เข้ามาในเรือนหลังเล็ก หลิ่วชิงเฟิงกับเฉินผิงอันก็พูดคุยกันไปตลอดทาง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับการรำลึกความหลังของคนบ้านเดียวกันระหว่างเฉินผิงอันกับจ้าวเหยาก่อนหน้านี้แล้วออกจะดู ‘ห่างเหิน’ ไปสักหน่อย
ส่วนใหญ่แล้วจะพูดคุยกันเรื่องขนบธรรมเนียมและผู้คนของแคว้นชิงหลวนมากกว่า แล้วก็คุยถึงหลิ่วชิงซานกับสวนสิงโตด้วย หลิ่วชิงซานน้องชายของหลิ่วชิงเฟิง หลังจากที่ได้แต่งงานกับหลิ่วป๋อฉีนักพรตหญิงแห่งเรือนซือเตาแล้ว หลายปีมานี้ก็ออกเดินทางไกลท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด ระหว่างนั้นยังเคยไปเยือนภูเขาห้อยหัวมารอบหนึ่ง คล้ายการกลับบ้านไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกล กราบอาจารย์บนภูเขาเหมือนเกิดใหม่ อาจารย์ผู้มีพระคุณของหลิ่วป๋อฉีก็คือนักพรตหญิงวัยชราที่เฝ้าพิทักษ์ประตูใหญ่ของภูเขาห้อยหัวเหมือนกับเจียงอวิ๋นเซิง ‘นักพรตน้อย’ แห่งนครชิงชุ่ยป๋ายอวี้จิงและจางลู่เซียนกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงประตูบานเดียวกั้นขวางก็คือใต้หล้าสองแห่ง ปีนั้นหลิ่วป๋อฉีกลับไปยังเรือนซือเตา หลิ่วชิงซานได้เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวเป็นครั้งแรก ทางฝั่งของคฤหาสน์หลบร้อนก็ได้ข่าว เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้ปรากฏตัว
หลังจากนั่งลงแล้ว เฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าวว่า “ครั้งแรกสุดที่ได้อ่านบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มหนึ่งที่ต่างบ้านต่างเมือง ความคิดแรกของข้าก็คือเป็นฝีมือของอาจารย์หลิ่วที่ไม่มีใจฝักใฝ่ในวงการขุนนางแล้ว ก็เลยหันมาแต่งตำราขายแลกเงินแทน”
หลางจงผู้เฒ่าที่มีความสัมพันธ์เก่าก่อนกับหลี่จิ่นเทพวารีแม่น้ำชงตั้นคือมือหนึ่งในกองบวงสรวง กองบวงสรวงกับกองข่าวกงกรมขุนนางของจ้าวเหยา รวมไปถึงกองอู๋เสวี่ยน (ทำหน้าที่คัดเลือกทหารประจำกอง) กรมกลาโหม แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นที่ว่าการ ‘เล็ก’ ที่มีอำนาจมากที่สุดของราชวงศ์ต้าหลี ผู้เฒ่าเคยเข้าร่วมการล่าครั้งหนึ่งที่ทางต้าหลีจัดขึ้นอย่างตั้งใจ เป็นการล้อมปราบบุรุษสวมงอบพกดาบคนหนึ่งที่เมืองหงจู๋ เพียงแต่ว่าความต่างทางด้านฝีมือมีไม่มาก จึงถูกคนผู้นั้นใช้กำลังของคนคนเดียวท้าทายคนทั้งกลุ่ม
หลังจากนั้นมาหลางจงผู้เฒ่าก็ยังเคยพาหร่วนซิ่วและสวีเสี่ยวเฉียวจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนเดินทางลงใต้ไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน สุดท้ายไปหยุดพักที่ภูเขาฝูหรง ยื่นไม้ติดกาวเหนียว (จานกาน ชื่อเดียวกับหน่วยจานกานของต้าหลี) ไปดักจับผีเสื้อจับแมลงปอ ไล่ล่าตัวอ่อนที่มีโชคชะตาบู๊ซึ่งเป็นคนของต้าหลีคนหนึ่ง ดังนั้นคำพูดโบราณถึงได้บอกว่าคนแก่มักจะมีเรื่องเล่ามากมาย
เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วคนนี้ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขาเลย แล้วนับประสาอะไรกับที่ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือจะช่วยภูเขาลั่วพัวบดบังอำพรางไว้แค่ไหน ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นการสำรวจตรวจสอบของสามฝ่ายอย่างกรมพิธีการต้าหลี จวนผู้ตรวจการและซ่งอวี้จางเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วไปได้ เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ร่างทองและศาลของซ่งอวี้จางต่างก็ย้ายไปอยู่ที่ภูเขาฉีตุนหมดแล้ว เฉาเกิงซินผู้ตรวจการก็ได้เลื่อนขั้นขุนนางไปอยู่ที่เมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี บวกกับหอบินทะยานที่พังทลาย การเปลี่ยนแปลงที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเหล่านี้ ทำให้การตรวจสอบอย่างลับๆ ที่กรมพิธีการต้าหลีมีต่อภูเขาลั่วพั่วปิดฉากลงเช่นกัน และไม่ว่าจะเป็นการช่วยสนับสนุนและการให้ความสำคัญที่ฮ่องเต้สองพระองค์ของต้าหลีมีต่อเว่ยป้อแห่งขุนเขาเหนือ เลือกเฉาเกิงซินที่ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายให้มารับหน้าที่เป็นผู้ตรวจการงานเตาเผาที่สามารถเข้าห้องทรงพระอักษรได้โดยตรง ให้ซ่งอวี้จางย้ายออกจากภูเขาลั่วพั่ว ก็ล้วนถือเป็นการแสดงความเป็นมิตรอย่างหนึ่งทั้งสิ้น
ดังนั้นคำสัพยอกที่เจ้าขุนเขาหนุ่มเปิดประเด็นขึ้นมาหลังจากนั่งลงจึงทำให้หลางจงผู้เฒ่าสัมผัสได้ถึงปราณสังหารเสี้ยวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ทันที
หรือคิดจะคิดบัญชีย้อนหลังกับต้าหลีแล้ว?
บอกตามตรง หากไม่เป็นเพราะมีภาระหน้าที่ติดตัว หลางจงผู้เฒ่าก็ไม่ยินดีจะคบค้าสมาคมกับคนหนุ่มผู้นี้เลย
ชาติกำเนิดและประวัติความเป็นมาซับซ้อนเกินไป นิสัยการกระทำก็ระมัดระวังรอบคอบเกินไป หลายปีที่ผ่านมานี้หลางจงผู้เฒ่ามักจะเปิดอ่านเอกสารลับของกรมพิธีการอยู่เป็นประจำ เอามาทำเป็นกับแกล้มแกล้มสุรา หมายจะหาความ ‘สมเหตุสมผล’ จากขั้นตอนการร่ำรวยเจริญรุ่งเรืองของเจ้าขุนเขาหนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วผู้นี้ให้เจอ แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เฉินผิงอันอยู่บ้านเกิด ช่วงเวลาอันยากจนข้นแค้นที่เป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกร หรือว่าช่วงหลังที่ทำหน้าที่เป็นนักบัญชีในทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้เฒ่าก็มองคำว่าผิดหวังตกอับออกแค่คำเดียวเท่านั้น ทว่าทุกหน้าหนังสือที่เปิดผ่านไป ก็ราวกับว่าเฉินผิงอันจะต้องเดินขึ้นสู่จุดที่สูงกว่าเดิมอย่างเงียบเชียบ หากเปลี่ยนมาเป็นคนหนุ่มคนอื่น บุญคุณความแค้นในอดีตมากมายที่อยู่ล่างภูเขา ในเมื่อได้ดิบได้ดีแล้วก็คงจะจัดการคลี่คลายให้จบๆ กันไปนานแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นี้กลับเหลือค้างไว้อย่างนี้มาโดยตลอด ปีแล้วปีเล่า ไม่คิดจะไปแตะต้องพวกมัน
ทุกวันนี้ภูเขาลูกหนึ่งในอาณาเขตขุนเขาเหนือ กับสถานที่มังกรผงาดของสกุลซ่งต้าหลี หากอิงตามคำกล่าวของตระกูลเซียนบนภูเขา อันที่จริงอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ภูเขาลูกนั้นกลับได้เลื่อนขั้นเป็นสำนักภายใต้เปลือกตาของฮ่องเต้ อีกทั้งยังถึงขั้นอ้อมผ่านราชวงศ์ต้าหลีไป สอดคล้องกับตามหลักพิธีการของศาลบุ๋น แต่กลับไม่สมเหตุสมผล
ก็เหมือนหมู่บ้านชนบทที่มีเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งมากมายแห่งหนึ่ง มีชายฉกรรจ์ซื่อๆ คนหนึ่งที่ยอมอดทนข่มกลั้นมาเกินครึ่งชีวิต อยู่ดีๆ วันหนึ่งไปซื้อสุราดีมาดื่มโดยที่ไม่พูดอะไร เพียงแค่ดื่มอย่างเต็มคราบเท่านั้น ทั่วร่างมีแต่กลิ่นสุราคละคลุ้ง จากนั้นยามค่ำคืนก็ถือมีดเดินออกจากบ้านไป
คหบดีชั่วร้ายและลูกหลานคนร่ำรวยที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอื่น คนยังพอจะป้องกันได้ แต่หากคนซื่อตรงคนหนึ่งลงมืออย่างอำมหิตขึ้นมา ใครเล่าจะคาดการณ์ได้?
