ตอนที่ 3351

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3351 : เหล่าจอมราชันอมตะที่ถือครองเทพเบญจธาตุ!

 

“หืม? พึ่งเข้ามายังไม่ทันได้เก็บแต้มรบอะไร ก็ติดอยู่ในอันดับ 130,000 กว่าๆแล้วเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าววกับเสี่ยวจิน “ดูเหมือนว่าคนที่เข้ามาเสี่ยงแสวงโชคในนี้ก็ไม่ได้เยอะอะไร”

 

ถึงแม้สมรภูมิอเวจีจะอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสและโชควาสนามากมาย มี หลายคนที่ติดจุดรอคอย ไม่ว่าจะบ่มเพาะฝึกฝนหาทรัพยากรตามปกติเท่าไหร่ ก็ไม่อาจทะลวงถึง ขอบเขตจักรพรรดิอมตะได้ แต่ทว่าหลังเข้ามาเสี่ยงในสมรภูมิอเวจีแล้ว พอพบพานโอกาสวาสนาบางอย่าง ไม่เพียงแต่จะสามารถทะลวงถึงจักรพรรดิอมตะได้สําเร็จ กระทั่งภายหลังยัง กลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามได้อีกด้วย

 

และมีบางคนที่สามารถก้าวหน้าอย่างอัศจรรย์ จนไม่ทันไรก็ไปโลดแล่นบนสมรภูมิ 9 ยมโลกต่อ จนมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในเววลาสั้นๆ

 

ถึงแม้ในแต่ละระนาบเทวโลกจะมีจักรพรรดิอมตะ และจอมราชันอมตะน้อยคนที่เข้ามาเสี่ยง แสวงโชคภายในนี้

 

ทว่าพอนับรวมทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลกแล้ว จํานวนคนที่เข้ามาเสี่ยงก็ไม่น่าจะน้อยได้

 

อย่างไรก็ตามเขา

 

กับที่ 130,000 กว่าๆ เช่นนั้นหมายความว่าในสมรภูมิอเวจีทั้งหมดทั้งมวลก็มีคนอยู่แค่ราวๆ 130,000 กว่าคนไม่ใช่หรือไร?

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน…”

 

ได้ยินคําพูดของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวจินก็ส่ายหัวไปมา “เหตุผลที่ไฉนพวกเราติดอยยู่ในอันดับ 130,000 กว่าๆ เพราะมีหลายคนที่กลับออกไปด้านนอกโดยที่ได้แต้มรบไม่ถึง 2 แต้ม เช่นนั้นหลังพวกมันกลับออกไปแล้ว พวกมันก็จะถูกคัดออกจากตารางจัดอันดับยศแต้มรบ…”

 

“นอกจากนั้นหากใครได้แต้มรบเกิน 2 แต้ม แต่ดันกลับออกไปด้านนอกเกิน 100 ปี ชื่อของพวกมันก็จะถูกลบออกจากสารบบเช่นกัน และในบรรดาที่ผู้ชื่อหายไปจากสารบบ ยังมีคนที่สามารถทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะได้สําเร็จ เช่นนั้นก็เลยเข้ามาที่นี่ไม่ได้อีก หรือไม่ก็อาจมีเหตุจําเป็นทําให้กลับเข้ามาที่นี่ไม่ได้เกินร้อยปี”

 

“ในกรณีหลัง หากท่านได้แต้มรบมาตอนนี้สักร้อยแต้ม แต่เลือกจะออกไปข้างนอกเป็นร้อยปี พอท่านกลับมาแต้มรบท่านก็จะกลายเป็นศูนย์ทันที”

 

“ตอนนี้ที่พวกเราอยู่ในอันดับที่ 130,000 กว่าๆ ก็บ่งบอกได้อย่างเดียวว่าในช่วง 100 ปีที่ผ่าน มีผู้คนราวๆ 130,000 กว่าคนที่สามารถเก็บแต้มรบได้เกิน 2 แต้มและยังอยู่ที่นี่ นั่นหมายความว่าพวกมันต้องฆ่าคนที่พึ่งเข้ามาใหม่ๆเหมือนพวกเราอย่างน้อย 2 คน

 

“แล้วท่านยังคิดว่า ผู้ที่เข้ามาสมรภูมิอเวจีมีจํานวนน้อยอยู่หรือไม่เล่า?”

