ฝนเม็ดเล็กพร่างพรมบรรยากาศขมุกขมัว เรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่งที่เดินทางจากใต้ไปเหนือเข้าจอดเทียบท่าที่ท่าเรือป๋ายลู่ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยงอย่างเชื่องช้า บุรุษรูปโฉมหล่อเหลาคนหนึ่งเดินลงมา สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว สวมรองเท้าผ้า ถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง ด้ามร่มคือกิ่งดอกกุ้ย ข้างกายมีเด็กหนุ่มที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีหมึกคนหนึ่ง ในมือเขาก็ถือร่มคันเล็กเช่นเดียวกัน ทำมาจากไผ่เขียวทั่วไป ทว่าพื้นผิวร่มกลับสร้างขึ้นจากดอกบัวมรกตของตระกูลเซียน ก็คือโจวอันดับหนึ่งและชุยตงซานที่ร่ายเวทอำพรางตาและสวมหน้ากาก
คนทั้งสองต่างก็สะพายกระบี่ ล้วนเป็นของตกทอดที่อยู่ในพื้นที่ลับของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและอุตรกุรุทวีป ไม่เคยเผยกายในแจกันสมบัติทวีปมาก่อน วัตถุตกทอดของเซียนกระบี่โบราณสองชิ้นนี้มีชื่อแบ่งออกเป็นเจี่ยอู่เซิง เทียนโจ่ว
เบื้องหลังมีผู้ฝึกตนบนทำเนียบวงศ์ตระกูลกลุ่มหนึ่งที่มาเที่ยวเยือนภูเขาตะวันเที่ยงเช่นเดียวกัน พวกเขาพูดคุยหัวเราะเบิกบาน มีคนหนุ่มคนหนึ่งกำลังเล่าให้ดรุณีน้อยเรือนกายอ้อนแอ้นข้างกายเขาฟังว่า อาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคือสหายรักบนภูเขาของบรรพจารย์เซียนกระบี่ยอดเขาป๋าอวิ๋นของภูเขาตะวันเที่ยงซึ่งคบค้าสมาคมกันมานานหลายร้อยปีแล้ว และบรรพจารย์ยอดเขาป๋าอวิ๋นผู้นั้น ตอนที่อยู่บนสนามรบของนครมังกรเฒ่าก็เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเซียนกระบี่ลี่แห่งอุตรกุรุทวีป ร่วมมือกันสังหารปีศาจใหญ่
ชุยตงซานฟังด้วยความเบิกบาน ใช้เสียงในใจหัวเราะคิกคักถามว่า “โจวอันดับหนึ่ง ไม่สู้พวกเรามาเปลี่ยนร่มกันดีไหม?”
เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองเบื้องล่างกระดาษร่มดอกบัวมรกตที่เป็นสีเขียว เห็นว่าเป็นสีเขียวทึบทึมก็ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ไม่น่ารักสักเท่าไร”
ในกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังมีเด็กชายหน้าตาหมดจดคนหนึ่งอายุประมาณเจ็ดแปดขวบ ถือร่มคันใหญ่ ใช้เวทน้ำรวบรวมสะสมน้ำฝนกองใหญ่มาไว้บนผิวร่ม จากนั้นก็พลันบิดด้ามร่ม เม็ดฝนจึงสาดกระจายไปรอบทิศเหนือนลูกธนูที่พุ่งออกไปเป็นกลุ่ม เหมือนกระบี่บินที่มีมากมายนับไม่ถ้วน เพียงแต่ว่าเม็ดฝนที่สาดกระจายไปสี่ทิศของตัวอ่อนผู้ฝึกตนที่เพิ่งเหยียบย่างลงบนเส้นทางการฝึกตนได้ไม่นานนี้ ไม่ได้มีพลานุภาพใดๆ ทว่ายามที่เม็ดฝนกระทบลงบนร่มกิ่งกุ้ยและร่มบัวมรกตแล้วกลับเกิดเสียงดังปุๆ
พวกผู้อาวุโสในสำนักก็เพียงแค่คลี่ยิ้มเท่านั้น
ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลที่พอจะฝึกตนจนประสบความสำเร็จได้บ้างเล็กน้อยพวกนี้ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกางร่ม แค่ปล่อยปราณวิญญาณออกมา ลมฝนก็จะหลบเลี่ยงไปเอง
