เมื่อเทียบกันแล้วชื่อเสียงของจ้าวเหยานับว่าไม่โดดเด่นนัก เป็นหนึ่งในขุนนางผู้ตรวจข้อสอบจำนวนมากมายที่ต้องแยกห้องกันอ่านกระดาษคำตอบ คือหนึ่งในฝางซือ (คำเรียกขานขุนนางที่แยกห้องตรวจข้อสอบในการสอบด้วยความเคารพ) หลายสิบคนของสนามสอบ เมื่อเทียบกับขุนนางผู้ตรวจข้อสอบคนอื่นๆ แล้ว จำนวนจิ้นซื่อจึงมีน้อยที่สุด จิ้นซื่อระดับสองมีแค่สองคน
จ้วงหยวนจางติ้ง ปั้งเหยี่ยนเฉาฉิงหล่าง
ถั่นฮวาหลางหยางซ่วง อายุน้อยที่สุดในบรรดาคนสิบแปดคน รูปโฉมโดดเด่น หากไม่เป็นเพราะมีจิ้นซื่อเด็กอัจฉริยะอายุสิบห้าอยู่คนหนึ่ง หยางซ่วงที่เพิ่งจะอายุสิบแปดปีก็จะกลายเป็นจิ้นซื่อที่อายุน้อยที่สุดของการสอบครั้งล่าสุดในระดับมณฑล และตอนที่หยางซ่วงขี่ม้า ‘ชมบุปผา’ (ทั่นฮวา คำเดียวกับชื่อตำแหน่งของการสอบ) ในเมืองหลวงต้าหลีก็เคยชักนำให้เกิดภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ที่ผู้คนพากันออกจากตรอกซอกซอยเพื่อมาร่วมเฉลิมฉลอง
นอกจากนี้แล้วในบรรดาเม่าหลินหลางจิ้นซื่อระดับสองจำนวนสิบห้าคน หวังชินรั่วมีความเฉียบแหลมทางวรรณกรรมที่สุด ถูกขนานนามว่า ‘ไอเซียนล่องลอย ถ้อยคำแห่งเซียนมากล้น’ นอกจากนี้คือสองพี่น้องแซ่เฉิงที่จับมือกันเดินขึ้นสู่อันดับสองของการสอบ หลักการทางภาษาเรียบง่าย ‘ประหนึ่งคมวาทะของอริยะปราชญ์’ นี่แสดงให้เห็นว่าเหล่าปัญญาชนของต้าหลีต่างก็ให้การประเมินสองพี่น้องคู่นี้ไว้สูงมาก
สามอันดับแรกของระดับหนึ่ง บวกกับเม่าหลินหลางสามคนอย่างหวังชินรั่วและ ‘สองเฉิง’ นี้ ทุกวันนี้ทั้งหกคนต่างก็ให้การช่วยเหลือบัณฑิตในเช่อฝู่ (สมัยโบราณหมายถึงสถานที่จัดเก็บตำราของจักรพรรดิ) เป็นผู้นำในวงการการประพันธ์ ร่วมกับสำนักฮั่นหลินเรียบเรียง คัดเลือก และตรวจสอบสี่ตำราใหญ่
หลังจากคนทั้งกลุ่มสามคนเดินออกมาจากเรือนพักแล้ว หลิ่วชิงเฟิงก็หยุดเท้าอยู่ตรงหน้าประตู ยิ้มกล่าว “ข้าขอคุยเล่นกับคุณชายเฉินอีกสักสองสามคำ”
หลางจงผู้เฒ่าแห่งกองบวงสรวงพยักหน้ารับ เฉินผิงอันเอ่ยคำลาก่อน จากนั้นเดินก้าวเร็วๆ นำออกไปในตรอกเล็ก
หลิ่วชิงเฟิงเดินอยู่ในตรอกไปพร้อมกับเฉินผิงอัน แล้วก็เป็นการคุยเล่นอย่างที่เขาบอกจริงๆ พูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ของหนึ่งแคว้นครึ่งทวีป เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “พรรคในยุทธภพที่รำหอกใช้กระบอง ในบรรดาลูกศิษย์จะต้องมีสักสองสามคนที่รำอักษรใช้น้ำหมึกเป็น ไม่อย่างนั้นวิชาหมัดเท้าของเหล่าบรรพจารย์ที่ฝึกปรืออย่างยอดเยี่ยมถึงแก่น ก็จะถูกเรื่องเล่าอัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยสีสันละลานตาในยุทธภพกลบฝังไป ถ้าเช่นนั้นก็หลักการเดียวกัน