WSSTH ตอนที่ 3,342 : ด้ายแขวนพันชั่ง
(ชื่อตอนหมายถึงสถานการณ์เข้าสู่ช่วงคับขัน, วิกฤต มีความสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก)
เนื่องจากต้วนหลิงเทียนลอบใช้พลังของเทพเบญจธาตุอย่างแยบคาย ทั้งยังมีกลิ่นอายของร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวปกปิด ทําให้แม้ใกล้ๆจะมีจักรพรรดิอมตะสมญานามเป็นจํานวนมากก็ยากจะมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาทําอะไร
เว้นเสียแต่จะมีจักรพรรดิอมตะสมญานาม ที่จับตาดูเขาเอาไว้แต่แรก ถึงจะพอมองเห็นเบาะแสบางอย่าง
หลังจากที่ใช้กิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวฟาดทุบจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงจนปลิดปลิว ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าโอกาสที่เขาจะใช้พลังเทพเบญจธาตุโดยที่ไม่มีใครเห็นอีกครั้ง คงยากจะเป็นไปได้เพราะถึงคนอื่นจะไม่รู้ แต่เหลยอิงที่สมควรจับตามองเขาเขม็งหลังจากนี้ต้องสังเกตเห็นแน่
“สารเลวน้อยนั่น มันใช้พลังอันใดกันแน่!?”
เหลยอิงที่ตอนนี้ได้รับบาดเจ็บหนัก สุดที่อาการบาดเจ็บจากฉือหย่าชีก่อนหน้าจะเทียบได้ พอมองไปยังร่างต้นไม้เทพสนหลิวที่มีชายหนุ่มชุดม่วงซุกซ่อนอยู่ไกลตา ในแววตานางก็ฉายชัดถึงความตกใจทั้งไม่อยากจะเชื่อ!
สารเลวน้อยต้วนหลิงเทียนคนนี้ ด่านพลังไม่ใช่ยังเป็นแค่จอมราชันอมตะหรือไร..แล้วไฉนถึงมีพลังร้ายกาจขนาดนี้ได้?
นางไม่ได้รู้เลยว่าเมื่อครู่ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ใช้แค่พลังของเทพเบญจธาตุขั้นที่ 6 บางส่วน แต่เขายังใช้กระบีหลิงหลง 7 เปลี่ยน ที่เป็นถึงอุปกรณ์เทพระดับสูงอีกด้วย
หาไม่แล้วคงยากที่อาศัยพลังของต้วนหลิงเทียนเพียงอย่างเดียว จะซัดทําร้ายเหลยอิงจนอาการสาหัสสิ้นท่าแบบนี้ได้!
ยิ่งไปกว่านั้น ที่ต้วนหลิงเทียนบอกให้เหลียนชิวลงมือจู่โจมนางต่อไป โดยไม่ต้องหันมาช่วยเขา ทั้งหมดก็เพื่อทําให้เหลยอิงแบ่งความสนใจไปยังเหลียนชิว เช่นนั้นจึงไม่อาจสัมผัสได้ถึงจังหวะที่เขาใช้พลังของเทพเบญจธาตุ
ปงงง!!
ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนซัดเหลยอิงบาดเจ็บสาหัส จนนําพาความตกใจมาสู่คนส่วนใหญ่ เสียงระเบิดหนึ่งพลันดังขึ้นสนั่น และเป็น 3 จักรพรรดิอมตะสมญานามใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน ได้ร่วมมือกันบดขยี้การโจมตีของฉือหย่าชี กระทั่งยังซัดทําร้ายนางจนกระเด็น
ซู่ม
ฉือหย่าซีถูกซัดจนปลิวไประยะหนึ่ง ก่อนที่จะขึ้นร่างให้หยุดลง มุมปากปรากฏโลหิตไหลย้อยออกมาให้เห็น ร่างแยกแห่งความตายเองก็รีบวกกลับมารวมร่างกับนางอีกรอบ
“นับว่าอาวุโสทั้ง 3 ร้ายกาจสมคําร่ำลือจริงๆ”
ฉือหย่าขี่ยกมือขึ้นปาดเช็ดเลือดที่มุมปาก ดวงตาคู่งามปานสารทฤดู จับจ้องมองไปยัง 3 ร่างเบื้องหน้าด้วยความจริงจัง
“นังหนู พลังของเจ้านับว่าร้ายกาจมิใช่ย่อย”
จักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารี มองฉือหยาชด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สองตาฉายชัดถึงความตกใจ “วันนี้หากไม่ใช่เพราะพวกเรา 3 คนลงมือพร้อมกัน อาศัยข้าเพียงลําพังคงไม่มีปัญญาสู้เจ้าได้แน่”
