“เจ้า……เจ้าเหลวไหล!”ผู้ติดตามวัยกลางคนนั่นที่มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากตะคอกเสียงดังลั่นด้วยอารมณ์ที่เดือดดาล

“หุบปาก!”

ตวนมู่ชางตวาดตำหนิคำหนึ่ง เมื่อครู่เขายังกลุ้มใจอยู่เลยว่าเหตุใดฝ่ายตรงข้ามถึงต้องลงมือทำร้ายผู้อื่น ที่แท้ก็เป็นเพราะลูกน้องของตนทำตัวจองหองพองขนมากเกินไปนี่เอง

ในวันทั่วไปเหล่าผู้คนที่ติดตามตัวเองมักจะอาศัยตัวตนของตัวเอง รวมไปถึงภูมิฐานของตระกูลตวนมู่ไม่เคยเอาผู้ใดมาไว้ในสายตาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทว่าจีเสวียนคงเป็นบุคคลระดับใด? ผู้อื่นเกรงกลัวตระกูลตวนมู่ เขาจีเสวียนคงกลับไม่เกรงกลัว

พวกไม่ได้เรื่อง ชอบทำให้เสียการ!

ตวนมู่ชางเข้าใจดีมาก ๆ ว่าการติดต่อครั้งแรกตัวเองสามารถเสียหน้าได้เล็กน้อย แต่ทว่าจะพ่ายแพ้ด้านพลังออร่าภายนอกไม่ได้เด็ดขาด

“เบื้องล่างข้าไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร จะว่าไปนี่ก็เป็นความสะเพร่าของคุณชายอย่างข้าเอง”

ตวนมู่ชางหัวเราะออกมากะทันหัน จากนั้นเขาก็จิ้มนิ้วลงกลางอากาศที่ว่างเปล่า ก่อนจะมีเพลิงอัคคีดวงหนึ่งบินออกไปจากปลายนิ้วเขา แล้วร่วงลงบนตัวผู้ติดตามวัยกลางคนนั่นภายในเสี้ยววินาทีเดียว

“อ๊ากก! ……”

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นมากะทันหัน ผู้ติดตามวัยกลางคนที่มีผลการฝึกตนกึ่งมกุฎเทพนั่นไม่ได้ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย ก็ถูกเพลิงอัคคีดวงนี้แผดเผาจนกลายเป็นฝุ่นผงภายในเสี้ยววินาที

“ล่วงเกินอาจารย์เสวียนคง มันสมควรตายอยู่แล้ว จิตใจของข้านั้นเคารพนับถืออาจารย์เสวียนคงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

ถึงแม้ตวนมู่ชางจะเป็นคนที่หยิ่งยโอหัง แต่ทว่าเขากลับไม่ใช่คนที่ดูจองหองพองขน เห็นเพียงเขากำจัดลูกน้องคนหนึ่งของตัวเองไปโดยไม่คิดอะไรมาก จากนั้นสายตาของเขามองมาทางหลัวซิวที่อยู่ห่างกันไกล อมยิ้มพลางถาม: “สหายหลัวพึงพอใจต่อการกระทำของข้าหรือไม่?”

คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างสะดุ้งตกใจเล็กน้อย แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็รู้สึกแปลกใจต่อความใจโหดมือเหี้ยมของตวนมู่ชาง แม้หลัวซิวก็เป็นคนที่ใจโหดมือเหี้ยมเช่นกัน ทว่าเขาจะใจโหดมือเหี้ยมต่อศัตรูและคู่ต่อสู้ของตัวเองเท่านั้น กลับไม่เคยลงมือโหดเหี้ยมต่อคนของตนเองเช่นนี้มาก่อน

ดูจากภาพลักษณ์ภายนอก ตวนมู่ชางเหมือนคุณชายสะโอดสะองที่มีกิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยนคนหนึ่ง ทว่าจิตใจที่แท้จริงของเจ้าหมอนี่กลับเป็นอสรพิษที่อันตรายตัวหนึ่ง

“เมื่อพูดตามหลัก ข้าเคยอบรมสั่งสอนเรื่องนี้ก็จบเรื่องแล้ว พี่ตวนมู่โหดไปหน่อยหรือเปล่า?”หลัวซิวยิ้มตาหยีพลางถาม

“เหอะ ๆ สหายหลัวพูดเช่นนี้มันไม่ค่อยถูกต้องเลยนะ ตระกูลตวนมู่ของข้ามีสมาชิกและกิจการเยอะ หากกฎระเบียบในการสั่งสอนเบื้องล่างไม่เข้มงวดหน่อยละก็ จะมีผลด้านการข่มคนเหล่านั้นให้อยู่ในระเบียบได้อย่างไรเล่า?”

ตวนมู่ชางไม่อยากคุยในประเด็นนี้ต่อ เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง: “สามวันภายหน้า ตวนมู่ชางข้าจักคอยสหายหลัวมารับคําท้าทายที่ศูนย์กลางสนามจัตุรัส!”

หลังจากสิ้นเสียง ตวนมู่ชางก็หันหลังแล้วเดินจากไป วัยรุ่นผู้ที่มีความฉลาดเป็นเลิศจำนวนมากที่มาพร้อมกับเขาและกลุ่มคนที่มามุงดูก็ต่างพากันแยกย้าย วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไม่หยุดหย่อน

ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ หยุนเทียนหยูไม่เคยพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว อีกทั้งเขาก็หลับตามาโดยตลอดเช่นกัน ไม่เงยหน้าขึ้นไปมองหลัวซิวเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ในมุมมองของคนอื่นอาจจะรู้สึกว่าหยุนเทียนหยูเหมือนดูถูกดูแคลนหลัวซิว แต่ในความเป็นจริงสาเหตุที่หยุนเทียนหยูไม่อยากเงยหน้าขึ้นไปเผชิญหน้ากับหลัวซิวนั้น เป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าตน เขารู้สึกรำคาญในใจ

แต่ถ้าเกิดพูดแค่เรื่องความหยิ่งยโสละก็ หยุนเทียนหยูอยู่เหนือตวนมู่ชางมาก ๆ การที่เขาผลักดันตวนมู่ชางไปข้างหน้านั้นเป็นเพียงการโยนหินถามทาง พอถึงช่วงเวลาสุดท้ายเขาคอยลงมือด้วยตัวเอง เช่นนี้ถึงจะสามารถแสดงให้เห็นถึงความหยิ่งยโสของหยุนเทียนหยู!

วันต่อมา มีออร่าอันเกะกะระรานที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้บังเกิดขึ้นบนสนามจัตุรัสเส้นทางดารา เหล่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพที่มุ่งหน้าไปสำรวจในแดนเทวนิรันกาลล้วนกลับมาหมดแล้ว

ย้อนกลับมายังโรงเตี๊ยม เมื่อได้ยินข่าวคราวที่ตวนมู่ชางมาส่งจดหมายท้าประลอง จีเสวียนคงจึงขมวดคิ้วลงไปในทันที

“ไอ้หนุ่มหลัว แม้ความสามารถในการตระหนักรู้แดนวิถียาของเจ้าจะสูงมาก ๆ ทว่าผลการฝึกตนกลับเป็นจุดด้อยของเจ้า ซึ่งยังไม่สามารถกลั่นโอสถมกุฎเซียนได้”

“ส่วนเจ้าเด็กเมื่อวานซืนในตระกูลตวนมู่นั่น อ้างอิงจากความเข้าใจของอาจารย์ มันสามารถกลั่นโอสถมกุฎเซียนทั่วไปได้แล้ว”