คนทั้งสองเดินเลียบลำคลองหลงซวีขึ้นไปทางตอนบนของสายน้ำ
ตอนที่ผ่านสะพานหินโค้ง หลิวเสี้ยนหยางก็ยิ้มเอ่ยว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดปีนั้นข้าถึงได้ยืนกรานจะติดตามช่างหร่วน?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เมื่อก่อนที่นี่มีสะพานแบบคาน ยามสนธยาของทุกวัน คนที่มาเดินเล่นรับลมเย็น มาคุยเล่นกันที่นี่จะมีเยอะมาก เป็นรองแค่ใต้ต้นไหวโบราณเท่านั้น ฝ่ายหลังนี้มีคนแก่กับเด็กเยอะ แต่ที่นี่กลับมีคนหนุ่มเยอะ สตรีก็เยอะ”
หลิวเสี้ยนหยางนวดคลึงข้างแก้ม พูดอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่แม่นางน้อยในปีนั้น ทุกวันนี้ต่างก็อายุไม่น้อยกันแล้ว ทุกครั้งที่พบเจอข้าระหว่างทาง ข้างกายแม่นางแก่จะต้องพาแม่นางน้อยมาด้วย สายตาที่มองข้าไม่ค่อยปกติเท่าไร เหมือนจะกินคนอย่างไรอย่างนั้น”
เฉินผิงอันเอ่ย “อย่าคิดมาก พวกนางก็แค่สงสัยว่าเจ้าคือผู้ฝึกตนบนภูเขา ไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าหล่อเหลารูปงาม ดูไม่แก่ชราหรอก”
เรื่องที่หลิวเสี้ยนหยางเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียน มนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาของเมืองเล็กที่รู้เรื่องมีอยู่ไม่มาก บวกกับที่ศาลบรรพจารย์ของช่างหร่วนย้ายไปอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวง หลิวเสี้ยนหยางอยู่เฝ้าร้านตีเหล็กเพียงลำพัง ต่อให้เป็นพวกในอาณาเขตขุนเขาเหนือที่ข่าวสารว่องไว อย่างมากสุดก็ยังเข้าใจผิดคิดว่าหลิวเสี้ยนหยางคือลูกศิษย์นักการที่ช่วยงานจุกจิกของสำนักกระบี่หลงเฉวียนเท่านั้น
หลิวเสี้ยนหยางทอดถอนใจเอ่ย “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงเป็นเซอเชี่ยนเยว่ที่เหมาะสมกับข้าหน่อย เป็นคู่สร้างคู่สม เมื่อมีวาสนา ต่อให้อยู่ห่างพันลี้ก็ยังได้มาพบเจอกัน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทุกวันนี้นางใช้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่รึ? ใช้ความคิดจิตใจไปไม่น้อย”
เซอเยว่ อวี๋เชี่ยนเยว่ ดวงจิตของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย เมื่อความคิดบังเกิดจิตใจก็ล่องลอยไปไกลอีกครั้ง เหมือนลมวสันต์พลิกเปิดหน้าหนังสือที่ทำการตรวจสอบความคิดอย่างไร้ความยำเกรง
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า “เดิมทีพี่สะใภ้ของเจ้านางก็เป็นแม่นางที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นนางที่เห็นคนหนุ่มมากความสามารถมาทั่วทั้งสองทวีป ข้ามผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำ สุดท้ายก็คงไม่มีทางเลือกแค่หลิวเสี้ยนหยาง จากนั้นก็ไม่ยอมจากไปอีกเช่นนี้หรอก”