เอาไปวางไว้ในวงการประพันธ์ของเหล่าปัญญาชน หรือวางไว้ในสถานที่ที่ใหญ่กว่านั้น ตัวอยู่ในระบบสืบทอดสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อ อันที่จริงก็เป็นหลักการเดียวกัน หากควันธูปบางเบาขึ้นมา ไม่มีคนรุ่นหลังคอยสืบทอดให้ ความสามารถในการใช้พู่กันทำสงครามไม่ได้เรื่อง หรือความสามารถด้านการป่าวประกาศคุณงามความดีอันเกริกก้องของเหล่าบรรพจารย์ไม่ได้ความ ก็จะต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ ส่วนสิ่งที่อยู่ด้านในนี้ บ้างจริงบ้างเท็จ หรือมีจริงกี่ส่วนมีเท็จกี่ส่วน ก็พอๆ กับบันทึกขุนเขาสายน้ำที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ อันที่จริงชาวบ้านก็แค่รอดูเรื่องสนุก คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก เรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดใจมีมากมาย ไหนเลยจะมีคนมากมายขนาดนั้นยอมเอาเวลาว่างไปสืบเสาะหาความจริง ก็เหมือนกับว่ามีตรอกแห่งหนึ่งกั้นขวาง มีคนร้องไห้ด้วยความเศร้าโศก มีคนเดินผ่านทางมา ไม่แน่ว่าอาจจะยังรู้สึกว่าเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจนั้นอัปมงคลดีแต่จะทำให้คนรำคาญ แห่ขบวนรับเจ้าสาวอยู่บนถนน เกี้ยวพลิกคว่ำ คนที่อยู่บนทางมองเห็นว่าเจ้าสาวรูปโฉมงดงามดุจบุปผา กลับกลายเป็นว่าชอบใจ เพราะได้เปรียบมาเปล่าๆ หากเจ้าสาวรูปโฉมธรรมดา บุคลิกท่าทางหยาบกระด้าง หรือไม่ตอนเจ้าบ่าวลงจากหลังม้าพลัดตกลงมาเผยท่วงท่าทุลักทุเล ถ่วงรั้งเวลาการเข้าห้องหอ คนนอกก็มีแต่จะสนุกสนาน ส่วนเจ้าสาวจะงดงามหรือไม่งดงาม อันที่จริงล้วนไม่เกี่ยวกับคนผ่านทางเหล่านั้น แต่ใครเล่าจะสนใจ”
ผู้เฒ่านั่งลงพูดยังดี พอต้องเดินไปพูดไปเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าลมหายใจของหลิ่วชิงเฟิงไม่ค่อยมั่นคงนัก ฝีเท้าก็ก้าวเนิบช้ายิ่ง
เฉินผิงอันยื่นมือไปประคองแขนของเจ้ากรมผู้เฒ่าท่านนี้ไว้แล้ว พยักหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ทุกคนของใต้หล้าถึงจะได้อ่านตำรา เข้าใจหลักการเหตุผล แยกแยะจริงเท็จออกอย่างชัดเจน”
หลิ่วชิงเฟิงร้องเอ๊ะหนึ่งที เอ่ยอย่างตกตะลึง “ไม่ใช่ว่าแยกแยะถูกผิดหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “การที่จะรู้ว่าเรื่องราวบนวิถีทางโลกเป็นจริงหรือเท็จ ค่อนข้างจะทำได้ยากมาโดยตลอด ส่วนในใจมีถูกมีผิดหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเคยอ่านตำราเล่าเรียนหนังสือมาก่อนหรือไม่สักเท่าไร”
หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยเตือนว่า “ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่วิถีทางโลกสงบสุข ท่าทางงดงามน่าชมของบัณฑิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อก้าวเข้าไปในวงการขุนนาง ก็จะยิ่งเป็นดั่งหมู่มวลบุปผารวมกลุ่ม ความดุร้ายของบัณฑิต ก็ยิ่งเป็นดั่งการจุ่มน้ำหมึก หลบซ่อนได้ดียิ่ง จรดพู่กันได้ดีเท่าไร ก็สามารถดำรงอยู่บนโลกได้นานเท่านั้น ขนาดเจ้ายังต้องระวังแล้วระวังอีก หากเจ้าไม่ใช่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนเป็นเรื่องนอกกาย ไม่จำเป็นต้องสนใจ พิสูจน์มรรคาเพื่อความเป็นอมตะ ตัดขาดเรื่องทางโลก กระทืบเท้า สะบัดไหล่ ล่างภูเขามีเรื่อง บนภูเขาไม่มีเรื่อง เจ้ายังคงเป็นเจ้า ไม่มีภาระย่อมตัวเบา”
เข้ามาในบ้าน คือเจ้ากรมพิธีการแห่งเมืองหลวงสำรองต้าหลีที่เผชิญกับลมฝนในวงการขุนนางมาอย่างโชกโชน พูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว
ออกจากบ้าน ก็มีแค่หลิ่วชิงเฟิงบัณฑิตที่อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่งที่พูดคุยเรื่องของวิถีทางโลก พูดถึงใจคนกับคนบนเส้นทางเดียวกัน
แยกได้ไม่ชัดเจน ก็เพราะเฉินผิงอันที่เป็นเจ้าประมุขของสำนักหนึ่งยังคงมีกลิ่นอายของบัณฑิต จึงเผชิญความยากลำบากมาไม่มากพอ ไม่เข้าใจการเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามซึ่งไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่
แบ่งได้ชัดเจน เข้าเมืองตาหลิ่วจึงหลิ่วตาตาม ไม่ใช่ไหลไปตามกระแส ก็คือการอ่านตำราหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้ เด็กหนุ่มยากจนจากตรอกทรุดโทรมในอดีต เมื่อได้ออกเดินทางไกลก็ประสบผลสำเร็จแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์หลิ่วโปรดวางใจ นอกจากหลิ่วชิงซานและหลิ่วป๋อฉีที่เดิมทีก็เป็นสหายของข้าอยู่แล้ว ยังมีสวนสิงโตบ้านบรรพบุรุษของสกุลหลิ่วในแคว้นชิงหลวน รวมไปถึงเมล็ดพันธ์บัณฑิตแต่ละคนในรุ่นหลัง ข้าจะต้องพยายามปกป้องคนและเรื่องราวที่ควรปกป้องไว้อย่างเต็มที่”
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยอย่างจนใจ “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้”
เฉินผิงอันกล่าว “งั้นก็ไม่บังเอิญเลย ข้ากลับมีใจเช่นนี้”
หลิ่วชิงเฟิงไม่ใช่คนคร่ำครึ จึงยิ้มอย่างเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็รับความหวังดีนี้ไว้แล้ว
หลิ่วชิงเฟิงเงียบไปพักใหญ่ ยืนอยู่หน้าตรอกเล็กกับเฉินผิงอัน ถามว่า “รวมถึงคนสามคนที่เก็บตัวอยู่อย่างสันโดษบนภูเขาฮุยเหมิงนั้น เจ้ามักจะชอบหาเรื่องใส่ตัวเสมอ เปลืองแรงกายเปลืองแรงใจ ทำไปเพื่ออะไรกันแน่”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยสัพยอกว่า “ฝนกระหน่ำเทลงมา ดินบนถนนเปียกแฉะกลายเป็นโคลน ใครบ้างที่ไม่เคยเป็นไก่ตกน้ำเลยสักรอบสองรอบ?”
หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้า “หลังฝนผ่านฟ้าสดใส ยามที่อากาศร้อนแผดเผา ถ้าอย่างนั้นก็มีความน่ารักน่าเอ็นดูของฤดูหนาวเพิ่มเข้ามาแล้ว”
ห่างออกไปไม่ไกลมีรถม้าอยู่คันหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายประสานมือคารวะอำลากัน
หลิ่วชิ่งเฟิงเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันหยุดเดิน หันตัวกลับมาถาม “ใต้เท้าหลางจงของพวกเราท่านนั้น?”
เฉินผิงอันทำหน้าเหลอหรา “ใครหรือ?”
หลิ่วชิงเฟิงอืมรับหนึ่งที แล้วพลันเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “อายุมากจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว ใต้เท้าหลางจงเพิ่งจะขอตัวจากไปนี่นา”
ผู้เฒ่าหมุนตัวกลับแล้วก็หันหน้ากลับมายิ้มถามอีกครั้ง “สรุปแล้วใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นขุนนางที่ใหญ่แค่ไหนกันแน่?”
เฉินผิงอันตอบ “ตำแหน่งขุนนางไม่เล็ก อำนาจขุนนางไม่มาก”
เฉินผิงอันเอนตัวพิงกำแพงในตรอกเล็ก สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ มองผู้เฒ่าเดินขึ้นรถม้าแล้วจากไปอย่างเชื่องช้าท่ามกลางม่านราตรี
หากไม่ผิดไปจากที่คาด คงไม่มีโอกาสได้พบเจอกับอาจารย์หลิ่วอีกแล้ว อาศัยอาหารที่เป็นยามาบำรุงร่างกาย และอาศัยโอสถมารักษา อย่างมากสุดก็แค่ทำให้คนธรรมดาที่ไม่เคยเดินขึ้นเขาฝึกตนมีอายุยืนยาวอีกหน่อยเท่านั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอายุขัยที่กำลังจะหมดลง ถึงอย่างไรก็ไม่มีเรี่ยวแรงให้เหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้ อีกทั้งยิ่งเวลาปกติบำรุงอย่างเหมาะสมเท่าไร เมื่อคนคนหนึ่งสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจจนเป็นเหตุให้เรือนกายผ่ายผอมทรุดโทรมแล้ว ก็ยิ่งเหมือนน้ำท่วมทะลักทำนบที่ไม่อาจสกัดขวางมากเท่านั้น หากคิดจะฝืนต่อชีวิตไปอีกก็จะกลายเป็นดั่งคำว่ายามีสามส่วนที่เป็นพิษ ถึงขั้นที่ว่าได้แต่อาศัยอายุขัยมาแลกเปลี่ยนกับ ‘สีหน้าสดใสก่อนตาย’ เท่านั้น
ใต้หล้านี้นอกจากไม่มียากินแก้อาการเสียใจภายหลังแล้ว อันที่จริงก็ไม่มีโอสถวิเศษของเซียนที่ครอบจักรวาลรักษาได้สารพัดโรคด้วย
พอหลิ่วชิงเฟิงจากไป คาดว่าซ่งจี๋ซินอ๋องเจ้าเมืองที่อยู่ในเมืองหลวงแห่งที่สองคงจะโล่งใจ ทว่าฮ่องเต้ที่อยู่ในเมืองหลวงกลับต้องปวดหัวในเรื่องอวยยศย้อนหลังแล้ว สูงไปก็เป็นปัญหายุ่งยาก ต่ำไปก็ให้ละอายใจ
ต่งสุ่ยจิ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้ารู้สถานะคนเชื่อดาบของข้าแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้”
