บทที่ 768.4 บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาลั่วพั่ว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

จูเหลี่ยนค้นพบว่าเฉินผิงอันยังกำแขนของตนไว้ก็ยิ้มเอ่ย “คุณชาย ข้าเองก็ไม่ใช่สตรีที่รูปโฉมงามดุจบุปผาอะไร อย่าทำแบบนี้สิ หากแพร่ออกไปจะทำให้คนเข้าใจผิดเอาได้”

เว่ยป้อถอนหายใจโล่งอก กำลังจะพูดบางอย่างก็พบว่าจูเหลี่ยนหันมาส่งยิ้มกว้างให้ตน เห็นสายตาที่อีกฝ่ายมองมา เว่ยป้อจึงทำได้เพียงกลืนคำพูดกลับลงคอไป

เฉินผิงอันปล่อยมือ ยิ้มเอ่ย “คิดว่าข้าโง่จริงๆ หรือไร ปีนั้นตอนที่อยู่บนสะพานเลียบหน้าผาชายแดน ท่าทีที่สือโหรวมีต่อเจ้าเปลี่ยนไปขนาดนั้น จะต้องเป็นเพราะนางมองเห็นอะไรแน่ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของนาง ย่อมไม่มีทางเป็นเพราะเจ้าไปอธิบายเหตุผลอะไรให้นางฟังจนนางเข้าใจแน่นอน ข้าก็แค่รู้สึกว่าทุกคนล้วนมีความลับเป็นของตัวเอง เลยจงใจไม่ถาม แสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น”

จูเหลี่ยนยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาลูบจอนผม ถามหยั่งเชิงว่า “คุณชาย ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าก็จะปรากฎตัวต่อหน้าผู้คนด้วยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้วนะ?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “มีอะไรไม่ได้เล่า? ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรากลายเป็นสำนักแล้ว จะเพิ่มเรื่องนี้มาอีกเรื่องก็ไม่เห็นเป็นไร”

จูเหลี่ยนหันหลังให้ทางเรือนไม้ไผ่ ฉีกหน้ากากสองแผ่นออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง

คนคลั่งวรยุทธ คุณชายผู้สูงศักดิ์ เจ๋อเซียนเหริน

คำกล่าวที่แพร่หลายในยุทธภพของพื้นที่มงคลดอกบัวเหล่านี้ เฉินผิงอันล้วนรู้ชัดเจนดี เพียงแต่ว่าสรุปแล้วเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์อย่างไร เป็นเจ๋อเซียนเหรินอย่างไร รูปโฉมและบุคลิกท่วงท่าเหมือนเทพเซียนอย่างไรกันแน่ ในอดีตเฉินผิงอันคิดว่าอย่างมากก็คงจะเหมือนลู่ไถ ชุยตงซานหรือไม่ก็เว่ยป้อ

ดังนั้นนาทีนี้เฉินผิงอันจึงเหมือนถูกฟ้าผ่า อึ้งงันไปนาน หันหน้าไปมองเว่ยป้อที่ทำท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นแล้วค่อยหันมามองจูเหลี่ยนที่หลังค่อมอีกที เฉินผิงอันก็แยกเขี้ยว สุดท้ายรอยยิ้มจึงดูพิพักพิถ่วน ถึงกับถอยหลังไปสองก้าวตามจิตใต้สำนึก ราวกับว่าต้องอยู่ห่างจากใบหน้านี้ของจูเหลี่ยนให้ไกลสักหน่อยถึงจะสบายใจได้ ก่อนจะกดเสียงต่ำพูดโน้มน้าวว่า “จูเหลี่ยนอ่า ยังคงเป็นพ่อครัวเฒ่าของเจ้าต่อไปเถอะนะ เรื่องอย่างบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำนี้ ได้เงินมาก็ผิดต่อมโนธรรมในใจ คงถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร”

“ก็จริง ใต้หล้านี้เรื่องที่น่าอายที่สุดก็คือการอาศัยใบหน้าหาข้าวกินนี่แหละ”

จูเหลี่ยนพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน เป็นเสียงที่แปลกหูอย่างมาก จากนั้นก็ยิ้มพลางเอาหน้ากากสองแผ่นแปะกลับลงไปเหมือนเดิม แผ่นหนึ่งเป็นใบหน้าของเถ้าแก่เหยียนฟ่าง อีกแผ่นหนึ่งเป็นของพ่อครัวเฒ่า

เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “เสียง อย่าลืมเสียงด้วย”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ตกลง”