เฉินผิงอันไม่ได้ต่อคำ หยุดยืนอยู่บนสะพานหินโค้ง ไม่ขยับเท้าเดินต่อไปเบื้องหน้า
หลิวเสี้ยนหยางมองน้ำไหลใสกระจ่างของลำคลองหลงซวี พืชน้ำส่ายสะบัด ปลาน้อยแหวกว่ายในธารา อยู่ดีๆ หลิวเสี้ยนหยางก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย มอง ‘เฉินผิงอัน’ (ชื่อที่เขียนในบันทึก 陈凭案 ไม่ใช่ชื่อของเฉินผิงอัน 陈平安) ที่อยู่ข้างกายนี้ แล้วหันมามองตัวเอง คนเรายามเปรียบเทียบกับผู้อื่นก็ชวนให้โมโหจริงๆ ในบันทึกขุนเขาสายน้ำที่เดิมทีเกือบถูกหลิวเสี้ยนหยางเปิดอ่านจนหน้ากระดาษขาด ในลำธารกลางภูเขาลึก เห็นสตรีผู้หนึ่งนั่งหวีผมอยู่บนหินกลางน้ำ เร่งเดินทางยามค่ำคืน เจอกับสตรีโตเต็มวัยที่เดินโซซัดโซเซไปหลบฝนในวัดร้าง สตรีเคาะประตูขอพักค้างแรม ไม่ต้องคิด หลิวเสี้ยนหยางไม่ต้องเปิดหน้าหนังสือต่อก็รู้ว่าโชคด้านสาวงามของเฉินผิงอันมาถึงแล้ว บัณฑิตได้แต่เจ็บใจที่ตนไม่ใช่คนในตำรา
เพียงแต่หลิวเสี้ยนหยางมาลองคิดดูอีกที ตนก็มีแม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายแล้ว หลังจากกลับไปจะไปแขวนภาพอักษรตัวใหญ่บนผนังที่พัก เขียนเป็นสองคำว่า รู้จักพอ
เฉินผิงอันพลันนั่งลงบนสะพาน หลับตาทำสมาธิ
หลิวเสี้ยนหยางนั่งยองอยู่ด้านข้าง เงียบไปครู่หนึ่ง เพราะรู้สึกเบื่อหน่ายจึงอดไม่ไหวถามว่า “เป็นอะไรไป?”
เฉินผิงอันใช้สองมือยันพื้นสะพาน แกว่งขาสองข้างที่ลอยห้อยอยู่กลางอากาศเบาๆ ลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าเคยมีสัญญาหกสิบปีอยู่ครั้งหนึ่ง เดิมทีคิดว่าจะทำสำเร็จได้ล่วงหน้าก่อนหลายปี ตอนนี้มาลองคิดดูแล้วคงได้แต่รอคอยไปอย่างว่าง่ายแล้วล่ะ อันที่จริงสุดท้ายแล้วจะรอคอยจนถึงวันนั้นได้หรือไม่ ข้าก็ไม่กล้ารับรองเลยด้วยซ้ำ”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า “ในอดีตตอนข้ากลับจากทักษินาตยทวีปมายังบ้านเกิด เห็นว่าเหล่าเจี้ยนเถียว (กระบี่โบราณ) ใต้สะพานไม่อยู่แล้ว ก็รู้ว่าเกินครึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้า”
เหล่าเจี้ยนเถียวที่แขวนไว้ใต้สะพานก็ดี เฉินผิงอันที่อยู่ข้างกายก็ช่าง ในสายตาของคนนอกล้วนเคยชินที่จะเห็นเป็นสิ่งไม่สะดุดตา
เฉินผิงอันกล่าว “น่าจะเป็นซิ่วหู่ที่ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดสะบั้นการเชื่อมโยงระหว่างพวกเรา รอจนข้ากลับมาถึงบ้านเกิด เท้าเหยียบลงพื้นอย่างมั่นคง มั่นใจในเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริงกลับคล้ายว่าได้เริ่มฝันไปอีกครั้ง ในใจว่างโหวง เมื่อก่อนแม้จะเจอด่านยากๆ มามากมาย แต่อันที่จริงความรู้สึกที่สัมผัสได้โดยที่ไม่มองไม่เห็นนั้นคล้ายเป็นเส้นใยบางๆ ที่เชื่อมโยงอยู่ ต่อให้จะต้องเฝ้าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนั้นเพียงลำพัง