด้วยความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันป้องหู เพิ่งจะนั่งตัวตรงอย่างสำรวมก็ถูกคนผู้หนึ่งที่มานั่งยองอยู่ด้านหลังยื่นมือมารัดคอไว้แล้ว

เซอเยว่มองจนปากอ้าตาค้าง หลิวเสี้ยนหยางใช้ได้เลยนี่นา ขอบเขตไม่สูงแต่กลับใจกล้าไม่เบา

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ยังกล้าพาตัวมาส่งถึงที่อีกหรือ?”

เฉินผิงอันกระแอมไอ “ข้าแค่มาดูพี่สะใภ้”

หลิวเสี้ยนหยางอึ้งตะลึง แรงที่แขนพลันคลายลง เฉินผิงอันจะได้พูดคุยได้หลายๆ ประโยคหน่อย

เซอเยว่หน้าแดงก่ำ ลุกพรวดขึ้นยืน จะตีก็ตีไม่ได้ จะด่าก็ด่าไม่ชนะ นางจึงเดินกลับห้องไปด้วยความโมโห

หลิวเสี้ยนหยางยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงด้านข้าง เอ่ยเสียงเบา “ถือว่าเจ้ารู้กาลเทศะ”

เฉินผิงอันถาม “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

หลิวเสี้ยนหยางเบ้ปาก “ได้มองนานอีกหน่อย อันที่จริงถือว่าเป็นเรื่องดี ข้าเป็นขอบเขตหยกดิบได้ง่ายๆ จิตมารต้องกลัวข้าถึงจะถูก จะหลบก็หลบไม่พ้น”

หลิวเสี้ยนหยางโยนเหล้ากาหนึ่งให้เฉินผิงอัน คนทั้งสองดื่มเหล้าแทะเมล็ดแตงไปด้วยกัน

หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “ทุกวันนี้เจ้าขี้มูกยืดน้อยมีชีวิตได้ไม่เลวเลย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจิ้งจวีจงเจ้านครจักรพรรดิขาว ผู้นำยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งแห่งลัทธิมารในใต้หล้า ไม่ใช่ว่าใครจะมาเป็นก็ได้

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มถาม “คือการจัดการของเจ้า?”

เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง “จะเป็นไปได้อย่างไร เกินครึ่งต้องเป็นฝีมือของซิ่วหู่ ข้ากับนครจักรพรรดิขาวไม่เคยมีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันแม้แต่นิดเดียว”

หลิวเสี้ยนหยางเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนถามว่า “เอายังไง? หนึ่งคนต่อหนึ่งที่ หรือว่าจะไปด้วยกันทุกที่?”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าไปท้าทายภูเขาตะวันเที่ยงก็แล้วกัน เซียนกระบี่เยอะ”

——