บนโต๊ะไม่มีน้ำชา แล้วก็ไม่มีสุรา
ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เป็นแขกเช่นเดียวกัน
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “หากข้าเป็นคนถือพู่กันจริงๆ นอกจากตัวอักษรไม่กี่พันคำที่เป็นบทนำซึ่งจะไม่เปลี่ยนแม้แต่ตัวอักษรเดียว ล้วนเก็บเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ส่วนอื่นๆ ที่เหลือต้องเปลี่ยนเยอะเลย การพบเจอในยุทธภพ ต้องพูดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ให้มาก เลียนแบบฝีมือจิตรกรเอกของนครปี้ฮว่าชายหาดโครงกระดูก แล้วค่อยเลียนแบบภูเขาเทพีบุปผาของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา บวกกับภาพสิบสองสาวงามลงสี เรื่องประหลาดพิสดารทั้งหลายเขียนให้อ้อมค้อมหน่อย หมึกเข้มมากสีสัน ให้ความสำคัญกับคำว่าเซียน ยามเข่นฆ่ากับผู้อื่นก็เขียนให้เขาสังหารคนอย่างเด็ดขาด จะไม่อืดอาดยืดยาด เน้นคำว่าเหี้ยม ในวงการขุนนางก็ให้ชื่นชมว่าเขามีประสบการณ์มากกลอุบาย ยามอยู่ร่วมกับผู้อื่นวางตัวระมัดระวังรอบคอบ แสดงให้เห็นถึงคำว่าสุขุมมั่นคง”
“ยามที่อยู่ว่างๆ เจอภูเขาพบสายน้ำ เป็นต้องได้พบเจอกับยอดฝีมือที่หลบเร้นกาย ได้พูดคุยกับผู้มีชื่อเสียงของสามลัทธิ พูดคุยถึงความซื่อสัตย์จริงใจ พูดถึงมรรคถา พูดถึงปริศนาธรรม ล้วนหนีไม่พ้นคำว่าสุขสบาย ทำให้คนรู้สึกเพียงว่าเหยียบอยู่บนความว่างเปล่าในจุดสูง มีกลุ่มขุนเขาเป็นพื้นดิน เมฆขาวอยู่ใต้ฝ่าเท้า วิหคโบยบินอยู่ข้างไหล่ มองดูเหมือนเลื่อนลอย ความจริงก็คือความว่างเปล่า ตรงจุดที่ตัวอักษรเรียบง่ายก็เขียนอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ยึดครองความได้เปรียบ ตรงจุดที่ตัวอักษรซับซ้อนก็เขียนให้สันโดษหลุดพ้น แต่กลับเป็นดั่งหมอนปักลายบุปผา จุดประสงค์ของตัวอักษรที่เขียน สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็แค่เป็นความรู้สึกทั่วไปของคนคนหนึ่งที่ ‘ยากจนจนกลัว’ รวมไปถึงสองคำว่า ‘ค้าขาย’ ที่เขียนถึงกล่าวถึงและลงมือทำในตำรา ตอนที่ได้เงินมาก็เพื่อผลประโยชน์ เพื่อการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เพื่อขอบเขตที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อที่ว่าสักวันหนึ่งข้าก็คือเหตุผล ยามที่ขาดทุนก็เพื่อชื่อเสียง เพื่อเกียรติยศจอมปลอม เพื่อสะสมบุญกุศล เพื่อช่วงชิงใจของสาวงาม”