ก็ยังเคยอาศัยการคิดคำนวณอย่างหนึ่งมา ‘ส่งกระบี่บินแจ้งข่าว’ ให้กับทางฝั่งนี้ครั้งหนึ่ง ความรู้สึกเช่นนั้น…จะพูดว่าอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนอย่างครั้งแรกที่ข้าได้ไปเยือนภูเขาห้อยหัว ศึกที่เกิดขึ้นที่ร่องเจียวหลงก่อนหน้านี้ ต่อให้ข้าแพ้ข้าตายไป ก็ยังไม่ขาดทุนอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่อให้เป็นลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง ขอแค่ข้ายอมสละเลือดเนื้อของตัวเองได้ ก็สามารถลากเจ้าลงมาได้อยู่ดี พอมาลองย้อนนึกดู ความคิดเช่นนี้ อันที่จริงก็คือ…ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของข้าแล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่บนเส้นทางการฝึกตน นางช่วยอะไรข้าได้บ้าง แต่เป็นเพราะการดำรงอยู่ของนาง ทำให้จิตใจข้าสงบ ตอนนี้กลับ…ไม่มีแล้ว”
บนเส้นทางของชีวิตคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือมนุษย์ธรรมดาทั่วไป อันที่จริงก็มักจะมีความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็น ‘ที่พึ่ง’ ของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นคนที่จิตใจดีงามก็มักจะเชื่อว่าคนทำดีย่อมได้ดีตอบแทน และอาศัยสิ่งนี้มาตั้งตัวเป็นศัตรูกับความทุกข์ยากทั้งหมดบนโลก
สะบั้นการรับสัมผัสทางจิตส่วนที่เฉินผิงอันกับนางมีต่อกันไปอย่างสิ้นเชิง
นี่ก็คือหนึ่งในกุญแจสำคัญของความฝันที่สี่ต่อจากฝันที่สามในถ้ำแห่งโชควาสนาของชุยฉาน
กว่าเฉินผิงอันจะอาศัยประโยคภูเขาไท่ผิงฝึกตัวตนข้าที่แท้จริงจากเจียงซ่างเจินตอนที่อยู่ภูเขาไท่ผิงมาพิสูจน์จริงเท็จของ ‘ความฝัน’ ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือพอกลับมาถึงแจกันสมบัติทวีปที่เป็นบ้านเกิด กลับกลายเป็นว่าเริ่มสับสนขึ้นมาอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะตลอดทางที่เดินทางมานี้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ ถ้ำแห่งโชควาสนา ท่าเรือชวีซาน ภูเขาไท่ผิง พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา นครเซิ่นจิ่ง ยอดเขาเทียนแจว๋…ยิ่งขยับขึ้นทางเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนั่งเรือข้ามทวีปมาถึงอาณาเขตขุนเขาใต้ของแจกันสมบัติทวีป สัมผัสทางจิตนั้นกลับไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่เสี้ยวเดียว
กระทั่งเฉินผิงอันเดินทางไปถึงศาลลำน้ำใหญ่ของแจกันสมบัติทวีป ถึงได้หยุดความกังวลส่วนนี้ได้อย่างแท้จริง
ฝึกตนฝึกกระบี่ ถามกระบี่ต่อฟ้า เซียนกระบี่บินทะยาน เรียนวรยุทธปล่อยหมัด บนยอดเขามีข้า เบื้องหน้าไร้ผู้คน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหลักการที่ในใจเฉินผิงอันคิดว่าพึ่งพาได้มากที่สุด และเข้าใจได้อย่างแจ่มกระจ่างมากที่สุด