“ความแข็งแกร่งของเจ้าตอนนี้ ต่อให้เทียบกับโหยวเฟิงอวี้ จ้าววังเทียนฉือของเจ้า ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย”
สายตาที่จักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารีใช้มองฉือหย่าชี เริ่มฉายถึงความนับถือให้เห็น
“ฉือหย่าชี เจ้าทําดีที่สุดแล้วอาศัยเจ้าเพียงลําพัง สามารถหยุดพวกเราให้เจ้าหนุ่มนั่นได้ครู่หนึ่ง ก็นับว่าช่วยเหลือมันครั้งใหญ่ ต่อให้หลังจากนี้เจ้าไม่คิดสอดมือทําอะไรอีก เจ้าหนุ่มนั่นก็ไม่คิดจะโทษเจ้าหรอก”
จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญกล่าว
ถึงแม้ฉือหย่าซีจะหยุดทั้ง 3 เพราะอ้างว่าคิดจะจัดการต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเองภายหลัง แต่ทุกคนรู้ดีว่าทั้งหมดนางก็แค่คิดจะช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนโดยการปล่อยไป
“ผู้อาวุโสทั้ง 3 ข้าพูดไปแล้วว่าวันนี้ข้าจะปล่อยคนไปก่อน จากนั้นอีก 3 วันให้หลังข้าจะไปตามตัวกลับมา หรือคําพูดข้าที่เป็น 1 ใน 3 พัสดีคุกหมื่นพันธนาการแห่งวังเทียนฉือ เชื่อถือไม่ได้ขนาดนั้น?”
ฉือหย่าชีหยีตามองร่างทั้ง 3 เบื้องหน้า กล่าวออกเสียงหนัก
“3 วันหลังจากนี้? เหอะๆ นั่นมันนานมากพอให้เกิดความเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้า แล้วใครจะกล้าโทษฉือหย่าซีเจ้าหากจับคนมาไม่ได้? ถึงตอนนั้นวังเทียนฉือจะทําอะไรเจ้าได้ หากเจ้ายืนกรานว่าทําเต็มที่แล้ว?
จักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารีกล่าว “ยาโถวน้อย ความคิดตื้นเขินนี้ของเจ้าไหนเลยใช้กับ 3 ผู้เฒ่าอย่างพวกเราได้เล่า…ตอนพวกเรา 3 ผู้เฒ่าบันหัวผู้คนในระนาบเทวโลกกันอย่างสนุกสนาน เจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ!”
“ยาโถวน้อย เจ้าเองก็สมควรตระหนักได้ ว่าเมื่อครู่เป็นพวกเรา 3 คนยั้งมือไว้ไมตรีเจ้า หาไม่แล้วต่อให้เจ้าจะไม่ตาย แต่ก็ต้องมีหนังลอกกันบ้าง…เจ้าหลบไปเถอะ อย่าได้โดดลงโคลนปลักนี้ไปกับเจ้าหนุ่มนั่นเลย”
จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า เอ่ยออกเสียงเบา “สาวน้อยหากเจ้ายังดันทุรังสอดมืออีก ไม่เพียงแต่เจ้าจะยืนฝั่งตรงข้ามกับวังเทียนฉือ เจ้ายังเสมือนคิดต่อต้านพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของพวกเราด้วย”
กล่าวถึงจุดนี้ จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าก็มองจ้องฉือหย่าชีด้วยสายตาลึกซึ้ง ราวกับจะเน้นย้ำสถานการณ์ในปัจจุบันให้ชัดเจน
“ฉือหย่าซี”
ตอนนี้เอง จ้าววังเทียนฉือ โหยวเฟิงอวี้ ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดช่วยมันเพราะเห็นแก่คําศิษย์น้อง แต่วันนี้ถือว่าเจ้าได้ทําดีที่สุดแล้ว พอเสียเถอะ…หากดันทุรังลงมือสืบต่อ ถึงอาวุโสทั้ง 3 จะไม่ทําร้ายเจ้าจนตาย แต่ก็อย่าหวังว่าเจ้าจะลุกมาสู้กับใครได้อีกหลายปี…”
“และเจ้าก็อย่าได้ใจให้มันมากเกินไปนัก! อย่าได้ลืมไปเสียเล่าว่าเจ้ามิใช่ศิษย์ในด่านของฉือหล่างแค่คนเดียว”
โหยวเฟิงอวี้ก็กล่าวย้ำออกมาแกมขู่ ให้ถือหย่าขี้รู้สถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ขณะที่มองขู่อีกฝ่าย ในแววตามันก็ฉายชัดถึงความตกใจครั้งยิ่งใหญ่
มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ
ว่าบุตรีของฉือหล่างคนนี้ จะมีพลังไม่ได้ด้อยกว่ามันแล้ว!