เทพเซียนบนภูเขาห้าขอบเขตกลาง ยามที่ออกเดินทางท่องไปทั่วทิศ น้ำและไฟไม่อาจรุกราน สิ่งสกปรกชั่วร้ายหลีกทางให้ พวกบุคคลประหลาดมหัศจรรย์ที่ถูกบันทึกอยู่ในเกร็ดพงศาวดาร ในเรื่องเล่าตำนานประหลาดของแคว้นใต้อาณัติที่เป็นดั่งกบใต้บ่อทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็คือกล่าวถึงผู้ฝึกตนประเภทนี้
หากนักท่องเที่ยวสองคนที่อยู่ข้างหน้าสามารถสลายเม็ดฝนให้หายไปได้เหมือนพวกเขา แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนออกหน้าขัดขวางไม่ให้เด็กชายเล่นร่ม ไม่แน่ว่าอาจจะยังเป็นฝ่ายเอ่ยขออภัยก่อนหนึ่งคำ เอ่ยถ้อยคำเกรงใจสองสามประโยคว่าเด็กน้อยเกเรซุกซน สหายโปรดอย่าถือโทษโกรธเคือง
ผลคือชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อไปข้างหลังหนึ่งที ตบเด็กคนนั้นร่วงลงไปในน้ำ ก่อนจะหันหน้าไปหัวเราะร่า “เจ้าลูกกระต่ายน้อยชอบเล่นน้ำก็ไปเล่นในน้ำซะ”
เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน แม้ว่าเด็กชายจะได้ขึ้นเขาตั้งแต่อายุน้อยๆ แต่กระนั้นก็ยังไม่มีเรี่ยวแรงให้ตอบโต้ ร่างของเขาจึงวาดเป็นวงเส้นโค้งอ้อมผ่านกอต้นอ้อต้นกกสีขาวหิมะกอใหญ่ร่วงตกลงไปในน้ำของท่าเรือท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายที่จับจ้องมองมา
เจียงซ่างเจินหันมายิ้มเอ่ย “เกือบทำให้ข้าผู้อาวุโสตกใจตายแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องขอโทษ สามารถจ่ายเงินชดใช้ได้”
ชุยตงซานร้องหึหนึ่งที
เจียงซ่างเจินรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันใด “จ่ายเงินฟาดเคราะห์ จ่ายเงินฟาดเคราะห์”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งยื่นมือไปกดด้ามดาบของดาบอาคมที่พกไว้ตรงเอว ถามเสียงหนัก “เด็กแค่เล่นสนุก ต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
หากไม่เป็นเพราะบุรุษที่ถือร่มผู้นั้นเอ่ยสำเนียงที่มีเฉพาะของอุตรกุรุทวีป ป่านนี้เขาคงชักดาบออกจากฝักฟันฉับลงไปแล้ว
ถึงอย่างไรตนก็เป็นฝ่ายที่มีเหตุผล
เรื่องไปถึงหูของภูเขาตะวันเที่ยง หรือต่อให้ลามไปถึงราชสำนักแคว้นใต้อาณัติของต้าหลีที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็ไม่กลัว มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายต้องชดใช้ผลการกระทำของตัวเองเท่านั้น
แม้จะบอกว่าทุกวันนี้ล่างภูเขาของแจกันสมบัติทวีปไม่ห้ามปรามการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธและการประลองเวทของเทพเซียน แต่ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ผู้คนเคยชินจนกลายเป็นธรรมชาติไปแล้ว จึงยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ในทันทีทันใด
ชุยตงซานมือหนึ่งถือร่ม มือหนึ่งเท้าเอว พูดอย่างมีเหตุมีผลเต็มเปี่ยม “ข้าผู้อาวุโสอายุไม่มาก ก็เป็นเด็กเหมือนกันนะ”
เจียงซ่างเจินยกนิ้วโป้งชี้ไปยังกระบี่ที่พกอยู่ด้านหลัง พ่นเสียงหัวเราะพลางเอ่ยว่า “หากไปอยู่ที่บ้านเกิดของข้าผู้อาวุโส กล้าถามหมัดเช่นนี้ ป่านนี้เจ้าลูกกระต่ายนี่คงกลายเป็นศพนอนตัวแข็งไปแล้ว”
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่นิสัยสุขุมท่านหนึ่งรีบใช้เสียงในใจพูดกับทุกคนทันที “ฟังจากน้ำเสียงแล้วท่าจะเป็นผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปจริงๆ ส่วนจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”
ทุกวันนี้อุตรกุรุทวีปคือทวีปพี่น้องของแจกันสมบัติทวีป ส่วนใบถงทวีปก็ถือได้แค่ว่าเป็นทวีปหลานเท่านั้น
ในน้ำของท่าเรือมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น แสงไฟสาดกระจายออกมาเหมือนสายฟ้า ประหนึ่งมังกรเพลิงพุ่งแหวกว่ายออกมาจากน้ำ
ถึงกับเป็นอาวุธวิเศษชั้นสูงที่มีแสงเรืองรองไหลเวียนวนชิ้นหนึ่ง ลักษณะเป็นเหล็กหมาดขนาดเล็ก เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ ยาวหนึ่งฉื่อกว่าๆ แกะสลักเป็นรูปเก้ามังกร
ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเด็กชายคนนั้น คนยังไม่ทันปีนขึ้นฝั่งก็เรียกเหล็กหมาดเล็กออกมาแทงไปยังเด็กหนุ่มชุดสีหมึกที่ถือร่มบัวมรกตแล้ว
ทุกคนเห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นหัวเราะร่าเอ่ยประโยคว่า “มาได้ดี” แล้วก็พลันหุบร่มบัวมรกต สองมือกำด้ามร่มเอาไว้แน่น ประหนึ่งใช้สองมือถือกระบี่ แต่กลับใช้ท่วงท่าฟันดาบอาคมฟันลงไป ผลคือเพียงแค่ถูกเหล็กหมาดเล็กนั่นกระแทกชน เลือดลมของเด็กหนุ่มก็พลุ่งพล่าน จิตวิญญาณไม่มั่นคง หน้าแดงก่ำทันใด ได้แต่คำรามอย่างเดือดดาล กดลมปราณสู่จุดตันเถียน สองเท้าจมอยู่ในดินนิ่มที่ถูกน้ำฝนชะใส่ลึกชุ่นกว่า ยังคงถูกปลายแหลมของเหล็กหมาดทองสัมฤทธิ์ดันเข้ามาที่ตัวร่ม ร่างจึงถอยกรูดออกไปจั้งกว่าถึงจะหยุดยั้งเอาไว้ได้
เด็กคนนั้นยืนอยู่บนฝั่ง สองนิ้วทำมุทรา ในใจท่องคาถาอย่างว่องไว กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ปากท่องสองคำว่า “สูบน้ำ” โคจรปราณวิญญาณฟ้าดินในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิต ระหว่างนิ้วมือกับเหล็กหมาดเหมือนมีเส้นด้ายสีทองเชื่อมโยงไว้ด้วยกัน มังกรเก้าตัวที่ถูกแกะสลักไว้บนเหล็กหมาดขนาดเล็กอย่างงามประณีติเหมือนถูกแต้มนัยน์ตา พากันเลื้อยขยับ แต่ถึงอย่างไรเด็กชายก็ยังอายุน้อยเกินไป หล่อหลอมวัตถุได้ไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม ความเคลื่อนไหวจึงไม่ไวมากพอ เพิ่งจะอ้าปากสูบน้ำฝน เด็กหนุ่มชุดสีหมึกคนนั้นก็ค้อมเอวเบี่ยงตัว แล้วยังได้บุรุษชุดเขียวยื่นมือมาคว้าไหล่ พากระโดดออกไปสองสามทีเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ แล้วก็หนีไปทั้งอย่างนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่กล้าเดินบนถนนใหญ่ของท่าเรือ เลือกกระโดดเหยียบไปบนกอต้นกกต้นอ้อริมน้ำแทน เรือนกายเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง มองแล้วงดงามยิ่งนัก
เด็กชายไม่ยินดีจะปล่อยเจ้าตะพาบสองคนนั้นไป ขยับนิ้ว สายตาจ้องไปยังแผ่นหลังของคนทั้งสองเขม็ง พึมพำท่องคาถา “สายฟ้าแลบปลาบ มังกรดำเลื้อยลด น้ำตกหมื่นจั้ง!”