“เมื่อได้เจอกับสำนักฉงหลินแห่งอุตรกุรุทวีป แบ่งส่วนแบ่งกันเก้าต่อหนึ่ง หรือถึงขั้นที่ว่าข้าไม่ต้องการสักเหรียญทองแดงเดียว ต้องการเพียงว่านอกเหนือจากท่าเรือตระกูลเซียนทั้งหมดแล้ว ร้านหนังสือในหมู่ชาวบ้านล่างภูเขาทุกแห่งล้วนต้องมีบันทึกขุนเขาสายน้ำวางขายหลายๆ เล่ม? เล่มต้น? เล่มต้นเขียนบอกไว้ว่าจิตใจของคนผู้นี้ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ในหนังสือมีรายละเอียดอยู่หลายสิบจุดที่มากพอจะกระทบกระเทียบคนมีใจ ให้พวกคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นได้ขบคิด วิญญูชนกับวิญญูชนจอมปลอม มีได้ทั้งสองนัย เล่มท้ายเขียนถึงการกระทำของเขาที่เปิดเผยตรงไปตรงมา จิตใจกว้างขวางสง่าผ่าเผย ท่ามกลางสถานการณ์ที่วุ่นวายได้แฝงเข้าไปในกระโจมทัพของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผูกมิตรกับปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หลายตน อาศัยเพียงกำลังของตัวเองคนเดียวมาเล่นตลกกับใจคน ประหนึ่งปลาได้น้ำ จิตใจมุ่งมั่นทำเพื่อไพศาล เพื่อสร้างคุณงามความชอบที่มิอาจสั่นคลอนได้”
ฟังมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ย “กุญแจสำคัญที่บันทึกเล่มนี้จะมีเล่มท้ายหรือไม่ ต้องดูที่ว่าคนผู้นี้จะหลุดพ้นออกมาอย่างปลอดภัยและได้กลับคืนบ้านเกิดมาก่อสำนักตั้งพรรคหรือไม่”
โชคดีที่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงการทบทวนกระดานหมากเท่านั้น โชคดีที่หลิ่วชิงเฟิงไม่ใช่คนที่เขียนตำราผู้นั้น
บัณฑิตคนหนึ่งที่ดีแต่จะพูดเรื่องนิสัยใจคออย่างเดียว ย่อมไม่อาจสร้างคลื่นมรสุมอะไรได้ ตวัดพู่กันบุปผาผลิบาน ผลงานที่กองสูงเท่าตัวคน บางทีอาจสู้บทเพลงของเด็กๆ เพลงหนึ่งที่พลิกฟ้าคว่ำดินไม่ได้ด้วยซ้ำ ทว่าบัณฑิตทุกคนที่สามารถหยัดยืนอยู่ในวงการขุนนางได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนผู้นี้ยังก้าวเดินขึ้นสู่ที่สูงได้อย่างราบรื่น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยง่ายๆ แล้ว
หลิ่วชิงเฟิงหัวเราะ เอ่ยว่า “คุณชายเฉินเคยคิดหรือไม่ว่า อันที่จริงข้าเองก็กริ่งเกรงท่านมาก?”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ ถามว่า “ข้ารู้จักนิสัยของอาจารย์หลิ่วดีว่าไม่ใช่คนประเภทที่กังวลว่าจะได้มีชื่อเสียงทั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และตอนที่จากไปหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าท่านก็คงกังวลว่าไม่อาจ ‘คลี่คลายปัญหาให้กษัตริย์ผู้ปกครอง’ ได้สินะ?”