ในที่สุดใบหน้าและน้ำเสียงก็ล้วนเปลี่ยนมาเป็นพ่อครัวเฒ่าที่คุ้นเคยแล้ว

เฉินผิงอันโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยังเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “วันหน้าหากภูเขาลั่วพั่วขาดเงินจริงๆ ก็ค่อยว่ากันอีกทีนะ”

บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาลั่วพั่วคู่ควรแก่การรอคอยจริงๆ

จูเหลี่ยน

เจียงซ่างเจิน หมี่อวี้ เว่ยป้อ ชุยตงซาน

ในบรรดาเค่อชิงยังมีหลิ่วจื้อชิงอยู่อีกคน วันหน้ายังสามารถเพิ่มหลินจวินปี้เข้าไปได้ด้วย…

รุ่นที่อ่อนเยาว์กว่าหน่อยก็ยังมีเฉินหลี่ ป๋ายเสวียน…

ผู้มีความสามารถครบถ้วน ไม่ต้องกังวลว่าจะชักหน้าไม่ถึงหลังเลย

คนทั้งสองนั่งลง เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักข้าวเหนียวออกมาสองกา กวักมือให้เว่ยป้อ

เฉินหลิงจวินนั่งอยู่ข้างกายเว่ยป้อ พร่ำเรียกพี่ใหญ่เว่ยคำแล้วคำเล่า กระตือรือร้นร้อนฉ่าจนเหมือนกับแกล้มจานหนึ่งที่เพิ่งยกมาวางบนโต๊ะ

สำหรับท่าทีที่มีต่อเว่ยซานจวิน นับตั้งแต่ที่เฉินหลิงจวินมาอยู่ภูเขาลั่วพั่ว ถึงอย่างไรก็เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา เมื่อมีเส้นแบ่งที่ค่อนข้างชัดเจน เจ้าขุนเขาลงจากภูเขาเดินทางไกล ที่บ้านไม่มีที่พึ่ง เฉินหลิงจวินก็จะเกรงใจเว่ยซานจวินมากหน่อย พอนายท่านเจ้าขุนเขากลับมาอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินหลิงจวินก็ไม่ห่างเหินกับพี่ใหญ่เว่ยเลยแม้แต่น้อย

ผู้ฝึกตนที่เดินขึ้นเขา โดยทั่วไปแล้วมักจะจำแต่การลงโทษไม่จำผลประโยชน์ นายท่านใหญ่จิ่งชิงกลับดีนัก จำแต่ผลประโยชน์ไม่จำการลงโทษ

เด็กคนหนึ่งเดินกะเผลกๆ มาที่โต๊ะหิน ใบหน้าเขียวจมูกบวม ไม่เอาสองมือไพล่หลังอย่างที่หาได้ยาก

ป๋ายเสวียนเอามือหนึ่งปิดหน้า พูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “ใต้เท้าอิ่นกวาน หมัด ข้ายังจะฝึก แต่อย่าให้เผยเฉียนเป็นคนสอนได้ไหม นางไม่มีคุณธรรม ป้อนหมัดไม่ยอมกดขอบเขตเลย”

เฉินหลิงจวินก้มหน้าลงต่ำ กลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก

โจวหมี่ลี่เกาแก้ม ลุกขึ้นยืน ยกที่นั่งให้ป๋ายเสวียนที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อย ถามเสียงเบาว่า “เจ้าให้เผยเฉียนกดขอบเขตกี่ขั้นล่ะ?”

ป๋ายเสวียนเอ่ยอย่างเดือดดาล “ข้าประเมินนางไว้สูง คิดว่านางเป็นขอบเขตโอสถทองแล้ว จึงบอกกับนางไว้ล่วงหน้าว่าให้กดขอบเขตสี่ขั้น นางกลับดีนัก ยังแสร้งทำเป็นเกรงใจกับข้า บอกว่ากดขอบเขตห้าขั้นก็แล้วกัน”