หลังจากที่ ‘ประชันหมากล้อม’ กับชุยฉานไปแล้ว เฉินผิงอันก็ที่พลิกเปิดตำราอ่านอยู่ในศาลฉีตู้มาทั้งคืนก็พลันสะดุ้งตื่น ตัวเองหวาดกลัวราชครูชุยฉานที่สร้างสถานการณ์ถามใจในทะเลสาบซูเจี่ยนเกินไปแล้ว เป็นเหตุให้ต่อให้ชุยฉานกลายมาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ปกป้องมรรคาให้ตน แต่ขอแค่ตัวของชุยฉานอยู่ในสถานการณ์หมากฝั่งตรงข้าม เฉินผิงอันก็จะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองทำได้แค่พยายามแพ้ให้น้อยเท่านั้น ไม่เคยเพ้อฝันว่าตัวเองจะไม่แพ้ ถึงขั้นที่ว่าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเอาชนะซิ่วหู่ผู้มีสามเรื่องราวอันงดงามแห่งไพศาลได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันยังจะเอ่ยประโยคเบื้องหน้าไร้ผู้คนอะไรได้อีก? ดังนั้นคำว่า ‘เงามืดใต้โคมไฟ’ ที่ชุยฉานกล่าวถึงจึงไม่ได้เป็นการใส่ร้ายเฉินผิงอันจริงๆ กุญแจสำคัญในการไขปริศนา ก็ได้อาศัยมันมาเปิดเผยให้รู้นานแล้ว แต่เฉินผิงอันกลับไม่อาจทำความเข้าใจได้เสียที
เฉินผิงอันพูดเยาะเย้ยตัวเอง “รอจนข้าออกจากภูเขาห้อยหัวไปยังถ้ำแห่งโชควาสนาเกาะหลูฮวา แล้วได้เหยียบลงบนใบถงทวีปอีกครั้ง กระทั่งเวลานี้ที่นั่งอยูที่นี่ เมื่อไม่มีสัมผัสนั้นอยู่แล้ว ยิ่งเดินเข้าใกล้บ้านเกิดกลับยิ่งเป็นเช่นนี้ อันที่จริงนี่ทำให้ข้าปรับตัวไม่ได้อย่างมาก ก็เหมือนอย่างตอนนี้ ราวกับว่าหากข้าทนไม่ไหวก็จะกระโดดลงไปในน้ำ พอเงยหน้าขึ้นมามองดูแล้วก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้วเหล่าเจี้ยนเถียวยังคงห้อยอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา”
หลิวเสี้ยนหยางทิ้งตัวนอนหงาย สองมือสอดรองต่างหมอน ยกขาขึ้นไขว่ห้าง ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าชอบคิดโน่นคิดนี่มาตั้งแต่เด็ก เป็นน้ำเต้าตันไม่ชอบพูดจา มีชีวิตรอดกลับมายังใต้หล้าไพศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ใกล้บ้านแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าดูเหมือนเฉินผิงอันคนนี้จะไม่เคยเดินออกไปจากเมืองเล็กบ้านเกิดเลย แท้จริงแล้วทุกอย่างล้วนเป็นเพียงฝันงดงามตื่นหนึ่งใช่หรือไม่? กังวลว่าตลอดทั้งถ้ำสวรรค์หลีจีจะเป็นแค่พื้นที่มงคลกระดาษขาวแห่งหนึ่งเท่านั้น?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฝันงดงามกลายเป็นจริง ใครบ้างที่ไม่ใช่ว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วก็รีบกลับไปนอนหลับต่อ หวังว่าจะสานต่อความฝันก่อนหน้านี้ได้อีกครั้ง ปีนั้นพวกเราสามคน ใครเล่าจะจินตนาการได้ว่าจะมีวันนี้?”
