ตอนที่ 3352

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3352 : อันตรายมีมาก แต่โอกาสมีมากกว่า

 

“ออกไป?”

 

พอได้ยินต้วนหลิงเทียนบอกให้ออกไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวจินหรือฮ่วนเอ๋อ ก็อดงงไปไม่ได้อยู่บ้าง

 

กับฮ่วนเอ๋อยังไม่เป็นไร เพราะทุกสิ่งอย่างนางล้วนแล้วแต่เอาตามที่พี่หลิงเทียนว่าอย่างไม่มีเงื่อนไข เช่นนั้นจึงไม่คิดจะถามอะไรออกมาสักคํา

 

อย่างไรก็ตาม เสี่ยวจินอดไม่ได้ที่จะเอียงคอถามออกมาตาปริบๆด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นหรือพี่ใหญ่หลิงเทียน? ไฉนอยู่ๆท่านถึงคิดออกไปล่ะ?”

 

ตอนนี้เอง เหล่าเทพเบญจธาตุในโลกใบเล็กภายในกายของต้วนหลิงเทียน ไม่เว้นวารีเทพชําระโลกาก็เข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนคิดออกจากสมรภูมิอเวจีเพราะไม่อยากเสี่ยง

 

สําหรับเรื่องนี้ พวกมันก็เคารพการตัดสินใจของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน

 

ยิ่งไปกว่านั้น หากต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะอยู่ในสมรภูมิอเวจี พวกมันก็ถือว่าต้องเสี่ยงเช่นกัน เพราะมีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะพบเจอเทพเบญจธาตุระดับ 7 หรือระดับ 8

 

“พอดีข้าไม่อยากเป็นคนโง่ทะลึงใช้ชื่อจริงอย่างที่เจ้าพูดไว้เมื่อครู่ จนถูกคนอื่นพบตัวตนที่แท้จริงน่ะสิ…”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองเสี่ยวจิน กล่าวพลางส่ายหัวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ

 

“ห้ะ!? อะไรนะ!?”

 

คําพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนก็ทําให้เสี่ยวจินสะดุ้งไปก่อนใดอื่น จากนั้นสองตานางก็ทอประกายจ้า เอ่ยถามออกมาด้วยท่าทางซุกซน “พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านพูดแบบนี้หมายความว่า ท่าน….ท่านก็เป็นผู้ถือครองเทพเบญจธาตุด้วยหรือ!?”

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

“เอ้า พี่ใหญ่หลิงเทียน ไฉนท่านไม่บอกข้าแต่แรกเล่า? ไม่งั้นข้าเตือนท่านไปตั้งนานแล้ว!”

 

เสี่ยวจินคลี่ยิ้มเจื่อนๆ พลางส่ายหัวไปมา

 

“ว่าแต่พวกเราจะออกไปยังไงเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนถาม

 

“หากจะออกไปด้านนอกก็ต้องหาจุดเคลื่อนย้ายให้เจอก่อน…และตราบใดที่ท่านคิดถึงจุดเคลื่อนย้ายในใจ ท่านก็จะสัมผัสได้ถึงเส้นทางไปยังจุดเคลื่อนย้ายที่ใกล้ที่สุด เหตุผลที่ไฉนมันวุ่นวายและไม่อาจออกไปได้ทันที ทั้งหมดเพราะผู้สร้างกลัวว่าจะมีคนหวาดกลัวความตายเพราะสู้ศัตรูไม่ได้ เร่งคิดออกไปจากที่นี่เพื่อรักษาชีวิต…”

 

เสี่ยวจินกล่าว

 

ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็ลองคิดถึงจุดเคลื่อนย้ายในใจ และพริบตาต่อมาเขาก็สัมผัสได้ว่า เสมือนมีเจตจํานงลึกลับบางอย่างกําลังชี้นําเขาไปยังทิศทางที่ตั้งจุดเคลื่อนย้าย

 

“ทางนั้นนะ”

 

และทิศทางที่เสี่ยวจินชี้ ก็พอดีตรงกับเจตจํานงลึกลับที่ชิ้นําต้วนหลิงเทียนเช่นกัน

 