 

เสี่ยวจินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

หลังฟังเสี่ยวจินกล่าวอธิบาย ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักเรื่องราวได้

 

ถ้างั้น การที่เขาพึ่งเข้ามาและติดอยู่ในอันดับที่ 130,000 กว่าๆก็สมเหตุสมผลดี และมากพอจะอธิบายความโหดร้ายของสมรภูมิอเวจีได้

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน”

 

เสี่ยวจินยังกล่าวสืบต่อว่า “ผู้ที่มีชื่อติดอยู่ในตารางจัดอันดับยศแต้มรบนั้น…พวกที่ติดอยู่ใน 1,000 อันดับยังไม่นับเป็นอะไร เพราะพวกมันอาจได้รับความช่วยเหลือจากสหายหรือใครก็ตามที่จงใจมอบแต้มรบให้”

 

“อย่างไรก็ตาม กับผู้ที่ติดอยู่ใน 100 อันดับ ไร้ซึ่งข้อยกเว้นใดๆ พวกมันล้วนได้แต้มรบมาด้วยพลังฝีมือส่วนตัวเท่านั้น”

 

“เพราะช่องว่างระหว่างแม่ทัพกับนายกองนั้น มันเป็นความต่างที่ไม่อาจกลบถมได้ด้วยความช่วยเหลือของผู้อื่น…พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านลองสังเกตตารางจัดอันดับยศแต้มรบดูก็ได้ ท่านจะเห็นว่าผู้ที่อยู่ในอันดับที่ 135-500 นั้นจะมียศแต้มรบเท่าๆกัน”

 

ได้ยินคําพูดของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนก็มองไปยังตารางจัดอันดับยศแต้มรบ จากนั้นเขาก็พบว่าผู้ที่อยู่ในอันดับที่ 135 ไปถึง 500 ล้วนมียศแต้มรบเท่ากัน

 

“ที่เป็นแบบนั้นเพราะว่าพวกมันไม่อาจผ่านการทดสอบ เลื่อนขีดจํากัดยศแต้มรบของสมรภูมิอเวจี”

 

“ในสมรภูมิอเวจี เมื่อผู้ใดเก็บยศแต้มรบได้ถึง 1,000 ก็จะพบเจอกับจุดรอคอยซึ่งเป็นขีดจํากัดของยศแต้มรบ มีเพียงผ่านการทดสอบของสมรภูมิอเวจีไปให้ได้ก่อนเท่านั้น ถึงจะทลายขีดจํากัดดังกล่าวได้ และจะมีขีดจํากัดยศแต้มรบใหม่เป็น 2,000 แต้ม”

 

“ขีดจํากัดนี้ยังเป็นตัวกําหนดยศแต้มรบสูงสุดที่ท่านจะเก็บได้…ถ้าไม่อาจทําลายขีดจํากัดให้ได้ ไม่ว่าท่านจะฆ่าผู้คนในสมรภูมิอเวจีไปมากเท่าไหร่ ท่านก็จะไม่มีทางเก็บยศแต้มรบต่อได้เลย ทําให้ไม่มีโอกาสใช้แต้มรบสูงประมาณหนึ่งเพื่อเข้าสู่แดนลับส่วนตัว”

 

ต้วนหลิงเทียนที่ดูตารางจัดอันดับยยศแต้มรบอีกครั้ง ก็พบว่าคนที่ 135 ถึง 500 จะมียศแต้มรบแค่ 1,000 ส่วน 40 คนที่มีอันดับสูงกว่า จะมีแต้มรบอยู่ที่ 2,000 บางคนก็มี 1,000 กว่าๆ

