ตอนที่ 3345

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3,345 : หลบหนี

 

ต้วนหลิงเทียนได้พบเจอเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ตั้งแต่เขายังอยู่ในเมืองประกายแสง ตอนนั้นพวกมันเป็นแค่อสรพิษแรกเกิดตัวเล็กๆเท่านั้น

 

สําหรับเสี่ยวจิน มันคือหนูสีทองตัวเล็กที่เขาพบเจอในงานประมูล เพราะความที่จดจําได้ว่าเป็นหนูสวรรค์นัยน์ตาหยกเขาก็เลยประมูลมันมา และมันอยู่กับเขามาเป็นเวลานาน

 

ต่อมาหลังงผ่านการผจญภัยและฝึกฝน ในที่สุดทั้ง 3 ก็ได้จําแลงกายเป็นมนุษย์ได้สําเร็จ

 

ทว่าในช่วงที่เขาเข้าสู่แดนลับต่างสวรรค์ในระนาบเซียนนั้น พอกลับออกมา เขาก็พบว่าพวกเสี่ยวเฮยเสี่ยวจินและเสี่ยวไป๋ก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ข่าวคราวของพวกมันอีกเลย บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลว่าพวกมันทั้ง 3 เกิดเรื่องอะไรรึเปล่า

 

ทุกครั้งที่เริ่มคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ไม่กล้าคิดไปไกล

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน!”

 

ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะผละออกจากเสี่ยวเฮย ร่างหญิงสาวในชุดสีทองอร่ามก็โผเข้า อ้อมกอดตัวนหลิงเทียนทันที เป็นเสี่ยวจินที่โตเป็นสาวแล้ว

 

“ฮ่าๆๆ…เสี่ยวจินโตเป็นสาวแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนหัวเราะด้วยความดีใจ ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ว่าเสี่ยวจินเองก็ดีใจขนาดไหน กระทั่งหยาดน้ำตาสองสายังรินไหลออกมาด้วยความปิติยินดี ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ตบหลัง นางเบาๆพลางกล่าวปลอบ “เด็กโง่เจ้าร้องทําไม ได้เจอกันอีกครั้งเป็นเรื่องน่ายินดี ไม่เอา ไม่ร้องแล้ว”

 

“เสี่ยวจิน เจ้ากอดพี่หลิงเทียนพอรึยัง?”

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ทว่าหญิงสาวในชุดขาวที่แลดูสงบ พอเห็นว่าเสี่ยวจินกอดพี่ใหญ่หลิงเทียนไม่ปล่อยอยู่นานสองนาน นางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ กล่าวออกด้วยความไม่พอใจ

 

“ทําไมเล่า? อ้อเจ้าอยากกกอดพี่ใหญ่หลิงเทียนด้วยล่ะสิ? ข้าไม่ไปหรอก ข้ายังกอดพี่ใหญ่ไม่พอเลย”

 

ได้ยินเสียงไม่พอใจของเสี่ยวไป๋ เสี่ยวจินก็คลี่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ทําหน้าทะเล้นใส่เสี่ยวไปคราหนึ่งก่อนจะกอดตัวนหลิงเทียนไว้แน่นกว่าเดิม

 

“ฮึ”

 

เสี่ยวไป๋เห็นอีกฝ่ายยึดพ์ใหญ่ไว้ไม่ปล่อย ก็พ่นลมออกมาอย่างไม่พอใจ จากนั้นนางก็พุ่งไปผลักเสี่ยวจินออกไป ก่อนจะซุกอกต้วนหลิงเทียนทันที จากนั้นหยาดน้ำตาสองสาก็ไหลรินออกมาอย่างไม่อาจห้าม “พี่ใหญ่หลิงเทียน เสี่ยวไป๋คิดถึงท่านมาก…ในที่สุดก็ได้เจอพี่ใหญ่แล้ว ฮืออ…”

 