มังกรสีดำตัวเล็กยาวเท่านิ้วมื้อเก้าตัวล้อมพัวพันไปทั่วเหล็กหมาดทองสัมฤทธิ์ พ่นลูกธนูแหลมคมที่เกิดจากการรวมตัวกันของน้ำฝนออกไปเก้าสาย คนทั้งสองที่เหยียบอยู่บนต้นกกหลบซ้ายหลบขวา สภาพทุลักทุเลยิ่ง
ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มเอ่ย “ชุนถัง พอได้แล้ว เก็บเหล็กหมาดมาเถอะ วิชาคาถาสูงส่งอย่าได้เอาออกมาใช้ง่ายๆ อะไรที่ละเว้นให้คนอื่นได้ก็ควรละเว้น”
เด็กชายเก็บคาถาทำมุทรา สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที หน้าซีดขาวน้อยๆ ด้ายที่ผลุบๆ โผล่ๆ เส้นนั้นก็หายไปด้วย เหล็กหมาดชิ้นนั้นพุ่งวาบมาลอยอยู่ข้างกายเขา เด็กชายหยิบเอาถุงผ้าใบเล็กไม่สะดุดตาใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เก็บเหล็กหมาดเล็กที่แกะสลักเป็นคำว่า ‘ชีหลี่หลง’ (น้ำเชี่ยวเจ็ดลี้ คือสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจีน) ไว้ในถุงผ้า ในถุงผ้าเลี้ยงงูป๋ายฮวา (งูทับสมิงคลาหรืองูปล้องเงิน) อายุสามร้อยปีไว้ตัวหนึ่งและงูอูเซียว (งูดำ ชื่อพันธ์
Zaocys dhumnades) อายุสองร้อยปีตัวหนึ่ง พวกมันต่างก็ใช้แก่นเลือดของตัวเองมาช่วยเจ้านายบำรุงให้ความอบอุ่นแก่เหล็กหมาดเล็กชิ้นนั้น
เด็กชายที่ชื่อว่าชุนถังห้อยถุงผ้าใบเล็กไว้ตรงเอว สีหน้ามืดทะมึน นวดคลึงข้างแก้มที่ปวดแสบปวดร้อน
ผู้ฝึกตนเฒ่ายื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว บิดหมุนข้อมือ ปาดออกไปเบาๆ หนึ่งที บังคับร่มคันใหญ่ที่หล่นอยู่บนเส้นทางดินโคลนให้ลอยมาหาเด็กชาย
เด็กชายรับมันมาถือไว้ในมือ แต่ด้วยความโมโหจึงขว้างร่มคันนั้นทิ้งลงน้ำไปไกล ตาไม่เห็นใจก็ไม่หงุดหงิด ถึงอย่างไรก็เป็นแค่วัตถุธรมดา มีค่าแค่เงินผุๆ ไม่กี่แดงเท่านั้น
ผู้ฝึกตนเฒ่าเองก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำที่ใช้อารมณ์ของเด็กชาย โอสถทองผู้เฒ่าที่ยามอยู่ในแคว้นใต้อาณัติบ้านเกิดได้รับเกียรติสูงส่งให้เป็นเจินเหรินผู้ปกป้องแคว้นคนนี้เพียงแค่มองทิศทางที่คนทั้งสองหนีไป รู้สึกตงิดใจอยู่บ้าง
บุรุษที่พกดาบอาคมคนนั้นแค่นเสียงเย็นเอ่ย “ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคนที่ฝีมือไม่เข้าขั้น ถึงกลับกล้าสวมรอยเป็นผู้ฝึกกระบี่อุตรุกรุทวีป ไม่มีสมองหรือไร”
ผู้ฝึกตนเฒ่าอธิบาย “เกินครึ่งน่าจะเป็นคนของอุตรกุรุทวีปจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่โอหังถึงเพียงนี้ มีเรื่องมากหนึ่งเรื่องไม่สู้มีเรื่องน้อยลงหนึ่งเรื่อง จำไว้ว่าต้องควบคุมชุนถังให้ดี อย่าผูกปมแค้นกับคนอื่นในถิ่นของภูเขาตะวันเที่ยง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความน่ายินดีที่พิธีเฉลิมฉลองเปิดภูเขากำลังจะเริ่มต้นขึ้น ไม่ว่าใครก็ไม่หวังให้มีเรื่องอัปมงคลเช่นนี้ เจ้าเป็นผู้พิทักษ์มรรคาของชุนถัง หากไม่ควบคุมเขาเอาไว้ให้ดี ข้าคงต้องใช้กฎของศาลบรรพจารย์มาจัดการเจ้าแล้ว”
