“บรรพบุรุษของจีน มักคิดถึงเรื่องทำอย่างไรถึงจะทำตัวเองให้ดี ถึงจะต่อสู้ พวกเราก็ทำได้เพียงแค่สู้กับตัวเอง สู้กับเราในพรุ่งนี้ และสู้กับตัวเองในตอนนี้!”
“สู้กับตัวเอง เพื่ออยู่ให้เหนือกว่าตอนนี้และตัวเองที่ผ่านมา เราต่อสู้กับตัวเองในด้านการแพทย์ เพื่อที่จะได้อายุยืนนาน เราสู้กับตัวเองในด้านเทคโนโลยีการทำเกษตร เพื่อเลี้ยงดูคนให้มากขึ้น เราสู้กับตัวเองในด้านศิลปะต่อสู้ เพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น”
พูดมาถึงตรงนี้ เย่เฉินจึงหันกลับไปมองอิโตะ นานาโกะ แล้วเอ่ยถามเธอว่า“ถ้าเริ่มจากนี้เป็นต้นไป ไม่ให้คุณเข้าแข่งขันใดๆอีก หรือคุณจะยอมปล่อยโอกาสการพัฒนาตัวเอง กระทั่งยอมปล่อยศิลปะการต่อสู้ไป?”
อิดตะ นานาโกะจึงพูดไปว่า“แน่นอนว่าไม่มีทาง!ถึงจะไม่ให้แข่งขันรายการไหนอีก ฉันก็จะไม่มีวันยอมทิ้งศิลปะการต่อสู้ไปแน่!”
เย่เฉินหัวเราะและพูดว่า“ก็แค่นั้นแหละ คุณชอบในศิลปะการต่อสู้ และไม่ได้เอาศิลปะการต่อสู้ไปโจมตีผู้อื่น ดังนั้น จะชนะหรือไม่ จะสำคัญอย่างไร?ถึงจะแพ้ในการแข่งขัน ไม่ได้รับรางวัลใดๆ แล้วมันจะมีอะไรสำคัญล่ะ?ขอแค่ทำให้ตัวเองมีคุณค่า ความชอบในศิลปะการต่อสู้ ก็พอแล้ว”
อิโตะ นานาโกะค่อยๆโค้งคำนับเขาช้าๆ แล้วพูดอย่างจริงใจ“ขอบคุณค่ะเย่เฉินซัง นานาโกะเข้าใจแล้วค่ะ!”
เย่เฉินพูด“การแข่งขันพรุ่งนี้ต้องพยายามให้ดีนะ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็อย่าได้ใส่ใจ แค่เอาด้านที่ดีที่สุดของตัวเองแสดงออกมาก็เพียงพอแล้ว”
อิโตะ นานาโกะพยักหน้าอย่างตั้งใจ“เย่เฉินซังวางใจเถอะ ฉันจะทุ่มแรงกายทั้งหมดเลยค่ะ!”
พูดจบ เมื่อเธอนึกถึงรอบรองชนะเลิศ เย่เฉินก็ใช้สายตาปวดใจเล็กน้อยมองมาที่ตนเอง เธอจึงถามด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความสุข“เย่เฉินซังคะ การแข่งขันรอบที่แล้วของฉัน ทำไมดีไหมคะ?”
เย่เฉินที่ได้ยินเธอพูดถึงการแข่งครั้งก่อน เมื่อนึกถึงฉากที่เธอถูกคู่ต่อสู้โจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า ได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ในใจของเขายังคงรู้สึกได้ถึงความปวดใจ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงพูดอย่างจริงจังว่า“ผมคิดว่าการแข่งขันครั้งก่อนของคุณทำได้เยี่ยมมากเลยครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจจุดหนึ่ง ตอนนั้นทำไมคุณถึงปล่อยให้คู่ต่อสู้โจมตีซ้ำๆล่ะ?ความจริงความแข็งแกร่งของคุณสูงกว่าคู่ต่อสู้ ถ้าหากคุณโต้ตอบอย่างเด็ดเดี่ยวตั้งแต่ต้น คุณอาจจะไม่ได้รับบาดเจ็บก็ได้ แต่คุณกลับปล่อยโอกาสให้คู่ต่อสู้ ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
อิโตะ นานาโกะพูดอย่างเขินอาย“อันที่จริง……ตอนนั้นฉันต้องการชนะด้วยการจู่โจมเพียงครั้งเดียว ดังนั้นฉันจึงปล่อยให้คู่ต่อสู้โจมตีฉันในตอนเริ่มแรก เพื่อค้นหาข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้”
เย่เฉินอดที่จะแปลกใจไม่ได้“การแข่งขัน ชนะก็พอ ทำไมต้องใช้กระบวนท่าเดียวเพื่อปราบศัตรูด้วยล่ะ?”
ในมุมมองของเย่เฉิน การโจมตีด้วยกระบวนท่าเดียวของอิโตะ นานาโกะ มันยังคงแตกต่างจากกระบวนท่าเดียวเพื่อปราบศัตรูของฉินเอ้าเสวี่ยนเป็นอย่างมาก
เพราะความแข็งแกร่งโดยรวมของฉินเอ้าเสวี่ยน สามารถใช้กระบวนท่าเดียวเพื่อปราบศัตรูได้ ดังนั้นกระบวนท่าเดียวเพื่อปราบศัตรูสำหรับเธอแล้ว จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร กระทั่งอาจจะพูดได้ว่ามันเป็นอะไรที่ง่ายมาก
แต่ ความแข็งแกร่งของอิโตะ นานาโกะ ถึงแม้จะแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยการจู่โจมเพียงครั้งเดียวได้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าเธอออกโจทย์ปัญหาที่ยากให้กับตัวเองมากๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะยืนกรานจะเดินบนทางที่ยากที่สุด ในการแข่งขันเธอคง ไม่ถูกคู่ต่อสู้โจมตีหลายครั้งขนาดนี้
ตอนนี้อิโตะ นานาโกะจึงยิ่งเขินอายมากยิ่งขึ้น เธอพูดอย่างจริงจังว่า“ฉัน……ประเด็นคือฉัน……ความหวังของฉันคือหวังว่าเย่เฉินซังจะ……ประทับใจฉัน……”
เย่เฉินที่ได้ยินดังนั้น จึงอดที่จะตะลึงงันไม่ได้
เพื่อตนอย่างนั้นเหรอ?
ผู้หญิงคนนี้ โง่เกินไปรึเปล่า?
เพื่อให้ตัวเองประทับใจ เธอถึงกับยืนอยู่บนสังเวียนให้คู่ต่อสู้โจมตีครั้งแล้วครั้งเล่างั้นเหรอ?ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามไม่ระวังล่ะ โจมตีจนบาดเจ็บหนักขึ้นมา จะทำอย่างไร?
พอคิดมาถึงตรงนี้ เขาจึงอดเอ่ยถามไม่ได้ว่า“เพื่อให้ผมประทับใจ เลยทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายขนาดนั้น คุณคิดว่ามันคุ้มไหม?”
“คุ้มสิคะ!”อิโตะ นานาโกะพูดอย่างแน่วแน่และจริงจัง“ในช่วงเวลาหนึ่ง ฉันอยู่บนสังเวียนมองเห็นสายตาของเย่เฉินซัง ฉันไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดรึเปล่า แต่ในตอนที่ฉันเห็นสายตาของคุณนั้น ทันใจนั้นก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันคุ้มค่ามาก……”