ป๋ายเสวียนรีบหันไปมองทางเส้นเล็กที่อยู่ใกล้กับเรือนไม้ไผ่ทันใด ไม่เห็นร่างของเผยเฉียนถึงได้เอ่ยต่อว่า “ผลคือนางออกหมัดอย่างดุร้ายไร้เหตุผล ข้ามองไม่เห็นด้วยซ้ำว่านางออกหมัดอย่างไร ร่างทั้งร่างของข้าผู้อาวุโสก็ลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศแล้ว ไม่ต่างจากกระบี่บินที่บินพล่านเลย โดนต่อยหลายหมัดกว่านายน้อยเช่นข้าจะร่วงลงพื้น พอสัมผัสพื้น หลังเท้าของเผยเฉียนผู้นั้นก็พุ่งมาตรงหน้า รอจนข้าฟื้นคืนสติ เผยเฉียนก็นั่งยองอยู่ข้างกาย บอกว่าสุดท้ายนางเปลี่ยนใจเก็บเท้าไป ไม่อย่างนั้นหากปลายเท้านั้นจิ้มเข้าที่หัวใจ ข้าคงต้องกินข้าวพลางกระอักเลือดไปด้วยแน่ หรือไม่ก็คงต้องนอนหลับพลาง…เดินนิ่งไปด้วย”

ป๋ายเสวียนหน้ามุ่ย นวดคลึงข้างแก้มที่แดงทั้งยังบวมฉึ่งเหมือนลูกซาลาเปา พูดบ่นว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ท่านรับลูกศิษย์อย่างไรกัน เผยเฉียนคือนักต้มตุ๋นโดยแท้ ใต้หล้านี้มีใครใช้วิธีป้อนหมัดแบบนี้กันบ้าง ไม่มีน้ำใจของคนร่วมสำนักเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าข้าเป็นศัตรูคู่แค้นของนางอย่างไรอย่างนั้น”

เฉินผิงอันรู้สึกสงสารอยู่บ้าง จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าโง่หรือไร ถามหมัดคราวหน้าให้ถามนางว่ากดขอบเขตหกขั้นได้หรือไม่ ขอแค่นางพยักหน้าตอบตกลง ต่อจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะไม่ลำเอียงเด็ดขาด”

ป๋ายเสวียนกลอกตาเร็วรี่ ถามหยั่งเชิงว่า “กดขอบเขตเจ็ดขั้นได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายกับรู้สึกรังเกียจนิดๆ “เจ้าไปถามเองสิ ข้าไม่ยุ่งด้วยหรอก”

ป๋ายเสวียนลุกขึ้นยืนโงนเงน เดินเซไปถึงทางเส้นเล็ก พอเห็นว่าไม่มีใครก็รีบชักเท้าวิ่งตะบึงไปหาเผยเฉียนทันที บอกนางว่าอาจารย์พ่อของเจ้าบอกแล้วว่า เจ้าต้องกดขอบเขตเจ็ดขั้น ฮ่าๆ ชีวิตนี้นายน้อยไม่เคยมีศัตรูข้ามคืนหรอกนะ

ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ป๋ายเสวียนก็เดินโซซัดโซเซกลับมาที่โต๊ะหิน แก้มสองข้างแดงเป่งจนไม่เหลือสภาพใบหน้าของคนแล้ว คราวนี้น้ำเสียงที่อู้อี้ไม่มีการเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย พูดอย่างมีอารมณ์แต่ไร้กำลังว่า “นายน้อยไม่ฝึกหมัดแล้ว อาจารย์เฉา ข้ากลับหอบูชากระบี่ก่อนแล้วนะ ให้เว่ยซานจวินไปส่งข้าหน่อยได้หรือไม่ นายน้อยดูจากสภาพอากาศของคืนนี้แล้วไม่เหมาะจะขี่กระบี่บินทะยาน”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ฝึกหมัดแค่ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ค่อยดี วันหน้าเปลี่ยนคนสอนวิชาหมัดของเจ้าก็แล้วกัน”

ป๋ายเสวียนนั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่หมี่ลี่น้อยยกให้ เอาหน้าแนบไปบนโต๊ะหิน เจ็บแปลบจนตัวสั่นเยือกทันที เงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ยว่า “ฝึกหมัดก็ฝึกหมัด เผยเฉียนก็เผยเฉียน สักวันหนึ่งข้าจะต้องทำให้นางรู้ให้ได้ว่าอะไรคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการเรียนวรยุทธที่แท้จริง”

ป๋ายเสวียนนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ถามอย่างอ่อนระโหยโรยแรงว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน สรุปแล้วเผยเฉียนขอบเขตอะไรกันแน่ นางบอกว่าเผยเฉียนนับร้อยนับพันคนก็สู้อาจารย์พ่อของนางคนเดียวไม่ได้”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “เจ้าเชื่อจริงๆ หรือ”

ป๋ายเสวียนลุกขึ้นยืน “จะไปถามหมัดแล้ว!”