ชายฉกรรจ์เอ่ยอย่างจนใจ “อาจารย์ปู่ ข้ารู้ถึงความหนักเบาของเรื่องนี้ดีหรอกน่า”
ในพงต้นกกต้นอ้อที่ห่างไปไกล คนทั้งสองนั่งยองอยู่ริมน้ำคล้ายนั่งอยู่ในห้องส้วม
เจียงซ่างเจินเอาร่มพาดไว้บนไหล่ ยิ้มถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
ชุยตงซานถือร่มดอกบัวมรกตไว้ในแนวขวาง ก้มหน้าเป่าลมใส่ ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดร่องรอยที่ติดอยู่ สีหน้าเจ็บปวดอย่างสุดแสน จากนั้นใช้สองนิ้วคีบแสงศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่งขึ้นมา นั่นเป็นแสงที่ดึงออกมาจากเหล็กหมาดทองสัมฤทธิ์ เพ่งสายตามองไป ปากตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “เบื่อ ก็เลยหาอะไรทำเล่น”
เจียงซ่างเจินเอ่ย “ดูจากเหล็กหมาดเล็กและถุงผ้าของเด็กคนนั้น คือสายเวทเลี้ยงมังกรหรือ? แจกันสมบัติทวีปมีสถานที่ที่ชื่อว่าชีหลี่หลงนี่อยู่ไหม? เมื่อก่อนไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน”
ในยุคบรรพกาลผู้ที่เลี้ยงมังกรเลี้ยงเจียว เคยมีตำแหน่งฐานะสูงศักดิ์ ได้เป็นผู้นำ คือหนึ่งในหกหลี่กวาน (ขุนนางผู้ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรม/พิธีบวงสรวง) ของลัทธิขงจื๊อ ยุคหลังมีสายแยกออกไปค่อนข้างซับซ้อน รอกระทั่งบนโลกไม่มีมังกรที่แท้จริงอยู่แล้ว คำว่าเลี้ยงมังกรก็หนีไม่พ้นการเลี้ยงพวกเผ่าพันธุ์น้ำอย่างตะพาบ งูน้ำตามป่าเขาเท่านั้น อีกทั้งในใต้หล้าไพศาล หายนะของมังกรที่แท้จริงเมื่อสามพันปีก่อน ทำให้สายนี้ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย ดังนั้นจึงไม่เหลือสำนักอยู่แล้ว เพราะการเลี้ยงทายาทของมังกรที่แท้จริงหรือพวกเผ่าพันธ์เจียวหลงที่ปะปนกันซับซ้อนทั้งหลาย คิดจะกลายร่างเป็นเจียวก็ถือเป็นความเพ้อฝันเหมือนคิดเดินขึ้นสวรรค์แล้ว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมังกรที่แท้จริงอะไรอีก ผู้ฝึกลมปราณของตลอดทั้งสายเลี้ยงมังกร โชคชะตากลายเป็นดั่งน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด สภาพการณ์น่ากระอักกระอ่วน ควันธูปก็ค่อยๆ เบาบางลง ก็เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่สูญเสียควันธูปไป
ชุยตงซานบีบแสงศักดิ์สิทธิ์ที่น้อยนิดจนไม่มีค่าพอให้กล่าวถึงนั้นให้แหลกละเอียด หนีบร่มบัวมรกตไว้ใต้รักแร้ สองมือประคองแสงวิญญาณที่กำลังจะกระจายไปสี่ทิศ ขยำเบาๆ จากนั้นก็มองดูแสงวิญญาณที่ปล่อยเส้นสายขยายยาวออกไปกลางฝ่ามือ ประหนึ่งเทือกเขาเลื้อยลดคดเคี้ยว ทัศนียภาพที่ต่อให้เป็นเทพเซียนพสุธาอย่างก่อกำเนิดโอสถทองก็ยังมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนี้ เมื่อมาอยู่ในสายตาของเซียนเหริน แน่นอนว่าย่อมชัดเจนทุกรายละเอียด เพียงแต่ว่าแม้เจียงซ่างเจินที่เหลือบตามองมาจะเห็นอย่างชัดเจน ก็ยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุอยู่ดี สำหรับเรื่องของสายปากว้า สายของชัยภูมินี้ เป็นวิชาคาถาจำนวนไม่มากที่เจียงซ่างเจิน ‘ไม่เข้าประตู’ (เปรียบเปรยว่าไม่มีความรู้ความเข้าใจทางด้านนี้ เหมือนคนที่ไม่ได้เดินเข้าประตูของความรู้สายนี้) เพราะเจียงซ่างเจินไม่เคยยินดีจะไปเรียนรู้วิธีการที่ฉวยโอกาสความโชคดีหลบเลี่ยงความชั่วร้ายจำพวกนี้
ชุยตงซานตบมือหนึ่งที ตบเส้นสายร่องรอยทุกอย่างกลางฝ่ามือให้สลายไป ยิ้มเอ่ยว่า “บริเวณใกล้เคียงกับชีหลี่หลงมีเจียวตัวหนึ่งสร้างจวนน้ำอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่ เคยได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนักให้เป็นราชามังกรขาว หลังจากที่แคว้นเล็กห่างไกลแห่งนั้นล่มสลาย เจียวเฒ่าก็แทบไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน แต่ลำดับศักดิ์ของมันที่หากเปรียบเทียบกับเจียวของแคว้นหวงถิงที่มีชีวิตอยู่มานานนับหมื่นปีแล้ว แน่นอนว่าต้องด้อยกว่ามาก เจียวเฒ่าอาศัยโชคชะตาบุ๋นในบทกลอนบทประพันธ์ของปัญญาชนและนักแต่งกวีพันกว่าคนของแต่ละยุคแต่ละสมัยมาช่วยสืบทอดควันธูปให้ จวนเซียนอย่างชีหลี่หลงนี้มีโชควาสนาบนมหามรรคาเชื่อมโยงอยู่กับมัน ถือได้ว่าเป็นทูตแห่งควันธูปที่เจียวเฒ่าแอบประคับประคองสนับสนุนอย่างลับๆ เหล็กหมาดเล็ก ‘ติ้งเฟิงโพ’ (สงบคลื่นลม/ยุติความวุ่นวาย) ชิ้นนั้นก็คือหนึ่งในของแทนตัว แต่อันที่จริงแม่น้ำสายนี้มีอุทกศาสตร์ที่ดีเยี่ยม ปกครองสาขาของแม่น้ำสิบกว่าสายและลำคลองอีกสามสิบกว่าสาย ในอดีตได้ขุดเจาะเป็นร่องน้ำใหญ่ให้ไหลลงสู่มหาสมุทร หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ตระกูลของพวกเจ้าเหล่าเจียง เดิมทีก็ควรเลือกแม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นราชามังกรท่านนี้ก็น่าจะฉวยโอกาสนี้คว้าตำแหน่งท่านโหวแห่งลำน้ำใหญ่มาได้แล้ว”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “สกุลเจียงอวิ๋นหลิน ข้าป่ายปีนไม่ถึงหรอก”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน แบกร่มบัวมรกตไว้บนไหล่ สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม
เจียงซ่างเจินก็ลุกขึ้นตาม ท้องฟ้าหลังฝนตกกระจ่างใส อากาศสดชื่นปลอดโปร่ง เขาเองก็เก็บร่มกิ่งกุ้ย หลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ช่วยมังกรที่แท้จริงตัวนั้นสูดกลิ่นอายอันตรายเสี้ยวหนึ่งมาได้
คนทั้งสองเดินกันไปเนิบช้า เจียงซ่างเจินถาม “อยากรู้นักว่าเหตุใดเจ้าและเฉินผิงอัน ถึงดูเหมือนว่าต่างก็ค่อนข้างจะ…อดทนข่มกลั้นต่อหวังจูผู้นั้น?”