หลิ่วชิงเฟิงตบที่วางแขนเก้าอี้ ส่ายหน้าเอ่ย “ข้าเองก็เชื่อมั่นไม่กังขาในนิสัยใจคอของคุณชายเฉิน ดังนั้นจึงไม่เคยกังวลว่าคุณชายเฉินจะกลายเป็นเจี่ยเซิงแห่งไพศาลคนที่สอง จะกลายเป็นโจวมี่มหาสมุทรความรู้ของแจกันสมบัติทวีปอะไร ข้าแค่กังวลว่าเก้าอี้ตัวของแจกันสมบัติทวีปนี้ ร่องและเดือยยังคงหลวมไป ยังไม่อาจมั่นคงได้อย่างแท้จริง พอคุณชายเฉินกลับคืนมายังบ้านเกิดแล้วก็หอบหุ้มเอาสถานการณ์ใหญ่ เอาโชคชะตามาไว้บนร่าง พอนั่งลงไปอย่างนี้ เก้าอี้โยกสักหนึ่งที ไม่ทันระวังจะพังครืนลงมาได้”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ดังนั้นความหมายของฮ่องเต้ก็คือ?”
หลิ่วชิงเฟิงกล่าว “ดังนั้นฮ่องเต้จึงหวังให้เจ้าขุนเขาเฉินสามารถรับหน้าที่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋นไปพร้อมกันด้วย การเลือกที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างต่อจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์จูอิ๋งเก่าในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป หรือจะเป็นใบถงทวีป อุตรกุรุทวีป ราชสำนักต้าหลีก็ล้วนจะให้การสนับสนุนเต็มที่ ช่วยให้สายเหวินเซิ่งแตกกิ่งก้านสาขา ในขุนเขาสายน้ำของสามทวีปจะเคารพความรู้ของเหวินเซิ่งเพียงสายเดียว แต่กลับจะไม่ขัดขวางการประชันขันแข่งของเมธีร้อยสำนัก พยายามให้ภายในเวลาร้อยปีในอาณาเขตของสามทวีป อย่างน้อยต้องมีสำนักศึกษาสิบแห่งซึ่งมีสำนักศึกษาซานหยา สำนักศึกษาหลินลู่ สำนักศึกษากวานหู สำนักศึกษาอวี๋ฝู และสำนักศึกษาต้าฝูเป็นหนึ่งในนั้น ที่หน้าประตูภูเขาจะต้องตั้งป้ายศิลาจารึกเอาไว้ มีสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยแกะสลักป้าย ‘ชวนศึกษา’ สำนักศึกษาหลินลู่ตั้งป้าย ‘อบรมบ่มเพาะตน’ เป็นตัวอย่าง ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะมีสำนักศึกษาอันดับที่สามสิบสองได้ตั้งป้ายศิลาก็เป็นได้”
เก้าทวีปแห่งไพศาล สำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งที่ลัทธิขงจื๊อเป็นผู้ก่อตั้งคือจำนวนที่แน่นอน
ส่วนป้ายศิลาหน้าประตูภูเขาของสำนักศึกษากลับไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว หน้าประตูภูเขาจะมีป้ายศิลาตั้งไว้หรือไม่ และการเลือกใช้เนื้อหาบนป้ายศิลาคืออะไร ล้วนขึ้นอยู่กับความชอบของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาในแต่ละสมัย แต่โดยภาพรวมแล้วจะยังคงเคารพกฎที่มีแต่เพิ่มไม่มีลด มีเพียงครั้งเดียวที่เป็นข้อยกเว้น นั่นก็คือหลังจากที่ศึกตรีจตุครั้งนั้นสิ้นสุดลง เพราะเทวรูปของเหวินเซิ่งถูกย้ายออกไปจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง สูญเสียตำแหน่งที่ตั้งเทวรูปบูชาไป เป็นเหตุให้ป้ายศิลาของสำนักศึกษาหลายแห่งถูกยกออกไปด้วย
เฉินผิงอันเอนหลังพิงเก้าอี้ ยิ้มตาหยีถามว่า “ต้องการให้ข้าทำอะไร?”