ฉากเรื่องราวเบื้องหน้า ทําให้สตรีสะสวยในชุดขาวแลดูสูงศักดิ์อาวุโสลําดับที่ 4 แห่งเผ่ามังกร อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์สะทกสะท้อน

 

นับว่าเป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่นางได้เห็นเสี่ยวไป๋เป็นแบบนี้

 

ปกตินั้นเสี่ยวไป๋มักมีสติพินิจสิ่งรอบกายตลอดเวลา จึงแลดูนิ่งๆให้ความรู้สึกเสมือนเมฆบนฟ้าที่เคลื่อนคล้อยอย่างเสรี ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรมากมาย ไม่ต้องกล่าวถึงการร้องไห้เลย แค่ท่าทางอารมณ์เสียอะไรยังไม่มีให้เห็น

 

ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นท่าทางไม่พอใจถึงขั้นผลักไสแย่งคน สุดท้ายยังเห็นนางร้องไห้กระจองอแงเป็นเด็กน้อยแบบนี้

 

ด้านเสี่ยวเฮยเองที่มักเฉยเมยไม่ค่อยสนใจผู้ใด จนเหมือนคนเย็นชาไม่ใส่ใจใครนอกจากน้องสาวฝาแฝด ทว่าต่อหน้าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้น แลดูเปลี่ยนไปราวคนละคน กลับกลายเป็นชายหนุ่มขี้เล่น! เสี่ยวจินผู้นั้นก็เหมือนกัน ปกติเห็นห้าวๆทั้งซุกซน ตอนนี้กลายเป็นเด็กน้อยขี้แย ทําตัวออดอ้อนเสียอย่างนั้น

 

“ข้าเห็นแล้วก็ไม่แปลกใจเลยว่าไฉนพวกเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ยืนกรานไม่ใช่แซ่จี้ของพวกเราเผ่ามังกร แต่เลือกจะใช้แซ่ต้วน…ที่แท้เป็นเพราะเจ้าหนุ่มผู้นี้นั้นเอง”

 

มาตอนนี้ จื้อวี่เหนียนก็ได้รับทราบแล้วว่าคนที่ทําให้เจ้าตัวเล็กทั้ง 3 ติดแจนั่นเรียกว่า ต้วนหลิงเทียน

 

และเหตุผลที่ทั้ง 3 ใช่แซ่ต้วน ก็ไม่พ้นเพราะชายหนุ่มคนนี้

 

“อวิ๋นเอ้อ พาทุกคนไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”

 

ตอนนี้เองอาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกรจักรพรรดิอมตะสลายกําเนิด จื้อวี่เหนียน ก็หันไปมอง กล่าวกับหนิงอวิ๋นอย่างตรงไปตรงมา “ข้าจะรอพบหน้าจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนสักหน่อย”

 

“กล่าวไป ข้าก็ไม่ได้เจอสหายเก่านั่นนานแล้ว”

 

“ให้ข้ารําลึกความหลังกับสหายเก่าสักพัก ค่อยไปหาพวกเจ้า”

 

จี้อวี่เหนียนกล่าว

 

“ไม่มีปัญหา”

 

จี้หนิงอวิ๋นตอบรับอย่างไม่คัดค้านอะไร จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนกับทั้ง 3 “หากพวกเจ้าคิดรําลึกความหลังก็ไปหาที่นั่งสนทนากันดีๆเถอะ”

 

“อย่าได้อยู่รบกวนตาแก่พบเจอสหายเก่าที่นี่เลย

 

พอเสียงกล่าวจี้หนิงอวิ๋นดังจบคํา ไม่เห็นว่านางลงมืออย่างไร แต่บังเกิดแสงสีขาวสว่างจ้าราวแสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องออกมาขับไล่ความมืดทั้งมวล เรียกว่าทันทีที่แสงนี้ปรากฏสรรพสิ่งรอบกายคล้ายจางหายไปในพริบตา

 

“ไปกันเถอะ”

 