ชุยตงซานพยักหน้า “เพราะอาจารย์ของข้ารู้สึกว่ามีคนฝากความหวังไว้ให้แก่หวังจู ถ้าอย่างนั้นเขาก็ยินดีที่จะฝากความหวังไว้ด้วยสองสามส่วน และดูจากตอนนี้หวังจูก็ไม่ได้ทำให้คนผิดหวัง ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องเอาอย่างอาจารย์ มองนางเพิ่มมากขึ้นอีกสักหน่อย ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่ออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู ชีวิตของหวังจูก็ราบรื่นอย่างมาก เรียกได้ว่าไหลตามลมตามน้ำอย่างราบรื่นสมชื่อ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ หลังออกมาจากบ่อโซ่เหล็กแห่งนั้น นางก็ไม่เคยเจอกับความยากลำบากอะไรมาก่อน เมื่อเทียบกับความลำบากยากเข็ญที่อาจารย์ของข้าต้องเจอตอนเดินทางไกล อย่างนางก็ต้องเรียกว่านอนเสวยสุขได้เลย จื้อกุย จื้อกุย ชื่อนี้ไม่ได้ตั้งเสียเปล่า เจาะกำแพงขโมยแสงนี่นา ทำตัวเป็นหัวขโมย ขโมยโชควาสนาของอาจารย์ข้า ขโมยปราณมังกรของซ่งจี๋ซิน สุดท้ายยังได้ยึดครองสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้า ไหลตามสถานการณ์เดินลงน้ำกลายเป็นมังกรได้สำเร็จ กลัวก็แต่ว่านางจะรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่นางสมควรได้รับ ยกตัวอย่างเช่นจะรู้สึกว่าการที่ศาลบุ๋นเลือกให้สตรีอ้วนแห่งหลุมน้ำลู่ได้ยึดครองโชคชะตาน้ำบนพื้นดินไป คือการแบ่งโชควาสนาของนางไปครึ่งหนึ่ง ทำให้นางเกิดความไม่พอใจ พอได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานแล้วก็จะเข้าใจผิดคิดว่าฟ้าไม่สนดินไม่สนนางอย่างแท้จริงแล้ว จึงเริ่มก่อคลื่นลมมรสุมขึ้นมา”
เจียงซ่างเจินถามคำถามหนึ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุด “คนพิฆาตมังกรผู้นั้น สามพันปีให้หลังยังจะพิฆาตมังกรอีกหรือไม่?”
ไม่รอให้ชุยตงซานเอ่ยตอบ เจียงซ่างเจินก็ถามเองตอบเองว่า “เทียบกับเมื่อสามพันปีก่อน คนผู้หนึ่งพกกระบี่สังหารมังกรที่แท้จริงจนสิ้นซาก ดูเหมือนว่าสังหารมังกรที่แท้จริงอีกครั้งหลังผ่านไปอีกสามพันปี จะดูน่าเชื่อถือยิ่งกว่า”
ชุยตงซานกล่าว “วันที่อาจารย์อยู่ที่ศาลลำน้ำใหญ่ หวังจูเป็นฝ่ายปรากฏตัว อันที่จริงนั่นได้ช่วยชีวิตของตัวนางเองไว้อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง”
เจียงซ่างเจินอืมรับหนึ่งที “นางยินดีเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน เจ้าขุนเขาที่ไม่ลืมมิตรภาพเก่าๆ ก็ยิ่งยินดีจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวานมากยิ่งกว่า”
ชุยตงซานใช้ร่มคันเล็กตีไหล่เบาๆ ยิ้มเอ่ย “เจี่ยเฉิง ป๋ายหมาง เฉินจั๋วหลิว นายท่านใหญ่จิ่งชิงของพวกเราช่างเป็นคนที่ดวงแข็งจริงๆ ได้รู้จักพี่น้องร่วมสาบานมากมายขนาดนี้กลับยังไม่ถูกฟันตาย โชคดีเช่นนี้ พูดออกไปใครจะเชื่อ?”
ท่าเรือป๋ายลู่แห่งนี้อยู่ห่างจากยอดเขาชิงอู้ที่อยู่ใกล้ที่สุดของภูเขาตะวันเที่ยง แต่ก็ยังมีระยะทางขุนเขาสายน้ำไกลเป็นร้อยลี้
คนทั้งสองจึงไปเข้าพักที่โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งก่อน โรงเตี๊ยมตั้งอยู่บนภูเขาสูง คนทั้งสองจึงนั่งอยู่บนหอชมทิวทัศน์ที่การมองเห็นเปิดกว้าง ต่างคนต่างดื่มเหล้า ทอดสายตามองกลุ่มภูเขา
มียอดเขาอีเสี้ยนภูเขาบรรพบุรุษเป็นจุดศูนย์กลาง ในรัศมีแปดร้อยลี้รอบด้านล้วนเป็นอาณาเขตของสำนักภูเขาตะวันเที่ยง เป็นขุนเขาสายน้ำส่วนตัวทั้งหมด
กลุ่มยอดเขาห้อมล้อมพิทักษ์ภูเขาตะวันเที่ยง กลายเป็นค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขา ทุกหนทุกแห่งมีแต่ปราณกระบี่สาดทะลุชั้นเมฆ มักจะมองเห็นผู้ฝึกกระบี่ที่จับมือกันขี่กระบี่ไปมาระหว่างยอดเขาอยู่เป็นระยะ พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม แสงกระบี่ลากยาวตามมาเบื้องหลัง กรีดผ่าเป็นเส้นยาวกลางอากาศ
——