หลิวเสี้ยนหยางเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ตอนที่อยู่บ้านบรรพบุรุษของบ้านเกิด ทุกครั้งที่ข้าผู้อาวุโสปวดฉี่จนตื่นขึ้นมากลางดึก หลังจากปล่อยน้ำเสร็จก็ต้องรีบวิ่งกลับขึ้นเตียง พอหลับตาลงก็รีบนอนต่อทันที บางครั้งก็ทำสำเร็จ แต่ส่วนใหญ่ความฝันล้วนเปลี่ยนไปแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ระวังจะถูกเฒ่าจันทราตัวปลอมผูกด้ายแดง จับคู่ยวนยางส่งเดชเข้าล่ะ การที่ข้าป้องกันภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นถึงเพียงนี้ก็เพราะว่าคนบางคนที่หลบอยู่เบื้องหลังมีฝีมือที่เชี่ยวชาญยิ่ง ทำให้คนยากจะป้องกัน เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้า ถึงขั้นที่ว่ายังบวกกับหลิวป้าเฉียวไปอีกคน มีคนแอบควบคุมการไหลรินของโชคชะตาวิถีกระบี่ในหนึ่งทวีปอยู่อย่างลับๆ กุ้ยฮูหยินที่ครั้งนี้มาเข้าร่วมงานพิธีก็เตือนข้าเหมือนกัน”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ก่อนจะกลับบ้านเกิด ข้าได้ให้คนช่วยตัดด้ายแดงครองคู่ที่มีกับหวังจูทิ้งไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะมีความอดทนดีเยี่ยม รอคอยตาปริบๆ ให้เจ้ากลับมาบ้านเกิดแบบนี้ได้หรือ? ป่านนี้ก็คงพุ่งไปฟันนครลมเย็นตั้งแต่นอกนครยันในนคร ฟันตั้งแต่ล่างภูเขาตะวันเที่ยงไปจนถึงบนภูเขาคนเดียวนานแล้ว ก็เพราะกลัวว่าคนผู้นี้จะหนีไปน่ะสิ”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ “ถ้าอย่างนั้นก็อาจต้องเพิ่มหวงเหอจากสวนลมฟ้าไปด้วยอีกคน”
หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้า บรรพจารย์หญิงภูเขาตะวันเที่ยง เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ
หลิวเสี้ยนหยางแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียน หวังจูแห่งตรอกหนีผิง หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้า เทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยง
หากไม่เป็นเพราะเว่ยจิ้นได้พบเจอกับอาเหลียง ได้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มารอบหนึ่ง หากหลิวเสี้ยนหยางไม่ได้เดินทางไกลไปขอศึกษาต่ออยู่กับสกุลเฉินผู้รอบรู้ แต่อยู่ในทวีปต่อไป ไม่แน่ว่าอาจจะถูกคนเบื้องหลังปั่นหัวเล่นอยู่ในกำมือเหมือนกับหลี่ถวนจิ่ง ด้วยคุณสมบัติด้านวิถีกระบี่ของหลี่ถวนจิ่ง ไม่ว่าจะเอาไปวางไว้ในแปดทวีปใดของไพศาล ก็ล้วนจะต้องได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินอย่างไร้ข้อกังขา ทว่าอยู่ในแจกันสมบัติทวีป หลี่ถวนจิ่งกลับไม่อาจเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้เสียที ในบรรดาตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ ภูเขาตะวันเที่ยงมีตัวอ่อนเซียนกระบี่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ได้ยึดครองพื้นที่หนึ่ง อู๋ถีจิง
เซอเยว่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อยู่ในใต้หล้าไพศาลใช้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่ เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตอนที่อยู่ใบถงทวีปก็ใช้นามแฝงว่าเผยเหวินเยว่ (ชื่อของเซอเยว่ ภาษาจีนคือ 赊月 นามแฝงอวี๋เชี่ยนเยว่คือการนำตัวอักษรในตัวอักษรเชอ 赊 มาแยกออกเป็นสองตัว ได้เป็นคำว่าอวี๋และเชี่ยน ส่วนชื่อเผยหมิ่น ภาษาจีนเขียน 裴旻 ตัวอักษรหมิ่นหากแยกคำออกมาจะได้อีกสองคำคือคำว่าเหวินและคำว่าเยว่)
หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าตายไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ภูเขาตะวันเที่ยงก็มีเซียนกระบี่เด็กหนุ่มอย่างอู๋ถีจิงเพิ่มเข้ามา?