หลังกล่าวคําหนึ่ง พลังแสงที่แลดูศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว ก็แผ่ออกมาปกคลุมหุ้มกายต้วนหลิงเทียน กับพวกเสี่ยวเฮยเอาไว้

 

“ผู้อาวุโส ขอท่านพาอาวุโสเหลียนชิวไปกับพวกเราด้วย”

 

ต้วนหลิงเทียนเร่งหันไปมองกล่าวกับจี้หนิงอขึ้นด้วยท่าที่สุภาพ จากนั้นก็เหลือบไปมองเหลียนชิวที่อยู่ไม่ไกล

 

และแทบจะทันที่ที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคํา พลังแสงศักดิ์สิทธิ์ของจี้หนิงอวิ๋นก็แผ่ไปปกคลุมเหลียนชิวทันที หอบหิวอีกฝ่ายมาด้วย ทําให้เหลียนชิวเร่งกล่าวขอบคุณนางเร็วไว “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมาก”

 

“พี่ใหญ่เผยท่านก็รีบไปจากที่นี่เถอะ”

 

ก่อนจะไป ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ลืมหันไปตะโกนกล่าวกับเผยหยวนจี๋

 

และพอเสียงเขาดังโพล่งออกมา ไม่ว่าจะเป็นเผยหยวนจี๋ก็ดี หรือนักโทษจากเรือนจําชั้น 3 ของคุกหมื่นพันธนาการอีก 5 คนก็ดี ทั้งหมดพลันได้สติจากนั้นก็เร่งรุดเห็นร่างจากไปทันที

 

แต่ต้นจนจบคนของวังเทียนฉือไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น ทําได้แค่นิ่งมองทุกคนแยกย้ายกันจากไป

 

เนื่องเพราะทุกครั้งที่พวกมันคิดเห็นร่างไล่ตามไปจับคน พวกมันก็จะเหลือบมองดูท่าทีชายวัยกลางคนในชุดคลุมทองด้วยหางตา และพอพบว่าอีกฝ่ายกําลังมองจ้องมาตาเขม็ง ก็ทําให้พวกมันหน้าเปลี่ยนสี สองตาฉายชัดถึงความหวาดกลัว หมดสิ้นความคิดทําอะไรสืบไป

 

ด้านจักรพรรดิอมตะสมญานามของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ที่เหลือกันแค่ 2 คนก็ได้แต่นิ่งมองทุกคนจากไปเช่นกัน

 

“บัดซบ!”

 

“สุดท้ายสารเลวตัวนหลิงเทียนนั่นก็หนีไปจนได้!”

 

จังหวะนี้สีหน้าเหลยอิงกลายเป็นอัปลักษณ์บั้นยากถึงขีดสุด ร้อยพันหมื่นคาดนางก็ไม่เคยคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะหนีไปได้ในลักษณะนี้ สายตายามมองจี้อวี่เหนียนจึงเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง!

 

แน่นอนว่านางกล้าเผยความเคียดแค้นชิงชังก็ตอนที่จื้อวี่เหนียนไม่สนใจนางเท่านั้น หากอีกฝ่ายหันมานางก็ได้แต่เร่งรุดก้มหน้าหลบตาทันที จําต้องซุกซ่อนความเคียดแค้นชิงชังนี้เอาไว้ให้มิด

 

ด้วยพลังของจี้อวี่เหนียน นับประสาอะไรกับนางที่บาดเจ็บสาหัสต่อให้นางอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม ก็คงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!

 

กระทั่งอีกฝ่ายอาศัยหนึ่งห้วงคิด ก็ควบคุมพลังมิติสังหารนางได้อย่างง่ายดาย!

 

ตัวตนที่บรรลุความเข้าใจกฏมิติถึงขั้นผสานรวมความลึกซึ้งได้ระดับนี้ นับเป็นยอดฝีมือระดับต้นๆของระนาบเทวโลกทั้งมวลแล้ว ที่สําคัญอีกฝ่ายยังสามารถคืนร่างมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บได้อีก ถึงตอนนั้นต่อให้ต้องปะทะกับตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์ ก็ยังสามารถต้านทานรับมือได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ!