จากนั้น พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็ออกเดินทางทันที

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ว่าสถานที่ต่างๆในสมรภูมิอเวจีเป็นอย่างไร แต่เขารู้อยู่อย่างว่าสถานที่ๆพวกเขาถูกส่งตัวมามันช่างมืดมิดและอึมครึมสิ้นดี ยังมีหมอกสลัวๆปกคลุมแผ่นฟ้าผืนดิน บดบังทัศนวิสัย ชวนให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกหดหู่ ทั้งตึงเครียด แค่อยู่ที่นี่นานๆก็อาจทําให้คนเป็นบ้าขึ้นมาได้

 

ราวๆ 2 เค่อต่อมา ต้วนหลิงเทียนกับพวกก็มาถึงจุดเคลื่อนย้าย มันเป็นแท่นบูชาลักษณะเดียวกับด้านนอก เพียงแค่ลอยล่องอยู่กลางอากาศเท่านั้น

 

“ออกไปกันเถอะ”

 

พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็เห็นร่างไปด้านบนสุดของแท่นบูชาอย่างไม่รอช้า และพอมาถึงแท่นศิลากลางแท่นบูชาเบื้องหน้าก็พลันปรากฏชื่อพวกเขาขึ้นมา

 

ต้วนหลิงเทียน

 

ฮ่วนเอ๋อ

 

ต้วนเสี่ยวจิน

 

“พวกเรามีแต้มรบกันแค่คนละแต้ม หลังออกไปแล้ว ชื่อของพวกเราก็จะถูกลบออกจากสารบบทันที…หากตอนนี้พวกเรามีแต้มรบเกิน 2 แต้ม ก็จะกลายเป็นยุ่งยากวุ่นวายแล้ว เพราะพวกเราไม่อาจเปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อเข้าสู่สมรภูมิอเวจีได้ทันที ต้องรออีก 100 ปีเพื่อให้ชื่อของพวกเราในสารบบถูกลบออกไปก่อน…”

 

เสี่ยวจินกล่าว

 

“โชคดีจริงๆ ที่เจ้าบอกเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

หลังจากนั้น พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็ถูกส่งตัวออกไป

 

เนื่องจากทั้ง 3 ถูกส่งตัวออกไปพร้อมๆกัน ดังนั้นหลังกลับออกมาจากสมรภูมิอเวจีแล้วทุกคนก็มาปรากฏตัวในสถานที่เดียวกัน

 

เป็นธรรมดาว่าการกลับออกมาครั้งนี้ สถานที่ๆทุกคนอยู่ก็ไม่ใช่จุดเคลื่อนย้ายไปยังสมรภูมิของอวี้หวงเทียนอีกต่อไป

 

ทุกคนมาปรากฏตัวพื้นที่รกร้างแห่งหนึ่ง และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่คือที่ไหน

 

ยิ่งไปกว่านั้น ใกล้ๆกับสถานที่ๆพวกเขาปรากฏตัว ก็มีจักรพรรดิอมตะสองคนกําลังประ มือกันอยู่ อย่างไรก็ตามด้วยการมาถึงของพวกเขา 2 จักรพรรดิอมตะที่สู้กัน ก็เร่งผละออกจากกันทันที และหยุดมือไม่ปะทะกันอีก

 

จู่ๆห้วงมิติก็เกิดการผันผวน และมีร่าง 3 ร่างปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน จักรพรรดิอมตะทั้ง 2 ย่อมไม่อาจไม่สนใจ

 

จักรพรรดิอมตะทั้ง 2 ก็เป็นชายวัยกลางคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายกัน 4-5 ส่วน และสา ยตาของพวกมันทั้งคู่ก็เอาแต่มองจ้องฮ่วนเอ๋อไม่วางตา แววตายังบ่งบอกว่าไม่ได้คิดเรื่องดีๆอยู่แน่

 

“ไปกันเถอะ”

 

ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองทั้งคู่ด้วยสายตาเฉยเมย กล่าววชวนทุกคนคําหนึ่ง จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกําเนิดก็ปะทุออกทั่วร่างผสานกับธาตุมิติกลายเป็นสีเทา เตรียมพาฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินเคลื่อนมิติไปจากที่นี่

 

สิ่งนี้ทําให้จักรพรรดิอมตะทั้ง 2 ล่วงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นผู้นํากลุ่ม

 

อย่างไรก็ตาม การที่ต้วนหลิงเทียนเร่งเร้าพลังขึ้นมาเตรียมเคลื่อนมิติ ก็ทําให้ทั้งคู่รับรู้ได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนั่งเป็นแค่จอมราชันอมตะเท่านั้น

 

“ฮ่ๆๆพี่ใหญ่ คราวนี้ถึงตาข้าเลือกก่อนสินะ? ข้าจะเอาสาวน้อยชุดขาวนั่น! ส่วนท่านก็จัดการสาวน้อยชุดทองนั่นไปเถอะ!”

 

ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียวหนึ่งในนั้น หันไปกล่าวคํากับชายวัยกลางคนชุดคลุมสีน้ำเงิน

 

“หึ!”

 

ชายวัยกลางคนคลุมน้ําเงินได้ยินดังนั้นก็ไม่สบอารมณ์ แค่นคําออกมาเสียงเย็น “ครั้งนี้ไม่นับ! นังหนูชุดขาวนั่นต้องเป็นของข้า! เจ้าเอานังหนูชุดทองนั่นไปเสีย!”

 

“หากข้องใจ ก็เอาชนะข้าให้ได้ก่อนค่อยพูด!”

 

ชายวัยกลางคนชุดคลุมน้ําเงินกล่าวอย่างถืออํานาจบาตรใหญ่

 

ชายวัยกลางคนคลุมเขียวได้ยินวาจาเผด็จการของอีกฝ่ายก็ได้แต่ยิ้มเงื่อนๆ กล่าวคําด้วยน้ำเสียโอดครวญ “ก็ได้…ขอแค่พี่ใหญ่เบื่อเมื่อไหร่ ก็ส่งนางมาให้ข้าบ้างก็พอ…”

 

“เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง”

 

ชายวัยยกลางคนคลุมน้ําเงินเอ่ยขัด

 

“ตอนนี้หึๆๆ จะอย่างไรพวกเราก็ต้องเก็บไอ้หนูชุดม่วงนั่นก่อน! มีบุรุษท่ามกลางสองสาวงามเช่นนี้ ข้าเห็นแล้วขัดลูกนัยน์ตาชะมัด!”

 

ชายวัยกลางคนชุดคลุมน้ำเงินกล่าวพลางหัวเราะชั่วร้าย จากนั้นร่างมันก็สั่นไหวปรากฏเพลิงพลังลุกโชนขึ้นเร่าๆ คนยังทะยานทุ่งร่างงี้เข้าใส่ต้วนหลิงเทียนทันที

 

ด้านต้วนหลิงเทียนที่กําลังจะใช้เคลื่อนมิติ พอได้ยินบทสนทนาของพวกมันทั้งคู่ จากเดิมที่จะไปก็ไม่ไปแล้ว สองตายังฉายแวววเยียบเย็นขึ้นมาทันที

 

ยิ่งมาเห็นการลงมือของชายวัยกลางคนชุดคลุมน้ำเงิน สีหน้าเขาก็กลายเป็นเฉยชาถึงขีดสุด กล่าวทักเทพเบญจธาตุภายในกาย ชักนําพลังของพวกมันออกมาใช้ทันที

 

พร้อมกันนั้นเอง กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนก็ปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นตัวกระบี่ก็เปล่งแสง 7 สีออกมาเจิดจ้า พริบตาต่อมา ร่างต้วนหลิงเทียนเรืองแสงสีเทาสว่างขึ้นวาบหนึ่ง คนกระบี่ก็กลับกลายเป็นแสงกระบี่เล่มเขื่อง พุ่งทะยานแหวกฟ้าออกไปฉับไว!