เฉินหลิงจวินเบิกตากว้าง รู้สึกว่าต้องมองอีกฝ่ายเสียใหม่ บนภูเขาลั่วพั่วถึงกับมีวีรบุรุษผู้องอาจที่ไม่พ่ายแพ้ให้กับตนอยู่ด้วยหรือ?!

ป๋ายเสวียนเดินกะเผลกจากไป

ไปเจอกับเผยเฉียนบนทางเส้นเล็ก

“พี่หญิงเผย พี่หญิงเผย”

ป๋ายเสวียนที่ไหล่โยกขึ้นโยกลงก้าวเร็วๆ เดินไปข้างหน้า จากนั้นก็เบี่ยงตัวเดินอยู่ริมขอบของทางเส้นเล็ก เริ่มขยับเท้าหนีไปทีละนิด “ดูจากสีท้องฟ้าก็ไม่เช้าแล้ว อาจารย์พ่อของเจ้าบอกให้ข้าไปพักผ่อนให้ดีๆ ไว้เจอกัน ไว้เจอกัน”

รอกระทั่งเผยเฉียนเดินสวนไหล่ผ่านไป ป๋ายเสวียนก็ปลุกความกล้าก้มหน้าก้มตาวิ่งห้อจากไป รอกระทั่งเขาคืนสติก็มาถึงขั้นบันไดแล้ว ป๋ายเสวียนไม่กล้าแม้แต่จะหันตัวกลับไปยังที่พัก จึงเดินขึ้นบันไดไปสู่จุดสูง สุดท้ายไปนั่งนวดหน้าอยู่บนยอดเขา

เฉินยวนจีเดินนิ่งขึ้นมาถึงยอดเขา ป๋ายเสวียนก็หมุนตัวกลับไปแล้ว เป็นวีรบุรุษมาทั้งชีวิตกลับต้องมาเสียชื่อในวันเดียว นายน้อยยังไม่เคยได้ลงเขาเปิดฉากสังหารไปทั่วสารทิศอย่างอิ่นกวานเลยนะ

เฉินหยวนจีนั่งลงพักผ่อน ลังเลเล็กน้อยก็ถามเบาๆ ว่า “ป๋ายเสวียน เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

ตามหลักแล้วอยู่บนภูเขาลั่วพั่วน่าจะไม่มีใครรังแกป๋ายเสวียนถึงจะถูก

ป๋ายเสวียนตอบอย่างอัดอั้น “กลางดึกเดินละเมอสะดุดล้ม”

เฉินยวนจีลุกขึ้นยืนอย่างอัดอั้น แล้วจึงเดินนิ่งลงจากเขาไปต่ออีกครั้ง

จูเหลี่ยนและเว่ยป้อชมแสงจันทร์อยู่ด้วยกัน กลับที่พักก็ประลองหมากล้อมกันไปหนึ่งตา คิดถึงพี่น้องต้าเฟิงอย่างมาก

หน้าผานอกเรือนไม้ไผ่ หน่วนซู่ที่ไปยังพื้นที่มงคลรากบัวมารอบหนึ่งได้กลับมาอีกครั้งแล้ว

ดังนั้นคนที่นั่งเรียงกันอยู่ริมหน้าผาจึงมีเฉินผิงอัน คนจิ๋วดอกบัวที่นั่งอยู่บนหัวของเขา เผยเฉียน หน่วนซู่ หมี่ลี่น้อย จิ่งชิง

……

ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว เฉินผิงอันพาเผยเฉียนและหมี่ลี่น้อยนั่งเรือข้ามฟากของชายหาดโครงกระดูกไปด้วยกัน ไปยังอุตรกุรุทวีป รีบไปรีบกลับ

เส้นทางคร่าวๆ ที่ต้องเดินทางผ่านก็คือสำนักพีหมา หุบเขาผีร้าย สวนน้ำค้างวสันต์ ยอดเขาพาตี้ สำนักกระบี่ไท่ฮุย ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ถ้ำสวรรค์วังมังกร สุดท้ายย้อนกลับมาที่ชายหาดโครงกระดูกแล้วเดินทางข้ามทวีปกลับบ้านเกิด

มาถึงมหาสมุทรกว้างใหญ่ เรือข้ามฟากสำนักพีหมาที่เดินทางขึ้นเหนือพลันได้รับการขอความช่วยเหลือจากกระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่ง เรือข้ามฟากของอุตรกุรุทวีปลำหนึ่งที่เดินทางลงใต้เจอกับเรือข้ามฟากที่เดินทางยามค่ำคืนในตำนานลำนั้น ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ จึงพุ่งหายเข้าไปในพื้นที่ลับ