หลี่ถวนจิ่ง อู๋ถีจิง
ภูเขาตะวันเที่ยงกำลังเตือนหวงเหอแห่งสวนลมฟ้าอยู่หรือไม่ว่า ‘ข้าก็คือหลี่ถวนจิ่งครึ่งตัว?’
คนที่หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังผู้นั้นยังคงลงมือด้วยรูปแบบเดิมๆ ชวนให้คนสะอิดสะเอียนได้ดีเสียจิรง
ศัตรูอย่างหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา บุญคุณความแค้นแบ่งแยกชัดเจน อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกว่าเป็นภาระอะไรมากนัก ไม่ว่าจะแบ่งแพ้ชนะหรือแบ่งเป็นตาย ควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เขาเป็นเช่นนี้ หม่าขู่เสวียนก็เช่นเดียวกัน ชัดเจนตรงไปตรงมา
เดิมทีเฉินผิงอันคิดว่าจะให้ ‘โจวอันดับหนึ่ง’ ลงจากเขาไปช้าสักหน่อย ยกตัวอย่างเช่นรอให้ตนเดินทางไปยังอุตรกุรุทวีปก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะได้ให้โจวซ่างเจินทำความคุ้นเคยกับบนภูเขาลั่วพั่วมากหน่อย
เพียงแต่ว่าพอคิดถึง ‘อู๋ถีจิง’ ผู้นี้ ก็นึกไปถึงหลิวป้าเฉียวผู้เป็นสหาย เฉินผิงอันจึงเปลี่ยนความคิดทันใด หยิบกล่องกระบี่ใบนั้นออกมา ใช้กระบี่บินแจ้งข่าวไปยังห้องกระบี่ที่สร้างใหม่บนยอดเขาจี้เซ่อโดยตรง ให้เจียงซ่างเจินและชุยตงซานเริ่มจับตามองความเคลื่อนไหวของคนผู้นี้ได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย จะไม่ยอมให้สตรีที่ตำแหน่งที่นั่งอยู่ค่อนไปทางด้านหลังในศาลบรรพจารย์ผู้นั้นแอบหนีไปเด็ดขาด แต่ภูเขาลั่วพั่วเพียงแค่จับตามองนางชั่วคราวเท่านั้น ยังไม่ต้องรีบร้อนลงมือ
ศาลบรรพจารย์และทำเนียบในศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงกับนครลมเย็น เฉินผิงอันเปิดอ่านตรวจสอบมาหลายต่อหลายรอบแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาตะวันเที่ยง ‘หนิวเหมา’ หนึ่งในเจ็ดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรพบุรุษ การเปลี่ยนทำเนียบของเทพธิดาซูเจี้ย การขึ้นเขามาฝึกตนของอู๋ถีจิงเซียนกระบี่เด็กหนุ่ม…อันที่จริงมีเบาะแสไม่น้อยที่ทำให้เฉินผิงอันวาดวงกลมออกมาเป็นสตรีโตเต็มวัยที่ชื่อบนทำเนียบศาลบรรพจารย์คือเถียนหว่านผู้นั้น
บวกกับข่าวที่กู้ช่านได้มาจากไฉ่ป๋อฝูในอดีต รวมไปถึงการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสกุลสวี่นครลมเย็นกับสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้น บวกกับการวางแผนเรื่องโชคชะตาบุ๋นของแคว้นหู มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเถียนหว่านที่ตำแหน่งในศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงอยู่ท้ายสุด วางตัวอ่อนน้อมถ่อมตนมาโดยตลอดผู้นี้ ก็คือผู้ถ่ายทอดมรรคาลับของสตรีออกเรือนแล้วแห่งสกุลสวี่นครลมเย็น
ผู้ฝึกตนอันดับท้ายในศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องให้นางรบราฆ่าฟันกับใครเลยด้วยซ้ำ อาศัยแค่การผูกด้ายแดงไม่กี่เส้นก็ทำให้สถานการณ์ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปปั่นป่วน เป็นเหตุให้แจกันสมบัติทวีปไม่มีเซียนกระบี่มาเป็นเวลาหลายร้อยปี
——