 

ในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ จะพวกต้วนหลิงเทียนก็ดี จะเผยหยวนจี๋หรือนักโทษคนอื่นๆที่แหกคุกออกมาพร้อมๆกันก็ดี ทั้งหมดได้แยกย้ายกันหลบหนีจากไปหมดสิ้น

 

จ้าววังเทียนฉือโหยวเชิงอวี่ หลังเดินพลังรักษาตัวอยู่ราวๆเค่อหนึ่ง พออาการบาดเจ็บทุเลาลงมันก็ได้แต่มองจ้องจี้อวี่เหนียนด้วยใบหน้าปั้นยาก

 

“อาวุโสจี้ ท่านปกป้องตัวนหลิงเทียนก็แล้วไป แต่กับคนอื่นๆไฉนท่านต้องสอดมือมาแทรกแซงเรื่องภายในของเราถึงที่สุดด้วย? โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิอมตะไร้ธุลีเผยหยวนจี๋นั่น มันเป็นคนที่ท่านตาข้าจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนจับมาขังด้วยตัวเอง ท่านไม่กลัวล่วงเกินท่านตาข้าจนตายหรือไร?”

 

โหยวเฟิงอวี้กล่าวถามเสียงหนัก

 

ได้ยินคําพูดของโหยวเฟิงอวี้ จื้อวี่เหนียนก็เหลือบไปมองมันผ่านๆ “วันนี้ที่ข้าปรากฏตัว เพียงคิดช่วยตัวนหลิงเทียนคนเดียวกับคนอื่นข้าไปลงมือทําอะไรตอนไหน?”

 

“แต่ก็ช่างเถอะ เจ้าจะเข้าใจว่าข้าช่วยพวกมันก็ช่างหัวเจ้าปะไร”

 

วาจาประโยคท้ายของจี้อวี่เหนียน ขณะกล่าวสีหน้าน้ำเสียงก็แลดูเฉยเมยนัก ราวกับไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร

 

ส่วนจักรพรรดิอมตะสมญานาคนอื่นๆของวังเทียนฉือ พอได้ยินคําพูดของจื้อวี่เหนียน แต่ละคนก็โกรธจนแทบกระอักเลือดตาย! เพราะฟังจากที่จื้อวี่เหนียนพูดมา หมายความว่าอีกฝ่าย ไม่ได้คิดช่วยคนอื่นหรอกหรือ? เช่นนั้นท่านจะจ้องมองพวกเราตาเขม็งทําเพื่อ?!

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เวลามันล่วงเลยไปแล้วเค่อหนึ่ง ต่อให้พวกมันจะคิดไล่ตามไป ก็เกรงว่าจะสายเกินไป คงจับไม่ได้ไล่ไม่ทันแล้ว!

 

“ผู้อาวุโส 4 แห่งเผ่ามังกร จี้หนิงอวิ๋น?”

 

หลังสตรีสะสวยหอบหิ้วเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ เสี่ยวจิน และต้วนหลิงเทียนกับเหลียนชิวจากมาสักพัก ในที่สุดเหลียนชิวก็ได้รับทราบว่าที่แท้อีกฝ่ายเป็นใคร

 

มันยังคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสตรีคนนี้จะเป็นถึงอาวุโสลําดับที่ 4 แห่งเผ่ามังกร

 

ถึงแม้เผ่ามังกรแห่งว่านโช่วเทียน จะจัดว่าเป็นขุมกําลังระดับสวรรค์ระดับเดียวกับขุนเขากระบี่ฟ้าในจี้เมี่ยเทียน แต่ขุมพลังของขุมกําลังแรกนั้น ไม่ใช่อะไรที่ขุมกําลังหลังจะเทียบได้เลย

 