หลิ่วชิงเฟิงส่ายหน้า “คุณชายเฉินแค่เป็นเจ้าขุนเขาและเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาไปก็พอ ขอแค่ท่านเป็นได้อย่างมั่นคง ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของต้าหลีและแจกันสมบัติทวีปแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญ ข้าต้องคิดพิจารณาให้ดี คำสอนของอริยะก็บอกไว้แล้วว่าต้องคิดทบทวนให้ดีก่อนลงมือทำไม่ใช่หรือ ถึงอย่างไรก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่รับรองได้ ข้าจะไม่มีทางทำให้อาจารย์หลิ่วต้องลำบากใจเด็ดขาด และภูเขาลั่วพั่วก็จะไม่ทำให้เจ้ากรมหลิ่วยากที่จะเป็นขุนนางต่อได้อีก”
“ขอแสดงความยินดีที่ภูเขาลั่วพั่วได้เลื่อนขั้นเป็นสำนักแห่งไพศาล ขอให้เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วัน ทุกย่างก้าวราบรื่น ประหนึ่งดวงตะวันกลางนภาที่ลอยสูงอยู่ในไพศาล”
หลิ่วชิงเฟิงลุกขึ้นยืน กุมหมัดยิ้มเอ่ย “เชื่อว่าวันนั้นจะต้องมาถึงแน่นอน แต่หากอิงตามคำกล่าวของนายท่านผู้เฒ่ากวน ข้าผู้แซ่หลิวเองก็เป็นคนที่อยู่ในวัยสามไม่ เดินไม่ไหว กัดเนื้อไม่ขาด ตัดใจหวีผมไม่ลงแล้ว เกินครึ่งคงไม่ได้เห็นภาพความรุ่งเรืองนี้ ช่างน่าเสียดายนัก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คุณชายเฉินมีลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจอย่างเฉาเปียนซิว ข้าผู้แซ่หลิ่วมีลูกศิษย์แบบนี้ครึ่งตัว ก็ต้องเอ่ยขอบคุณด้วยตัวเองแล้ว ขอแสดงความยินดีต่อเรื่องนี้กับคุณชายเฉินเพิ่มอีกเรื่อง สายบุ๋นรุ่งโรจน์ก้าวหน้า”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน “เฉาฉิงหล่างคือปั้งเหยี่ยนของการสอบครั้งล่าสุด ทั้งยังเป็นลูกศิษย์ในวงการขุนนางของอาจารย์หลิ่วครึ่งตัว เป็นความโชคดีของเขา ข้าเองก็ขออวยพรแก่ราชวงศ์ต้าหลีหนึ่งคำ ขอให้ผู้มีความเฉียบแหลมด้านวรรณคดีมารวมตัวกันที่ต้าหลี”
การสอบระดับแคว้นที่เมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี เนื่องจากอาณาเขตยังคงครอบคลุมขุนเขาสายน้ำของครึ่งทวีป เมล็ดพันธ์บัณฑิตที่สอบผ่านมาได้จึงมีมากหลายพันคน ต้าหลีอิงตามกฎใหม่แบ่งจิ้นซื่อออกเป็นห้าระดับ สุดท้ายนอกจากสามอันดับแรกของระดับแรกแล้ว นอกจากนี้ระดับสองก็จะได้ตำแหน่งจิ้นซื่อจี๋ตี้และตำแหน่งเม่าหลินหลาง จำนวนสิบห้าคน จิ้นซื่อระดับสามและสี่มีสามร้อยกว่าคน และยังมีจิ้นซื่อระดับที่ห้าอีกหลายสิบคน ขุนนางหลักผู้คุมสอบคือหลิ่วชิงเฟิง มีขุนนางผู้คุมการสอบเล็กอีกสองคน แบ่งออกเป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยาและสำนักศึกษากวานหู ตามกฎของการสอบเคอจวี่ หลิ่วชิงเฟิงก็คือจั้วซือ (คำเรียกขานผู้คุมสอบหลักอย่างให้เกียรติ) ของการสอบเคอจวี่ครั้งนี้ นั่นก็เท่ากับว่าจิ้นซื่อทุกคนคือลูกศิษย์ในสำนักของหลิ่วชิงเฟิง เพราะการถามตอบซึ่งเป็นการสอบหน้าพระที่นั่งในครั้งสุดท้ายนั้น ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีที่ซิ่วหู่ชุยฉานรับหน้าที่เป็นราชครู ฮ่องเต้ต้าหลีก็มักจะชอบเรียกคนที่ถูกเลือกไว้แล้วมาถามให้พอเป็นพิธีเท่านั้น
——