 

สูงขึ้นไปอีก 30 อันดับ มียศแต้มรบอยู่ที่ 3,000

 

ขยับขึ้นไปอีก 20 อันดับ จะมีศแต้มรบอยู่ที่ 4,000

 

จากนั้นขึ้นไปอีก 10 อันดับ ไม่ว่าใครล้วนมียศแต้มรบ 5,000

 

เหนือขึ้นไปจากนั้น ล้วนแล้ววแต่มียศแต้มรบเกิน 6,000 ทั้งสิ้น

 

มีไม่กี่คนที่มียศแต้มรบอยู่ที่ 7,000

 

และมีแค่ 2 คนเท่านั้น ที่มียศแต้มรบสูงถึง 8,000

 

“ขีดจํากัดของยศแต้มรบจะปรากฏขึ้นทุกๆ 1,000 แต้ม เป็นดั่งจุดรอคอยให้ท่านผ่านบททดสอบก่อน ถึงจะทะลวงผ่านไปได้ดุจเดียวกับ 2 อันดับแรกที่มียศแต้มรบ 8,000 นั่น แม้ยศแต้มรบของมันจะแสดงแค่ 8,000 แต่อันที่จริง พวกมันสมควรฆ่าคนจนได้ยศแต้มรบไปเกิน 10,000 แล้วด้วยซ้ไ เผลอๆอาจจะเกินแสนไปแล้วก็ไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัด”

 

เสี่ยวจินกล่าวสืบต่อ “เพราะมีเพียงต้องผ่านบททดสอบของสมรภูมิอเวจีเท่านั้น ถึงจะสามารถเก็บยศแต้มรบเพิ่มได้…และนั่นไม่ใช่อะไรที่ใครจะผ่านได้ง่ายๆ”

 

“แล้วการทดสอบที่ว่า มันยากมากหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

 

“ยาก ทั้งขีดจํากัดหลังๆยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ แถมบททดสอบที่ว่าก็ไม่มีใครช่วยได้ จําต้องอาศัยพลังฝีมือส่วนตัวผ่านไปเท่านั้น”

 

เสี่ยวจินกล่าว

 

“ในสมรภูมิอเวจี เหล่าจอมราชันอมตะทั้งหลายที่อยู่ในนี้ จะเรียกการผ่านบททดสอบขีดจํากัดยศแต้มรบว่า การข้ามผ่านหายนะ…”

 

“ถึงแม้ท่านจะผ่านขีดจํากัดยศแต้มรบ 1,000 แต้มแค่ครั้งเดียว และแม้ท่านจะยังไม่อาจเก็บ ยศแต้มรบจนเข้าสู่ 100 อันดับแรกจนกลายเป็นแม่ทัพได้ แต่ท่านก็จะถูกมองว่าเป็นนายกองระ ดับสูงที่สามารถเดินกร่างไปทั่วสมรภูมิอเวจีได้อย่างไม่ต้องกลัวใคร”

 

“เพราะสิ่งนี้บ่งบอกว่าพลังฝีมือของท่านจะไม่ได้ด้อยไปกว่า ผู้ที่ทลายขีดจํากัดยศแต้มรบจาก 1,000 ไปเป็น 2,000 เลย”

 

“และหากท่านสามารถทลายฝ่าขีดจํากัดยศแต้มรบ 1,000 แต้มแรกไปได้จนติดอยู่ใน 100 อัน ดับแรกสําเร็จ ท่านจะถือว่าเป็นแม่ทัพระดับ 1”

 

“และแม่ทัพที่สามารถฝ่าขีดจํากัดยศแต้มรบ 2,000 แต้มได้ จะถูกเรียกว่าแม่ทัพระดับ 2 และผู้ที่ฝ่าขีดจํากัดยศแต้มรบที่ 7,000 แต้มได้ จะถูกเรียกว่าแม่ทัพระดับ 7”

 

กล่าวถึงจุดนี้ เสี่ยวจินก็หยุดลงครู่หนึ่งเพื่อให้ต้วนหลิงเทียนย่อยข้อมูล จากนั้นจึงกล่าวต่อว่า “ร่ำลือกันว่าตอนนี้พลังฝีมือของแม่ทัพระดับ 7 ทั้ง 2 คนนั่น..เหนือกว่าจักรพรรดิอมตะสมญา นามส่วนใหญ่เสียอีก”

 

“อะไร?”