 

“ฮ่าๆๆๆ อาศัยจอมราชันอมตะตัวกระจ้อยเจ้า ยังหาญกล้าลงมือต่อหน้าข้างั้น!?”

 

ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ําเงินที่พุ่งทะยานเข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนปานอุกกาบาตเพลิง ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าอาศัยจอมราชันอมตะคนหนึ่ง จะหาญกล้าโจมตีสวนกลับ! จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเยาะออกมาดังร่า พ่นวาจาเย้ยหยันคําใหญ่!

 

อย่างไรก็ตาม พอมันเข้าใกล้แสงกระบี่หลากสีสันเบื้องหน้า มันก็ตระหนักได้ถึงวิกฤตการณ์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “ไม่เป็นไปไม่ได้! วิชามายา! นี่ต้องเป็นวิชามายาแน่!!”

 

ฉัวะ!!

 

เมื่อแสงกระบี่หลากสีสันบรรจบกับบอลเพลิงลูกเขื่อง เสี่ยวจินก็พบว่าแสงกระบี่หลากสีสันนั่น พุ่งทะลวงผ่านบอลเพลิงลูกเขื่องได้อย่างง่ายดาย ปานทิ่มแทงใบไม้แห้งกรอบ! ปลิดปลงศีรษะ จักรพรรดิอมตะดังกล่าวพร้อมกันนี้วิญญาณของมันจนสิ้นซาก!!

 

ที่สําคัญหลังแสงกระบี่ที่ว่าปลิดปลงศีรษะชายวัยกลางคนชุดคลุมน้ำเงินไปแล้ว พลังสภาวะกลับไม่ได้ลดทอนถดถอยแม้แต่น้อย มันพุ่งเข่นฆ่าสังหารไปทางชายวัยกลางคนคลุมเขียวต่อ!!

 

“แย่แล้ว!”

 

ชายวัยกลางคนคลุมเขียวพอเห็นพี่ชายคนโตของมันถูกผู้อื่นฆ่าตาย มันไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำว่าไฉนจอมราชันอมตะคนหนึ่งกลับมีพลังสังหารน่าพรั่นพรึงระดับนี้ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจคือหนี้ไปให้ไว!!

 

อนิจจา ความคิดหลบหนีพึ่งจะปรากฏไม่ทันไร คนไม่ทันได้ไปไหนไกล แสงกระบี่หลากสีอัน มีความเร็วอัศจรรย์ก็พุ่งไล่หลังมาราวกับเงาตามตัว!!

 

“ไม่ !!”

 

จังหวะนี้ชายวัยกลางคนคลุมเขียวรู้ดี ว่ามันหนีต่อไปไม่พ้นแน่ เช่นนั้นก็เร่งหยิบควักอุปกรณ์อมตะคู่กาย พร้อมตบโอสถอมตะสีแดงฉานเม็ดหนึ่งเข้าปาก ทั่วร่างปะทุพลังเหนือขีดจํากัดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด สองตาแดงฉานไปด้วยโลหิต ขมับปูดโปนไปด้วยเส้นเลือดสีดํา เร่งขวางรั้งศาสตราคู่กายพลางถ่ายทอดพลังสุดตัวก่อสร้างม่านพลังป้องกัน หมายต้านทานรับแสงกระบี่สังหารให้ได้!

 

อนิจจาแม้มันจะกินโอสถอมตะผลายชีวิตที่ทําให้ตกอยู่ในสภาวะคุ้มคลั่ง จนระดับพลังสูงล้ำ เหนือพี่ชายไปแล้ว แต่ก็ไม่ถือว่าเหนือกว่ากันมากมายอะไรนัก

 

ม่านพลังป้องกันที่มันทุ่มพลังทั้งหมดสร้างขึ้น ราวกับม่านแสงลวงตาอย่างไรอย่างนั้น ถูกแสงกระบี่หลากสีสันทะลวงฝ่ามาได้ง่ายดายราวกับไม่มีอยู่จริง สุดท้ายโลกในสายตามัน ก็หลงเหลือเพียงแสงกระบีหลากสีสัน…

 

“นี่มัน…”

 

ห้วงเวลาสุดท้ายก่อนตายตก ชายวัยกลางคนคลุมเขียวสัมผัสถึงบางสิ่งได้ชัดเจน ภายในแสงกระบี่หลากสีสันนั้น ไม่เพียงแต่มันสัมผัสได้ถึงพลังของกฏมิติ แต่มันยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของกฏทั่วไปทั้งหมดอีกด้วย!