วันนี้หากไม่ใช่เพราะมันเร่งติดต่อความช่วยเหลือจากตา…3 จักรพรรดิอมตะสมญานามจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์คงไม่มา!
และถ้าหากทั้ง 3 ไม่มา น่ากลัวว่าพวกถ้วนหลิงเทียนคงกลายเป็นปลาเล็ดลอดร่างแหแล้วจริงๆ!
เพราะสุดท้าย ที่เห็นได้ชัดว่าฉือหย่าชีจงใจช่วยต้วนหลิงเทียน!
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่…”
ด้านต้วนหลิงเทียนที่ก่อนหน้าทุ่มความสนใจกับการรับมือเหลยอิง จึงไม่ทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเขา
อย่างไรก็ตาม ดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ กับสีหน้าทุกคน ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะเดาได้ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเขาไม่เพียงแต่จะไม่ใช่คู่มือ 3 จักรพรรดิอมตะสมญานามนั่น ทว่าหากพวกมันทั้ง 3 ไม่ยั้งมือไว้ไมตรี นางคงไม่บาดเจ็บแค่เล็กน้อยอย่างที่เห็น
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านไม่ต้องลําบากเพื่อข้าแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนที่มองร่างคือหย่าชีไกลๆ ในแววตานอกเหนือจากความซาบซึ้งบุญคุณ ยังเริ่มฉายยชัดถึงความแน่วแน่ กล่าวคําออกมาเสียงดังฟังชัด “จากนี้ข้าจะสะสางเรื่องราวของตัวเอง”
พอเสียงด้วนหลิงเทียนดังจบค่ำ ร่างเขาก็เริ่มสั่นไหว คนค่อยๆลอยออกมาจากร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว จากนั้นก็กวาดตามองร่างที่ขวางทางทั้ง 3 ด้วยสายตาแหลมคม
จากสถานการณ์ในปัจจุบัน เขาไม่อาจหนีไปไหนได้แน่หากไม่ลงมือเต็มกําลัง เช่นนั้นก็มีแต่ใช้พลังของเทพเบญจธาตุลงมือเข่นฆ่าทั้ง 3 เพื่อเปิดทางเท่านั้น
ถึงตอนนั้นเขากับเหลียนชิวถึงจะมีโอกาสหนีรอดไปได้
ฟุบ! ฟุบ! ฟุ้บ!
หลังจากต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคํา และปรากฏตัวออกมาลอยล่องเหนือร่างอวตารกฏกต้นไม้เทพสนหลิว จักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 ก็แยกย้ายกันพุ่งมาปิดล้อมด้วนหลิงเทียนไว้ราวจุดยอดของ 3 เหลี่ยม
ขณะเดียวกันเหลียนชิวก็เห็นร่างไปหยุดด้านหลังต้วนหลิงเทียนโดยหันหลังให้ สองตาจับจ้องมองจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 เขม็ง
ตอนนี้จักรพรรดิอมตะสมญานามคนอื่นๆของวังเทียนฉือล้วนถูกพัวพันจนไม่อาจปลีกตัว ผู้ที่ขวางทางก็มีแต่ 3 คนที่ล้อมกรอบมันกับต้วนหลิงเทียนอยู่เท่านั้น
เหลยอิงนั่น ถูกต้วนหลิงเทียนซัดจนร่อแร่ไม่น้อย เกรงว่าวันนี้คงไม่อาลงมือขัดขวางอะไรได้อีกแล้ว เว้นเสียแต่นางจะแส่หาที่ตาย!