 

“ความแข็งแกร่งของแม่ทัพระดับ 7 ทั้ง 2 นั่นเหนือกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามส่วนใหญ่อีกรึ?”

 

ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงเร็วไว ใบหน้าเผยความตกใจออกมาให้เห็นอยู่บ้าง

 

“ใช่”

 

เสี่ยวจินพยักหน้า ค่อยกล่าวด้วยยรอยยิ้มแหยๆ “ตอนแรกที่ข้ารู้เรื่องนี้ ข้าก็ตกใจแทบตาย แน่ะ…เพราะต่อให้พวกมันเป็นแม่ทัพระดับ 7 แต่อย่างดีด่านพลังฝึกปรือก็ตันที่จอมราชันอมตะ 10 ทิศเท่านั้น”

 

“จอมราชันอมตะ 10 ทิศ ต่อให้มีความเข้าใจในกฏมากแค่ไหน แต่อย่างดีก็แค่เข้าใจความลึก ซึ่งทุกประการถึงขั้นตอนความสําเร็จยิ่งใหญ่ ยังไม่อาจเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งได้ เช่นนั้นพลังของพวกมันจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดไหนเชียว?”

 

วาจาประโยคนี้ของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนก็เห็นด้วย

 

“แต่…”

 

ทว่าทันใดนั้นเอง สองตาเสี่ยวจินพลันทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง น้ำเสียงยังเปลี่ยนเป็นจริงจังเคร่งขรึม “ยังมีจอมราชันอมตะบางคน ที่ไม่อาจใช้สามัญสํานึกของจอมราชันอมตะทั่วไปมาหยั่งวัดได้”

 

“เพราะจอมราชันอมตะเหล่านี้ พวกมันมีพลังอํานาจอย่างอื่นในตัวอย่างเช่นถือครองเทพเบญจธาตุ มีพลังจากขีดจํากัดของสายเลือดไม่ใช่มนุษย์ รวมถึงมีทักษะวิชาท้าทายสวรรค์ และในบรรดาจอมราชันอมตะเหล่านี้ เหล่าจอมราชันอมตะที่ถือครองเทพเบญจธาตุจะทรงพลังทั้งน่ากลัวที่สุด”

 

เทพเบญจธาตุ!

 

ได้ยินเสี่ยวจินเอ่ยเรื่องเทพเบญจธาตุออกมา ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตะลึง

 

ในสมรภูมิอเวจี มีผู้ที่ถือครองเทพเบญจธาตุด้วยหรือ?

 

“ดุจเดียวกับแม่ทัพระดับ 7 ทั้ง 2 คนนั่นการที่พวกมันทลายขีดจํากัดยศแต้มรบได้ถึงระดับนี้ มันไม่ใช่อะไรที่จอมราชันอมตะทั่วไปจะกระทําได้เลย อันที่จริงแค่จะทําลายขีดจํากัดยศแต้มรบครั้งที่ 4 หรือขีดจํากัดยศแต้มรบครั้งที่ 5 ก็ไม่ใช่อะไรที่จอมราชันอมตะธรรมดาๆจะทําได้แล้ว”

 