 

5 อันได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ไม้ ทอง เรียกว่ามีครบองค์ประกอบ

 

“ไฉนถึงมีพลังเช่นนี้อยู่ได้!?”

 

และจวบจนตกตายวิญญาณสลาย ชายวัยกลางคนคลุมเขียวก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ ว่าไฉนพลังของกฏที่แตกต่างกันถึง 6 ชนิดจะมารวมอยู่ในคนๆเดียวได้ สิ่งนี้มันไม่สมเหตุสมผลและอยู่เหนือสามัญสํานึกของมันโดยสิ้นเชิง!

 

หลังเข่นฆ่าสังหารชายวัยกลางคนทั้งคู่แล้ว แสงกระบี่หลากสีสันก็พุ่งเลยไปเล็กน้อยก่อนจะตีวงโค้งกลับมาหาเสี่ยวจินกับฮ่วนเอ๋อ ก่อนจะเปล่งแสงเรืองสว่างขึ้นมาวาบหนึ่ง

 

จากนั้นร่างด้วนหลิงเทียนก็ปรากฏตัวขึ้น ชุดคลุมสีม่วงไร้ซึ่งคราบโลหิต ไม่แม้แต่จะ มีรอยเปื้อนใดๆ

 

ในมือยังถือไว้ด้วยกระบี่สีมรกตยาว 3 สื่อ อันเปล่งแสง 7 สีสันออกมาเรื่องๆ จากนั้นกระบี่ดังกล่าวก็สลายกลายเป็นแสงเรืองรองวูบหายเข้าร่างต้วนหลิงเทียนไป

 

“พะ..พี่ใหญ่หลิงเทียนท่าน นี่ท่านมีเทพเบญจธาตุครบทั้งหมดเลย!?”

 

เสี่ยวจินมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยความตกตะลึง สองตาของนางกลมโตปานลูกวัวแรกเกิดปากน้อยๆอ้ากว้างพอให้หมัดลอดได้ไม่แออัด เพราะเมื่อครูต้วนหลิงเทียนใช้พลังของเทพเบญจธาตุออกมาอย่างไม่ปกปิด นางที่อยู่ข้างๆห่างไปไม่กี่ก้าวย่อมสัมผัสกลิ่นอายพลังน่ากลัวนั้นได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง!

 

เป็นกลิ่นอายพลังของเทพเบญจธาตุ!

 

เนื่องเพราะสุดท้ายแล้วพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางก็ใช้กฏมิติ ไม่ใช่กฏทั่วไป กลิ่นอายพลังของกฏทั้ง 5 ย่อมแยกแยะได้ง่ายๆ นางจึงรู้ได้ทันที่ว่านั่นเป็นพลังของเทพเบญจธาตุ

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าพลางยักคิ้ว

 

“บ้าไปแล้ว…น่าเหลือเชื่อเกิน! พี่ใหญ่ 200 กว่าปีที่ผ่านท่านไปทําอะไรมากันแน่เนี่ย!?”

 

เสี่ยวจินตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ กระทั่งหลับนางยังไม่เคยฝันว่าจะมีใครสามารถถือครองเทพเบญจธาตุครบทั้ง 5 ธาตุได้พร้อมๆกันแบบนี้ เรื่องนี้มันถล่มสามัญสํานึกของนางจนย่อยยับ!

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียนท่านรีบเล่ามาเร็วๆ ท่านไปได้เทพเบญจธาตุครบทั้งหมดมาได้ไงอ่า!?”

