ฉียู่หรงรู้สึกตะลึงจนเหม่อลอยไปอีกครั้ง อดีตหากบอกว่าจิตใจนางเปี่ยมล้นไปด้วยความช็อกและความตะลึง เมื่อได้พบเห็นหลัวซิวสังหารเหล่าคู่ต่อสู้ที่เหลือเชื่อ เช่นนั้น ณ ปัจจุบันเมื่อนางเห็นกับตาเลยว่าหลัวซิวสังหารมกุฎเทพคนหนึ่งโดยตรง สภาพจิตใจของฉียู่หรงก็ไม่สามารถใช้คำว่าตะลึงและช็อกมาบรรยายได้แล้ว

หลัวซิวที่อยู่ภายในแววตานาง ณ บัดนี้ ช่างเป็นเงาร่างที่สูงใหญ่เพียงนั้น ทำให้นางทำได้เพียงแหงนหน้ามองด้วยสภาพจิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเคารพยำเกรง

“ศิษย์……”นางอยากเรียกศิษย์พี่เย่ ทว่าเมื่ออ้าปากขึ้น กลับพบว่าตนเองเรียกไม่ได้แล้ว เนื่องจากความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามอยู่เหนือการจินตนาการของตน ยิ่งกว่านั้นคือมันทำให้นางค้นพบว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เรียกฝ่ายตรงข้ามในฐานะคนรุ่นเดียวกันแล้ว

“ของชิ้นนี้เอาให้เจ้าก็แล้วกัน”หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ว่าแววตาของฉียู่หรงที่มองตนเองแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ทว่าเขากลับไม่ได้คิดอะไรมากนัก ยื่นหอคอยเขียวที่อยู่ในมือไปให้นางโดยตรง

ฉียู่หรงตกใจจนสะดุ้ง นี่มันศัตราวุธราชาเชียวนะ มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพ การที่จะได้รับหนึ่งชิ้นนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าตามหาวัตถุดิบในการกลั่นยาก แต่ปรมาจารย์หลอมอาวุธระดับมกุฎมีน้อยมากจริง ๆ

“คุณค่าของของชิ้นนี้สูงมากเกินไป ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก ศิษย์พี่ท่านช่วยเหลือข้ามามากเช่นนี้ และไม่แม้แต่จะรับสิ่งตอบแทน ข้าจะรับของของท่านอีกได้อย่างไรเล่า”ฉียู่หรงส่ายหน้ารัว ๆ

“ฝีมือในการกลั่นของชิ้นนี้ย่ำแย่มากเกินไป อีกทั้งกฎธาตุลมไม่สอดคล้องกับธาตุกฎที่ข้าฝึก ข้าเก็บไว้ก็เปล่าประโยชน์”หลัวซิวยิ้มโดยไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะยัดหอคอยเขียวเข้าไปในมือฉียู่หรงโดยตรง

ตั้งแต่ย่างกรายลงบนเส้นทางแห่งโลกยุทธ์ ตลอดกาลเวลาหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมา สหายเขามีไม่มาก โดยเฉพาะจากการที่ผลการฝึกตนของเขายิ่งอยู่ยิ่งสูงขึ้น อดีตผู้ที่เคยใช้ชีวิตร่วมกับเขาต่างค่อย ๆ เดินตามรอยเท้าเขาไม่ทันแล้ว

บางทีฉียู่หรงอาจจะไม่ถือว่าเป็นสหาย ทว่าอย่างน้อยก็ไม่ใช่ศัตรู ศัตราวุธราชาชิ้นหนึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าควรเมืองสำหรับผู้อื่น แต่เขาไม่นำของเช่นนี้มาไว้ในสายตา

“ขอบพระคุณศิษย์พี่เจ้าค่ะ”ฉียู่หรงก้มหน้าพลางพูด

บางทีอาจจะเป็นเพราะหลัวซิวเพิ่งสังหารมกุฎเทพคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นแม้ว่าเขาจะเก็บออร่าของตนเองกลับเข้าร่างแล้วก็ตาม ทว่ากลับมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นหลงเหลืออยู่ จึงส่งผลให้ฉียู่หรงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา

หลัวซิวขบขำเบา ๆ ไม่พูดอะไร สาเหตุที่เขามอบหอคอยเขียวให้แก่ฉียู่หรงนั้น แท้จริงแล้วมันยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือเขาไม่ค่อยถูกใจของขลังชิ้นนี้ แม้จะเป็นศัตราวุธราชา แต่ค่ายกลที่สลักอยู่ด้านบนแย่เกินไป

วิถีภัณฑ์กลั่นมีความเกี่ยวข้องกับค่ายกล ทว่ากลับไม่ใช่นักค่ายกลทุกคนที่สามารถกลายเป็นนักหลอมอาวุธได้

เนื่องจากขณะที่นักหลอมอาวุธกลั่นของคลังอาวุธสงคราม ใช่ว่าสลักค่ายกลอะไรก็ได้ลงไปแล้วจะจบเรื่อง ของคลังอาวุธสงครามชนิดเดียวกัน พลานุภาพที่นักหลอมอาวุธผู้ปราดเปรื่องกลั่นออกมาจะทรงพลังมากกว่า คุณภาพก็ดีกว่า

ชุดรบเพลิงมกุฎเทพก็เป็นเพียงของขลังชั้นล่างเท่านั้น ทว่าเนื่องจากเป็นของคลังคุ้มกันที่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นมูลค่าของมันจึงสามารถเทียบทัดศัตราวุธราชาชั้นกลาง มีเพียงดาบเงาสายฟ้าเล่มนั้นเท่านั้นที่ยังถือว่าไม่เลว เป็นศัตราวุธราชาชั้นกลาง

เมื่อเปรียบเทียบกัน หอคอยเขียวหลังนี้ก็แย่กว่ามาก ในบรรดาศัตราวุธราชาชั้นล่าง มันถือว่าเป็นของขลังที่ไม่ได้รับมาตรฐาน ส่วนมากน่าจะเป็นเพราะผลการฝึกตนของฉีเฉียวซานผู้นี้ไม่สูง ผลการฝึกตนแค่มกุฎเทพขั้น 1 เพราะฉะนั้นจึงหาอาวุธสงครามที่ดีกว่านี้ไม่ได้

ผ่านไปไม่นานนัก หลัวซิวและฉียู่หรงก็ไปถึงเมืองคุนซาน

คูเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่ใหญ่อันดับสองในโลกะดาราคุนหลุน ภายในเมืองก็มีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเทพคอยปกปักรักษาเช่นกัน พวกเขาอยากช่วยชีวิตหนิงหานยู่ จึงไม่สามารถลงมือเอิกเกริกยิ่งใหญ่ในเมืองอย่างบุ่มบ่าม

“ศิษย์พี่เย่ ตำแหน่งตัวตนของฉีเตียหลงและฉีเฉียวซานที่อยู่ในตระกูลฉีต่างไม่ต่ำ พวกมันทั้งสองคนถูกฆ่า ตระกูลฉีในโลกะอัมพรเทวต้องส่งอาจารย์ที่เก่งกาจมากกว่ามาแน่นอน เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องใช้วิธีการที่รวดเร็วฉับไว”หลังจากมาถึงเมืองคุนซานแล้ว ฉียู่หรงจึงกล่าวเช่นนี้