“ปกติ จอมราชันอมตะแม้แต่จอมราชันอมตะสมญานาม หากคิดจะทําลายขีดจํากัดยศแต้ มรบ อาศัยแค่การเข้าใจความลึกซึ้งทุกประการถึงขั้นตอนความสําเร็จยิ่งใหญ่ยังไม่พอ..เว้นเสียแต่จะไม่ใช่มนุษย์และเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไม่ก็มีทักษะวิชาเลิศล้ำบางประการ ถึงจะทําได้”

 

“สัตว์อมตะชั้นยอดอย่างข้าและเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ก็เช่นกัน”

 

“เป็นธรรมดาว่าถึงข้ากับเสี่ยวเฮยและเสี่ยวไป๋ แม้จะบรรลุด่านพลังฝึกปรือจอมราชันอมตะ 10 ทิศ จวบจนเข้าใจความลึกซึ้งทุกประการถึงขั้นตอนความสําเร็จยิ่งใหญ่…หากคืนร่างที่แท้จริง ก็สามารถทําลายขีดจํากัดแต้มรบครั้งที่ 2 ได้”

 

“ทว่าหากคิดจะทําลายขีดจํากัดศแต้มรบ 3,000 แต้ม เกรงว่าต้องเป็นสัตว์เทพอย่างฮ่วนเอ๋อ เท่านั้น”

 

กล่าวถึงจุดนี้ เสี่ยวจินก็หันไปมองฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียน

 

“ส่วนขีดจํากัดหลังจากนั้นล้วนไม่ใช่อะไรที่สิ่งมีชีวิตนอกเหนือมนุษย์จะใช้การคืนร่างที่แท้จ ริงทําลายได้แล้ว นอกจากจะครอบครองเทพเบญจธาตุสถานเดียว”

 

กล่าวถึงจุดนี้สองตาเสี่ยวจินก็ทอประกายวูบวาบ “จึงกล่าวได้ในระดับหนึ่ง ว่าผู้ที่สามารถทลายขีดจํากัดยศแต้มรบ และมียศแต้มรบมากกว่า 4,000 แต้มในตารางจัดอันดับได้นั้น ถูกผู้คนส่วนใหญ่สงสัยว่าพวกมันเป็นผู้ที่ถือครองเทพเบญจธาตุ”

 

“มีผู้คนไม่น้อยที่เร่งแจ้งเรื่องนี้กลับไปยังขุมกําลัง และตามล่าหาตัวตนพวกมันเป็นการใหญ่ หมายปล้นชิงเทพเบญจธาตุของพวกมัน เพราะสิ่งนี้กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์ยังไม่อาจอดใจได้ไหว”

 

“แน่นอนว่าปกติแล้วไม่มีผู้ใดสามารถสืบหาตัวตนของพวกมันได้เลย เว้นแต่จะมีคนโง่ทะลึ่งใช้ชื่อจริง”

 

“ปกติไม่มีผู้ใดครอบครองเทพเบญจธาตุแล้ว กล้าใช้ชื่อจริงเข้ามาในสมรภูมิอเวจีแน่นอน”

 

“ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ยังจะมีใครล่วงรู้ตัวจริงของพวกมันได้ เว้นแต่พวกมันจะเปิดเผย ออกมาเอง? เช่นนั้นพวกมันยังต้องกลัวอะไร แถมกล่าวไปกลายๆ สมรภูมิอเวจีก็เสมือนสถาน ที่ๆให้พวกมันได้ปลดปล่อยพลังอํานาจของเทพเบญจธาตุออกมาตามอําเภอใจ เข่นฆ่าผู้คนได้อ ย่างไร้กังวล!!”

 

“นอกจากนั้น ในสมรภูมิอเวจียังมีสิ่งที่พิเศษอีกอย่างเรียกว่าการแปลงร่าง” ท่านแค่อาศัยห นึ่งห้วงคิดว่าจะแปลงกายเป็นอะไร ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาหรือกลิ่นอายก็สามารถปลอมแป ลงให้ต่างไปจากเดิมได้ราวพลิกฟ้าคว่ำดิน ไม่มีใครสามารถจดจําตัวตนของท่านได้แน่”

 

แทบจะพร้อมๆกันกับที่เสี่ยวจินกล่าวประโยคนี้จบ ร่างสาวน้อยของนางก็กลายเป็นชายหัวโล้นกล้ามโตสูงเกือบ 3 หมี แลดูราวคนเถื่อนบ้าพลังอย่างไรอย่างนั้น!