 

เสี่ยวจินอยากรู้เรื่องนี้มากที่สุด มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้ตาแป๋ว

 

“พวกเราไปหาตําแหน่งทางเข้าสมรภูมิอเวจีก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะเล่าให้เจ้าฟังระหว่างทาง”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ

 

ขณะเดียวกัน เสี่ยวจินก็พบว่าฮ่วนเอ๋อนั้นแลดูไม่ได้ตกใจอะไร นางเพียงลอยร่างไปข้างกาต้วนหลิงเทียนก่อนจะคล้องแขนต้วนหลิงเทียนเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

“ฮ่วนเอ๋อ…เรื่องนี้เจ้ารู้แต่แรกแล้ว?”

 

เสี่ยวจินเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

 

“อื้ม”

 

ฮ่วนเอ๋อพยักหน้าพลางยิ้ม ในเมื่อพี่หลิงเทียนของนางเห็นเสี่ยวจินเป็นดั่งน้องสาวแท้ๆ เช่นนั้นนางก็เห็นเสี่ยวจินเป็นน้องสาวแท้ๆเป็นธรรมดา ถึงแม้ว่าเสี่ยวจินจะแก่กว่านางก็ตามที

 

หลังจากนั้นระหว่างเดินทางตามหาสถานที่เข้าสู่สมรภูมิอเวจี ต้วนหลิงเทียนก็เล่าทุกอย่างที่เสี่ยวจินอยากรู้ให้ฟัง

 

กับเสี่ยวจินเขาไม่มีอะไรต้องปิดบัง เพราะเขารู้ว่านางไม่มีทางทําร้ายเขาแน่

 

“อั้ยหยา พี่ใหญ่หลิงเทียนอ่าข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะโชคดีฟ้าประทานขนาดนี้ เทพเบญจธาตุ ไม่เพียงท่านมีครบทุกธาตุ แต่ยังบรรลุถึงระดับ 6 หมดแล้ว ที่สําคัญยังเต็มใจอยู่กับท่านร่วมกันอีก…”

 

เสี่ยวจินถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

 

“อย่างไรก็ตาม หากท่านเข้าสู่สมรภูมิอเวจี ท่านจะไม่ตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงหรือไร..แม้เทพเบญจธาตุอาจไม่ถูกคนทั่วไปค้นพบ แต่กับผู้ที่มีเทพเบญจธาตุเหมือนกัน ไม่ว่าธาตุใดหากมีระดับเหนือกว่า ก็ย่อมค้นพบเทพเบญจธาตุในร่างท่านได้ง่ายๆ”

 

กล่าวถึงจุดนี้สีหน้าเสี่ยวจินก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง นางกังวลแทนต้วนหลิงเทียนไม่น้อย

 

“ข้ารู้”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า พลางคลี่ยิ้มบางๆ “เจ้าอย่าพึ่งห่วงข้าเลย…ทําไมเจ้าไม่ห่วงคนที่มือครองเทพเบญจธาตุคนอื่นๆเล่า?”

 

“ก็จริงที่พวกมันสามารถปล้นเทพเบญจธาตุในร่างข้า เพื่อดูดกลืนส่งเสริมเทพเบญจธาตุของพวกมัน….แล้วทําไมข้าจะเป็นฝ่ายให้เทพเบญจธาตุในร่างข้ากลืนกินเทพเบญจธาตุในร่างพวกมันไม่ได้เล่า? แถมเจ้าต้องรู้ว่าข้ามีครบทุกธาตุ สามารถช่วยกันได้”

 

“กล่าวไป สําหรับข้าแล้วแม้สมรภูมิอเวจีอาจมีอันตรายมาก แต่ที่มีมากกว่าก็คือโอกาส! ข้าคงไม่ดวงซวยถึงขนาดเข้าไปไม่ทันไรก็เจอกับคนที่มีเทพเบญจธาตุขั้นที่ 8 หรอกมั้ง?”

 

กล่าวถึงประโยคท้ายต้วนหลิงงทียนก็ส่ายหัวไปมา

 

และไม่นานนักทั้ง 3 ก็เดินทางมาถึงจุดเคลื่อนย้ายเข้าสู่สมรภูมิอเวจีอีกครั้ง