ต่งสุ่ยจิ่งไม่ได้ปิดบัง “ปีนั้นอาจารย์สวี่ไปหาข้าที่ร้านเกี๊ยวบนภูเขา ต้องการให้ข้าพิจารณาเรื่องการเป็นคนเชื่อดาบ หลังจากชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว ข้าก็ยังตอบตกลงไป เดินเท้าเปล่ามานานหลายปี แล้วก็ไม่ยินดีที่จะสวมรองเท้าสานไปชั่วชีวิตด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเราสองคนคือใครกับใคร เจ้าไม่ต้องมาพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้กับข้า ก็ยังไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเงินแต่งภรรยา แล้วยังกังวลว่าหลินโส่วอีที่เป็นลูกศิษย์สำนักศึกษา แล้วยังเป็นเทพเซียนบนภูเขาจะชิงตัดหน้าไปก่อนหรอกหรือ ถึงได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะต้องสะสมเงินก้อนใหญ่มากพอจะแต่งภรรยาให้ได้ก่อน ถึงจะมีความกล้าไปสู่ขอกับท่านอาหลี่? หากจะให้ข้าบอกนะ เจ้ายังหน้าบางเกินไป หากเป็นข้า หึหึ ถังน้ำบ้านของพวกท่านอาย่อมไม่มีวันใดที่ว่างเปล่า หลี่ไหวไปต้าสุย? ก็ตามเขาไปสิ พวกท่านอาไปที่อุตรกุรุทวีป อย่างมากก็แค่ออกเดินทางช้าหน่อยเท่านั้นค่อยตามไป ถึงอย่างไรก็จะต้องตามตื๊อไม่ยอมปล่อย”
ต่งสุ่ยจิ่งสะกดกลั้นจนเกือบจะบาดเจ็บภายใน ก็เพราะมีแต่เฉินผิงอันนี่แหละที่เป็นข้อยกเว้น ไม่อย่างนั้นลองให้ใครตาไม่มีแววพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดขึ้นมาสิ?
ต่งสุ่ยจิ่งพลันมองประเมินคนผู้นี้แล้วเอ่ยว่า “ไม่ถูกสิ หากอิงตามคำกล่าวนี้ของเจ้า บวกกับข่าวที่ข้าได้ยินมาจากหลี่ไหว ดูเหมือนเจ้าก็ทำแบบนี้ไม่ใช่หรือ? คุ้มครองหลี่ไหวเดินทางไกลไปศึกษาต่อ สานสัมพันธ์อันดีกับน้องภรรยาในอนาคต ยอมทนเหนื่อยทนคำบ่นไปตลอดทาง และหลี่ไหวก็สนิทกับเจ้าที่สุดอยู่คนเดียว เดินทางไกลข้ามทวีปมาเป็นแขกถึงบ้าน ช่วยทำงานบ้านทำการค้าที่ร้านตรงตีนเขายอดเขาสิงโต ทำให้พวกเพื่อนบ้านเอ่ยชมกันไม่หยุดปาก?”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “ข้าจะเหมือนเจ้ากับหลินโส่วอีได้หรือ? ในเมื่อชอบสตรีคนหนึ่งแล้วยังจะกล้าๆ กลัวๆ อยู่อีก โง่งมนัก”
ต่งสุ่ยจิ่งถอนหายใจ “ก็ถูกนะ ปีนั้นแม้แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าก็ยังไปมาแล้ว”
อันที่จริงต่งสุ่ยจิ่งนับถือเฉินผิงอันเรื่องนี้ที่สุด