กระทั่งต่อให้มีขุมกําลังระดับสวรรค์อย่างวังเทียนฉือกับขุนเขากระบี่ฬาสัก 10 ขุมกํา ลังร่วมมือกัน ก็ไม่อาจต่อกรกับเผ่ามังกรได้

 

เผ่ามังกรนั้น ให้กวาดตามองไปทั่วระนาบเทวโลกทั้งมวลก็ถือว่าเป็นขุมกําลังระดับสวรรค์ชั้นแนวหน้า กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์หลายต่อหลายคน ยังไม่กล้าตอแยเผ่ามังกรด้วยซ้ำ!

 

ในเผ่ามังกรนั้น มีจักรพรรดิอมตะสมญานามที่เปิดเผยให้โลกภายนอกรับรู้เป็นโหลๆ และต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่อ่อนแอที่สุด ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าฉือหล่างแห่งวังเทียนฉือเลย

 

ยังแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ!

 

เพราะท้ายที่สุดแล้วคนของเผ่ามังกรก็สามารถคืนร่างที่แท้จริง กลายเป็นมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บได้

 

สิ่งที่สําคัญที่สุดเลยก็คือ…

 

ท่ามกลางระนาบเทวโลกทั้งมวล มีจักรพรรดิสวรรค์ที่เป็นคนของเผ่ามังกรเช่นกัน เรียกว่ามันมาจากเผ่ามังกรของว่านโช่วเทียน และยังถือว่าเป็นคนของเผ่ามังกรอยู่ เพียงแค่ออกมาตั้งตัวสร้างอํานาจเป็นของตัวเองเท่านั้น

 

กล่าวได้ว่าถึงจะไม่พึ่งเผ่ามังกร แต่ลําพังตัวเองก็มีขุมกําลังอย่างพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ใต้บัญชาแล้ว!

 

อย่างไรก็ตาม หากเผ่ามังกรเกิดเรื่องอะไรขึ้น มันก็ไม่มีวันนิ่งดูดายแน่นอน

 

ยิ่งไปกว่านั้น จักรพรรดิสวรรค์ที่มาจากเผ่ามังกรนี้ พลังฝีมือยังจัดว่าอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูงท่ามกลางจักรพรรดิสวรรค์ทั้ง 81 คนอีกด้วย! แต่จักรพรรดิสวรรค์แห่งอู่หยาเทียนนั้น หากวัดกันในระดับจักรพรรดิสวรรค์แล้ว มันก็แค่คนที่มีพลังฝีมือกลางๆค่อนไปทางล่างเท่านั้น

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน พวกเราไปหาท่านที่นิกายกระบหมื่นหายนะในแดนทักษินยุทธ์ของอี้หวงเทียนมา จึงได้รับทราบว่าข้างกายท่านมีพี่สาวส่วนเอ๋ออยู่ด้วยนี่นา…แล้วนางอยู่ไหนล่ะ”

 

เสี่ยวจินเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“นางกําลังรอข้าอยู่ที่ระนาบเซียนน่ะ”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“อาวุโสเหลียนชิวท่านนี้ ก็คือบิดาของส่วนเอ๋อ”

 

จากนั้นตัวนนหลิงเทียนก็หันไปมองเหลียนชิวพลางผายมือแนะนําให้ทุกคนรู้จัก ขณะเดียวกัน ก็ไม่ลืมแนะนําทุกคนให้เหลียนชิวรู้จัก “อาวุโสเหลียนชิว ทั้ง 3 เป็นดั่งน้องชายกับน้องสาวแท้ๆ ของข้าเอง….พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่สมัยที่ขายังเด็กและอยู่ในระนาบโลกียะแล้ว”

 

“อา ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน”

 

เหลียนชิวคลี่ยิ้มทักทายทั้ง 3 อย่างมากอัธยาศัยด้วยความที่ภรรยาของมันเป็นจิ้งจอกมายา ดังนั้นมันจึงมีความรู้สึกดีๆกับเหล่าสัตว์อมตะเป็นพิเศษ