เดิมทีเฉินผิงอันคิดว่าจะให้เผยเฉียนช่วยปกป้องหมี่ลี่ไปส่ง ให้ไปรอเขาที่สำนักพีหมาก่อน เพียงแต่เฉินผิงอันเปลี่ยนใจ ให้พวกนางเดินทางไปพร้อมกับตน

พวกเขาออกจากเรือไปอย่างเงียบเชียบ บอกให้เผยเฉียนพาหมี่ลี่น้อยทะยานลมไปบนมหาสมุทรช้าสักหน่อย ส่วนเฉินผิงอันขี่กระบี่ไปยังจุดสูงเพียงลำพัง การมองเห็นเปิดกว้างมากกว่า ก้มหน้าหลุบตาลงมองโลกมนุษย์ ขณะเดียวกันยังสามารถคอยสังเกตดูเผยเฉียนกับหมี่ลี่น้อย และพวกเขาก็เดินทางลงใต้กันไปทั้งอย่างนี้ ตามหาร่องรอยของเรือข้ามฟากประหลาดลำนั้น

ท่ามกลางม่านราตรีของคืนหนึ่ง เฉินผิงอันขี่กระบี่พลิ้วกายลงบนมหาสมุทร สอดกระบี่กลับเข้าฝัก พาเผยเฉียนและหมี่ลี่น้อยไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ครู่หนึ่งต่อมาเฉินผิงอันก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เผยเฉียนหรี่ตาลง นางเองก็ขมวดคิ้วเหมือนกัน

เรือข้ามฟากขนาดใหญ่โตเท่าขุนเขาลำหนึ่งถึงกับสวนผ่านพวกเขาไปบนมหาสมุทรทั้งอย่างนั้น

เผยเฉียนถามอย่างกังขา “อาจารย์พ่อ ประหลาดเช่นนี้เลยหรือ? ไม่เหมือนจะเป็นเวทอำพรางตานะ แล้วก็ไม่ใช่ภาพมายาด้วย ไม่มีริ้วปราณวิญญาณกระเพื่อมแม้แต่น้อย”

โจวหมี่ลี่เอาสองมือกอดอก ขมวดคิ้วบางสีเหลืองอ่อนจางสองข้าง พยักหน้าอย่างแรง “ออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้างจริงๆ นะ”

เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็เรียกเรือยันต์ลำหนึ่งออกมา แล้วก็จริงดังคาด เรือที่เดินทางยามค่ำคืนซึ่งร่องรอยไม่แน่ชัด ยากที่จะสกัดขวางไว้ลำนั้นพลันทะลึ่งพรวดพ้นออกมาจากผิวน้ำของมหาสมุทร เรือยันต์คล้ายเกยตื้นไปจอดอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ของนครขนาดมโหฬารแห่งหนึ่ง เผยเฉียนเพ่งสมาธิมองไป บนนครแห่งนั้นมีแสงสีทองเปล่งวูบวาบ เหมือนแขวนป้ายเอาไว้ ทว่าพร่าเลือนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน เผยเฉียนเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์พ่อ ดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ที่มีชื่อว่า ‘นครเถียวมู่’”

“นครเถียวมู่? ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

เฉินผิงอันหัวเราะ ใช้เสียงในใจพูดกับเผยเฉียนและหมี่ลี่น้อย “จำเอาไว้ข้อหนึ่งว่า พอเข้าเมืองไปแล้วอย่าพูดอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามตอบคำถามไม่ว่าใครจะถามก็ตาม”

ไม่มีการห้ามเข้าเมือง เพียงแต่ว่าเมื่อพวกเฉินผิงอันเข้าไปในเมืองแห่งนั้นแล้ว การมองเห็นก็พลันเปิดกว้าง จุดที่สายตามองไปเห็นคือกลุ่มคนที่เบียดเสียดกันแออัน รถม้ารถเทียมวัวสัญจรขวักไขว่ จอแจอึกทึก ครึกครื้นจนคล้ายเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง

เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่า สะพายตะกร้าไม้ไผ่ ในตะกร้าไม้ไผ่มีหมี่ลี่น้อยที่แบกคานหาบสีทองยืนอยู่ เขายื่นมือไปตบศีรษะเผยเฉียน แล้วค่อยตบศีรษะของหมี่ลี่น้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นแล้ว ถามได้ตอบได้ตามใจ ฟ้าดินกว้างใหญ่ พวกเราทำตามใจตัวเองเถิด”

——