ตอนที่ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มก็สะพายกระบี่เดินทางไกลไปถึงภูเขาห้อยหัว ไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงลำพัง เพียงแค่หวังจะได้พบหน้าสตรีที่รักสักครั้ง ชอบนาง ก็ต้องให้นางรู้ นางชอบกลับย่อมดีที่สุด นางไม่ชอบ ดูเหมือนว่าปีนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่กลัวที่ตัวเองจะได้รู้
ต่งสุ่ยจิ่งกลับทำไม่ได้ หลินโส่วอีเองก็เหมือนกัน ดังนั้นถึงท้ายที่สุดคนขี้ขลาดสองคนเลยได้แต่มาดื่มเหล้าดับทุกข์ด้วยกัน วางมาดขู่ขวัญคนอื่นอย่างไร้ประโยชน์เท่านั้นเอง
ต่งสุ่ยจิ่งพลันเอ่ยว่า “ได้เดินทางไกลขนาดนั้น พันภูเขาหมื่นสายน้ำล้วนไม่กลัว ถ้าอย่างนั้นภูเขาเสินซิ่วล่ะ อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วแค่นี้ ทำไมเจ้าถึงไม่เคยไปเยือนสักครั้ง”
เฉินผิงอันเงียบงัน ไม่รู้ว่าเพราะไร้คำพูดตอบโต้ หรือเป็นเพราะในใจมีคำตอบอยู่แล้ว แต่กลับไม่สะดวกที่จะเอ่ยออกมากันแน่
บนเส้นทางชีวิตคน เรื่องบางอย่างไม่ได้มีแค่ความรักชายหญิงอย่างเดียวเท่านั้น อันที่จริงยังมีความเสียดายอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่นคนคนหนึ่งอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่กลับไม่เคยไปเยือนภูเขาห้อยหัว
บางทีอาจเป็นเพราะไม่เคยคิดจะเดินไป หรืออาจเป็นเพราะอยากไปแต่ไปไม่ได้ ใครเล่าจะรู้ แต่สรุปแล้วก็คือไม่เคยไปนั่นเอง
……
เฉินผิงอันอำพรางเรือนกายทะยานลมจากตัวจังหวัดกลับมายังภูเขาลั่วพั่ว
ในห้องเก็บเอกสารบนยอดเขาจี๋หลิงของภูเขาหลัก เป็นอาณาเขตของผู้คุมกฎฉางมิ่ง เจียงซ่างเจินและชุยตงซานต่างก็อยู่ที่นี่ ได้เปิดอ่านเอกสารลับเกี่ยวกับภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นอย่างละเอียดแล้ว มีมากหลายสิบเล่ม จำแนกออกเป็นเก้าประเภทใหญ่ๆ เกี่ยวพันไปถึงทำเนียบขุนเขาสายน้ำของสำนักอักษรจง กองกำลังใต้อาณัติ เส้นทางการค้าน้อยใหญ่ทั้งทางลับและทางแจ้ง ขอบเขตของเค่อชิงและผู้ถวายงานมากมาย รากฐานของสำนัก บุญคุณความแค้นบนภูเขาที่สลับซับซ้อน รวมไปถึงความสามารถที่แท้จริงระหว่างสองฝ่ายที่เป็นศัตรูกัน…บนบันทึกลับแต่ละเล่มยังมีการเขียนคำอธิบายและวาดวงกลมระบุไว้อย่างละเอียด ด้านข้างเนื้อหาเขียนด้วยตัวอักษรสีชาดแบ่งเป็นประโยค ‘หลักฐานครบถ้วน’ ‘ยังมีข้อสงสัยรอตัดสิน’ ‘ขยายต่อไปได้’ ‘ต้องสืบค้นให้ลึก’
แม้ว่าจางเจียงเจินจะเป็นอาจารย์น้อยในห้องบัญชีของจวนเฉวียนฝู่ แต่อันที่จริงการแบ่งประเภทเอกสารและรายงานข่าวเหล่านี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นจางเจียเจินที่คอยช่วยเหลือผู้คุมกฎฉางมิ่งมาโดยตลอด
——