ฉือหย่างชีที่ลอยร่างชมดูเรื่องราวอยู่ไกลๆ ก็ได้แต่ขมวดคิ้วเคร่งเครียด นางรู้ดีว่าตอนนี้ไม่อาจลงมือทําอะไรได้อีก เพราะหากนางลงมืออีกครั้ง ไม่เพียงแต่จะถือว่ากบฏต่อวังเทียนฉือ ยังเป็นการขัดขวางพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์
ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่นาง กระทั่งบิดาของนางไม่เว้นศิษย์น้องอีก 5 คน ก็ต้องพลอยติดร่างแหจนตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสียงเพราะนาง
เพราะจากคําขู่ของจ้าววังเทียนฉือเมื่อครู่ ฉือหย่าซีวู้ดีแก่ใจว่านั่นคือขีดจํากัดความอดทนของอีกฝ่ายแล้ว หากนางกล้าขัดคําสั่ง ไม่พ้นอีกฝ่ายต้องเบนเข็มไปเล่นงานศิษย์น้องคนอื่นๆของนางจริงๆแน่!
ด้วยเหตุนี้ฉือหย่าซีจึงเสมือนติดในช่องทางคับแคบหนึ่ง จะรุกคืบก็ตีบตัน จะถอยก็มาไกลแล้ว สุดท้ายจึงทําได้แค่เลือกจะโอนอ่อนผ่อนปรน หยุดมือไปในลักษณะนี้
“ศิษย์น้องเล็ก…”
มองไปยังร่างในชุดสีม่วงไกลตา ลือหย่าชื่อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอนกล่าวพึมพําออกมาเสียงเบาอย่างจนปัญญา “ศิษย์พี่หญิง…ทําเต็มที่แล้ว”
“เจ้าหนู เป็นเจ้าสินะที่ก่อการอุกอาจ ปลดปล่อยนักโทษในคุกหมื่นพันธนาการ?”
จักรพรรดิอมตะไม้เท้าวารี มองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ไอ้หนู…เจ้ารู้หรือไม่ว่าในคุกหมื่นพันธนาการนั้น มีคนที่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกเราจับไปขังเป็นการส่วนตัว เผยหยวนจี๋ ?”
จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญ ก็มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน แววตาของมันทําราวกับกําลังมองตะพาบในไห ที่หนีไปไหนไม่ได้
“เหอะๆ อาศัยจอมราชันอมตะตัวกระจ้อยคนหนึ่ง ถึงกับกล้าปล่อยเผยหยวนจี๋ ศัตรูของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน..ข้าต้องบอกเจ้าเลยจริงๆว่าถึงพลังฝึกปรือเจ้าจักต้อยต่ำแต่ใจเจ้ามันได้!”
จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า ก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนเช่นกัน ลึกลงไปในแววตามันมีก็แต่ความเฉยเมยไร้แยแส
“พวกเจ้าเลิกพล่ามไร้สาระเถอะ”
เผชิญหน้ากับจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 ต้วนหลิงเทียนที่ตัดสินใจใช้พลังของเทพเบญจธาตุเต็มกําลังเพื่อเข่นฆ่าเปิดทาง ไม่ได้เผยท่าที่ยินดียินร้ายใดๆ เพียงมองกล่าวกับทั้ง 3 ด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“จะสู้ก็สู้ ไม่สู้ก็ไสหัวไป”
ทันใดนั้น สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเยียบเย็นหนึ่งเรื่องวาบ เทพเบญจธาตุทั้ง 5 ในโลกใบเล็กภายในกาย ที่ติดต่อสื่อสารกับเขาตลอดเวลา เร่งเร้าพลังเตรีมพร้อมปลดปล่อย ให้เขาชักนําพลังออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ กระทั่งจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน หวงเอ้อ ก็พร้อมก่อร่างร่วมมือกับต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าเปิดทาง
“เหอะๆ ไอ้หนู ในเมื่อเจ้าเพื่อชีวิตนัก ข้าจักสงเคราะห์ให้!”
ในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 จากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียน อารมณ์ของจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญนั้นฉุนเฉียวรุนแรงกว่าใคร หลังได้ยินวาจาไม่แยแสดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน มันย่อมทนไม่ไหวเป็นธรรมดา จึงลงมือก่อนใคร ร่างปลดปล่อยพลังเกรี้ยวกราด จนคนคล้ายกลับกลายเป็นยักษ์ไฟตัวเขื่อง อากาศส่งตัวปานจุดระเบิด ออกกระบวนท่าสังหารเข้าใส่ถ้วนหลิงเทียนฉับไว!
อย่างไรก็ตาม ในเสี้ยววินาทีก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะระเบิดพลังทั้งหมดเข่นฆ่าร่างยักษ์ไฟเบื้องหน้า กลับบังเกิดความเปลี่ยนแปลงหนึ่งขึ้นในฉับพลัน!
ตึงงงงง!!