 

“เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ เสี่ยวจินที่แท้บนระนาบเซียนช่วงที่พวกเราเข้าแดนลับต่างสวรรค์กัน มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากันแน่?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

ในตอนนั้นหลังเจ้าพวกเด็กน้อยทั้ง 3 กลับมาจากภูมิภาคเบื้องล่าง และได้รู้จากผู้เฒ่าพยากรณ์ว่าเขากับพวก 7 ทวาราเที่ยงแท้ได้เข้าสู่แดนลับต่างสวรรค์ทั้ง 3 จึงโดดตามเข้ามาด้วย แต่ทว่าหลังพวกเขากลับออกมาแล้ว เด็กน้อยทั้ง 3 ก็ไม่ได้กลับออกมา และเขาก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของทั้ง 3 อีกเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น

 

“พี่หลิงเทียน ตอนนั้นหลังพวกเราเข้าสู่แดนลับที่ว่าไม่ทันไร พวกเราก็ถูกคนมาพาตัวไปว่านโช่วเทียนเลย…”

 

เสี่ยวไป๋เริ่มเล่าให้ตัวนหลิงเทียนฟังว่าในปีนั้นมันเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่โดนจับไปทิ้งไว้ในภูมิภาคเบื้องล่าง จวบจนนางกับเสี่ยวเฮยถูกพาไปยังเผ่ามังกร ส่วนเสี่ยวจนถูกพาไปยังหุบจันทร์โลหิต

 

หลังจากนั้น ก็เล่าประสบการณ์ตลอดระยะเวลา 200 กว่าปีที่ผ่าน และส่วนใหญ่ก็คือการเพลิดเพลินกับทรัพยากรมหาศาล

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียนอ่า ตอนแรกข้าก็นึกว่าพวกเราที่ได้รับทรัพยากรเลิศล้ำที่สุดของขุมกําลังระดับสวรรค์ จะอย่างไรก็ต้องเก่งกว่าพี่ใหญ่มากแล้วแน่ๆ แต่วันนี้พอมาเจอพี่ใหญ่ พวกเราจึงได้ตระหนักว่าสุดท้ายพวกเราก็ยังสู้พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ดี”

 

เสี่ยวจินกล่าวด้วยรอยยิ้มเหยเก

 

วันนี้ที่จริงพวกนางถูกอาวุโสจี้พามาถึงตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว ทว่าเลือกที่จะซ่อนตัว เหนือม่านเมฆชมดูการต่อสู้เบื้องล่าง สุดท้ายจึงได้เห็นฉากที่ต้วนหลิงเทียนเอาชนะได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานาม!

 

แน่นอนว่าด้วยความที่ระยะทางมันห่างไกลเกินไป นับประสาอะไรกับเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนลอบใช้พลังของเทพเบญจธาตุอย่างแยบคาย ต่อให้ใช้อย่างเปิดเผย แต่ต่อให้เป็นอาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกร อย่างจี้อวี่เหนียนก็คงไม่รู้

 

ดังนั้นหลังจากได้ยินคําพูดของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนก็คลายกังวลเรื่องที่เขาถูกพวกนางจับตาแบบนี้ ใช่จะโดนอาวุโสทั้ง 2 ของเผ่ามังกรค้นพบเทพเบญจธาตุอะไรรึเปล่า?

 

โชคดีที่อาวุโสใหญ่เผ่ามังกรลงมือได้ทันเวลาไม่งั้นข้าคงใช้พลังของเทพเบญจธาตุออกมาแล้ว”

 

ย้อนคิดถึงฉากที่กําลังจะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 3 จากพระรา ชวังจักรพรรดิสวรรค์ โดยตัดสินใจใช้พลังของเทพเบญจธาตุเต็มกําลังเพื่อเข่นฆ่าเปิดทาง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเสียวสันหลังอยู่บ้าง!