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกําลังอึ้งกับฉากเรื่องราวเบื้องหน้า เสี่ยวจินก็กล่าวออกมาด้วยน้ําเสียง ดุดันราวโจรป่า “ยกเลิกการแปลงร่าง”

 

ทันใดนั้นเสี่ยวจินก็หวนคืนสู่รูปลักษณ์เดิมของตัวเองทันที

 

“เทพเบญจธาตุ”

 

หลังได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถามไถ่วารีเทพชําระ 

กาในโลกใบเล็กภายในกาย “พี่สาวสุ่ย ไฉนก่อนหน้าท่านไม่บอกข้าเรื่องนี้เล่า? ที่แท้ท่านให้ข้าเข้าสู่สมรภูมิอเวจี คงไม่ใช่เพราะให้ข้าพบเจอโชควาสนาอย่างทรัพยากรบ่มเพาะพลังอย่างเดียวนะ?

 

“ท่านสมควรหวังให้ข้าใช้โอกาสนี้ ฆ่าผู้ถือครองเทพเบญจธาตุคนอื่นๆ และให้พวกท่านดูดกลืนพวกมันเพื่อยกระดับใช่หรือไม่?”

 

บัดนี้ ต้วนหลิงเทียนได้มองจุดประสงค์ที่แท้จริงของวารีเทพชําระโลกาออกแล้ว

 

“ไม่ผิด”

 

วารีเทพชําระโลกากล่าว “ที่ข้าไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะคิดมากเกินไป”

 

“ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้เจ้าก็ยังมีโอกาสเปลี่ยนใจอยู่ เพราะอย่างไรเสีย ในสมรภูมิอเวจีแห่งนี้ ก็อาจมีผู้ถือครองเทพเบญจธาตุระดับสูงกว่าพวกเราอยู่”

 

“หากเจ้าพบเจอผู้ถือครองเทพเบญจธาตุระดับ 7 พวกเราก็ตั้งมือมากพอสมควรกว่าจะเอาชนะได้สําหรับผู้ถือครองเทพเบญจธาตุระดับ 8 นั้น หากพวกเราโชคดีที่มันไม่แข็งแกร่งมากก็แล้วไป แต่ถ้าโชคไม่ดี ก็เกรงว่าคงต้องเป็นฝ่ายถูกกลืนกินแทนแล้ว”

 

กล่าวถึงจุดนี้ เสียงของวารีเทพชําระโลกาก็ฟังดูขู่ขวัญไม่น้อย “แน่นอนว่าหากพวกเราถูกมันกลืนกิน เจ้าที่เป็นร่างต้นของพวกเราก็ไม่พ้นต้องถูกร่างต้นของอีกฝ่ายฆ่าตายแน่”

 

“แต่แน่นอนว่าในสมรภูมิอเวจีแห่งนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะมีผู้ถือครองเทพเบญจธาตุระดับ 8 อยู่”

 

วารีเทพเอ่ยถึงจุดนี้ก็เงียบลงครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ออกเสียยงหนักว่า “แต่ข้ากล้าพูดแค่ว่า ก็ไม่ใช่ว่า 

จะมีไม่ได้บอกว่าจะไม่มี!”

 

หลังฟังเรื่องราวจบต้วนหลิงเทียนก็กะพริบตาปริบๆ 2 รอบ จากนั้นก็หันไปมองฮ่วนเอ๋อกับ เสี่ยวจินแล้วกล่าวว่า “ฮ่วนเอ๋อ เสี่ยวจิน พวกเราออกไปข้างนอกกันก่อนเถอะ!”