ร่างยักษ์ไฟใหญ่เบิ้มที่กําลังพุ่งเข่นฆ่าเข้ามาอย่างดุร้าย อยู่ๆก็พบเจอกับม่านพลังมิติขุมหนึ่งผุดขึ้นยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า หยุดขวางร่างใหญ่ไว้ได้ชะงัด ไม่ว่าจะเร่งเร้าจนเพลิงลุกโชนเร่าๆเพียงใด ม่านพลังมิติเบื้องหน้าก็คล้ายทรงพลังไร้สิ้นสุด ไม่อาจรุกคืบฝ่าได้แม้องคุลี
“กฏมิติ!?”
ในขณะที่จักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญไม่เชื่อว่าจะไม่อาจฝาม่านพลังมิติไปได้ เสียงตื่นตระหนกของจักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าก็ดังขึ้นกะทันหัน
“ไม่ทราบเป็นผู้ยิ่งใหญ่ท่านใดผ่านมา ไฉนต้องสอดมือช่วยเหลือเจ้าหนุ่มนี่ด้วย?”
จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่าที่เชี่ยวชาญกฏมิติเช่นกัน แหงนมองขึ้นไปยังฟ้าเบื้องบนทันที สองตาจับจ้องไปยังจุดหนึ่งของแพเมฆไม่วางตา ราวด้านหลังแพเมฆนั้นมีอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่
วูบ!
เสียงของสายลมหนึ่งดังขึ้น ปรากฏร่าง 5 ร่างผุดโผล่จากความว่างเปล่าปานภูตผี ยังปรากฏตัวไม่ไกลจากต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่ เป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สตรีงดงามแลดูสูงศักดิ์หนึ่ง จากนั้นก็ชายหนุ่มหญิงสาว 3 คน
และทั้ง 5 คนนี้ เห็นได้ชัดว่าที่ชายวัยกลางคนเป็นผู้นํา
ชายวัยกลางคนดังกล่าวว มาในชุดคลุมสีทองเข้ม ร่างสูง เนื้อตัวกํายําแลดูแข็งแกร่ง ใบหน้ารูปเหลี่ยมเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผย แม้ไม่ได้มีโทสะ หากแต่หว่างคิ้วกลับแผ่พุ่งความน่าเกรงขามคล้ายมีอํานาจสะกดข่มผู้คนประการหนึ่งตลอดเวลา
ด้านสตรีงดงามแลดูสูงศักดิ์นั้น มาในชุดสีขาวบริสุทธิ์ เพียงลอยร่างแน่นิ่งก็แลดูเลอค่าจนยากจะมีบุรุษใดกล้าเอื้อมแตะ บันดาลให้สรรพสิ่งรอบกายคล้ายมัวหมองไม่คู่ควร
สําหรับชายหนุ่มหญิงสาวทั้ง 3 ด้านหลังนั้น ชายหนุ่มในชุดสีดําสนิทมีใบหน้าเย็นชาราวไม่สนใจใคร สําหรับหญิงสาวในชุดข้างกาย ท่วงท่าสภาวะแลดูประหนึ่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ ส่วนสตรีในชุดคลุมทองอีกคนนั้น แลดูห้าวๆซุกซนอย่างไรก็ไม่ทราบ
“หืม?”
เมื่อกลุ่มคนไม่ทราบที่มาปรากฏตัวขึ้นหยุดยั้งจักรพรรดิอมตะเพลิงผลาญได้ชะงัด ต้วนหลิงเทียนที่กําลังจะระเบิดพลังสังหารอยู่รอมร่อ ก็เร่งสะกดพลังเทพเบญจธาตุที่กําลังจะปะทุออกมาได้ทันท่วงที
วินาทีนี้เขาตระหนักว่ามีคนมาช่วยเขา เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ากลุ่มคนเบื้องหน้าเป็นใคร
“คนพวกนี้มาจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนเช่นนั้นหรือ? สหายของอาวุโสเมิ่งชวน?”
ต้วนหลิงเทียนอดคิดไปในทํานองดังกล่าวไม่ได้
และในขณะที่กําลังสงสัยเรื่องนี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่ากลุ่มคนทั้ง 5 เบื้องหน้าที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นในความว่างเปล่านั้น เป็นการใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติวูบร่างมา
ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในกฏมิติเหมือนกัน จึงไม่ยากที่ต้วนหลิงเทียนจะระบุได้อีกว่ามี 1 ใน 5 ใช้เคลื่อนมิติหอบหิ้วทุกคนมา!