บทที่ 771.2 เรือราตรี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ด้านข้างมีตัวอักษรยึกๆ ยือๆ เขียนไว้บรรทัดหนึ่ง เฉินผิงอันมองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นลายมือของใคร ‘ช่างมารดาเจ้าเถอะ สองหมัดต่อยให้เละ’

ดังนั้นภายหลังตอนที่อยู่บนทางเดินม้าของหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยประโยคที่ไม่ได้ตั้งใจว่า ‘ความรู้ของใต้หล้า มีเพียงเรือราตรีที่ยากจะรับมือด้วยมากที่สุด’

รอกระทั่งเฉินผิงอันได้หวนกลับมายังใต้หล้าไพศาล ตอนอยู่ในนครเซิ่นจิ่งก็จับผลัดจับผลูเจอกับตราประทับหนังสือที่เฝ่ยหรานจงใจทิ้งไว้ข้างกายหลิวเม่าจากในอารามหวงฮวา พอเห็นตัวอักษรบนตราประทับเหล่านั้น ถึงได้รู้ว่าสองประโยคบนตำราในปีนั้น คาดว่าคงเป็นคำอธิบายที่เกิดจากความเบื่อหน่ายซึ่งเซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่เอ่ยต่อโจวมี่มหาสมุทรความรู้อดีตสิงกวาน

ส่วนเจ้านครเส้าผู้นี้ เหตุใดถึงได้เสียสติคิดเล่นงานตน ขอแค่เฉินผิงอันเจอเส้นสายอันเป็นรากฐานของเรือราตรีลำนี้เจอสักสองสามเส้น แน่นอนว่าเขาก็สามารถเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม จากนั้นค่อยสืบสาวเบาะแสไปถามกระบี่กับเส้าเป่าเจวี้ยนดีๆ สักครั้ง

เผยเฉียนไม่กังวลเจ้านครเส้าเป่าเจวี้ยนอะไรนั่น ถึงอย่างไรก็มีอาจารย์พ่อคอยจับตามองดูอยู่ ความสนใจที่มากกว่านั้นของเผยเฉียนยังคงอยู่บนร่างของนักพรตเฒ่าผอมแห้ง ชำเลืองตามองธงเอนเอียงที่เขียนประโยคว่า ‘อยากได้เคล็ดลับความเป็นอมตะ ก็ต้องผ่านด่านเซียนนี้ไปก่อน’ จากนั้นจึงมองค่ายกลบนพื้นที่อยู่ด้านหน้าแผงลอย เผยเฉียนปลดตะกร้าไม้ไผ่ที่สะพายอยู่ข้างหลังลงมาวางบนพื้น ให้หมี่ลี่น้อยกลับเข้าไปยืนอยู่ด้านในอีกครั้ง จากนั้นเผยเฉียนค่อยใช้ไม้เท้าเดินป่าในมือจิ้มลงบนพื้น วาดวงกลมรอบตะกร้าไม้ไผ่หนึ่งรอบ แล้วจิ้มลงไปเบาๆ ไม้เท้าเดินป่าก็จมหายไปในพื้นดินชุ่นกว่าเหมือนมีดผ่าเต้าหู้ ไม้เท้าเดินป่าอันหนึ่งตั้งวางอยู่บนพื้น เผยเฉียนปล่อยมือแล้วเส้นด้ายหลายเส้นก็ล้อมวนไปทั่วประหนึ่งว่ามีปราณกระบี่โอบล้อมอยู่ รวมถึงบ่อสายฟ้าสีทองนั้น ต่างก็เหมือนค่ายกลกระบี่เล็กจิ๋วที่ปกป้องตะกร้าไม้ไผ่เอาไว้

เผยเฉียนสะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ มือขวากำมีดตัดกระดาษไผ่เหลืองเล่มหนึ่งเอาไว้เงียบๆ เป็นวัตถุฟางชุ่นที่อวี้พ่านสุ่ยมอบให้ จากนั้นเผยเฉียนก็ยื่นมือออกมาพลิกปลายมีดตัดกระดาษกลับเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ มือซ้ายกลับมีกระบองเหล็กที่หนักมากท่อนหนึ่งโผล่เพิ่มขึ้นมา เรือนกายงองุ้มลงเล็กน้อย ตั้งท่าเวทวานรขาวสะพายกระบี่ บิดหมุนข้อมือ กระบองยาววาดวงกลมหนึ่งวง สุดท้ายปลายด้านหนึ่งเคาะลงพื้นเบาๆ ริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก บนพื้นถนนมีลายน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาแล้วกระเพื่อมแผ่ออกไปเป็นชั้นๆ

ตอนที่อยู่ศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหูของธวัลทวีป เผยเฉียนได้เอาหอกเหล็กอาวุธกึ่งเซียนที่ฝูลู่อวี๋เสียนมอบให้แบ่งออกเป็นสามส่วน ปลายหอกสองด้านที่คมกริบเหมือนคมดาบถูกผ่าออกจากกัน สุดท้ายกลายมาเป็นสองดาบหนึ่งกระบอง

ชายฉกรรจ์เคราหยิกมองเผยเฉียนที่ใช้ไม้เท้าแทนกระบี่มาวาดยันต์แล้วผงกศีรษะเบาๆ ไม่ปิดบังสีหน้าชื่นชมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

ทว่าสิ่งที่สายตาของนักพรตเฒ่ามองเห็นกลับแตกต่างไปจากคนเคราหยิกที่เป็นเพื่อนบ้านผู้นี้ เขาจุ๊ปากพูดอย่างประหลาดใจ “แม่นางน้อย มองดูแล้วอายุไม่มาก วิชาคาถาบางอย่างยังไม่ต้องพูดถึง ทว่ามือเท้ากลับมีพละกำลังอยู่หลายจินเลยนะ ไปเรียนวิชาหมัดเท้ามาจากใคร? คงจะไม่ใช่หวังฟู่ซู่เด็กรุ่นหลังของอุตรกุรุทวีปผู้นั้นหรอกกระมัง หรือว่าจะเป็นอู๋ซูของใบถงทวีป? ได้ยินมาว่าล่างภูเขาในทุกวันนี้มีหน้ามีตากันยิ่งนัก พวกนักต่อสู้ทั้งหลายเป็นดั่งภูเขาลูกหนึ่งที่สูงกว่าภูเขาอีกลูกเสมอ น่าเสียดายถูกสตรีผู้หนึ่งแย่งชิงไปก่อน เจ้ากับสตรีผู้นั้นมีความเกี่ยวข้องกันด้านการเรียนวรยุทธหรือไม่?”

เผยเฉียนกล่าว “เทพเซียนผู้เฒ่าคิดจะประลองมรรคกถากับอาจารย์พ่อของข้า ก็ไม่สู้มาลองถามหมัดกับผู้เยาว์ก่อนสักสองสามหมัด”

ชายฉกรรจ์ที่นั่งยองอยู่บนพื้นรู้สึกขบขันเล็กน้อย “เฟิงจวินเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าก็จริงอยู่ น่าเสียดายที่หมัดและเท้าไม่ว่องไวมากพอ หากจะถามหมัด ต่อให้ไปยังภูเขาเหนี่ยวจวี่อาณาเขตของเฟิงจวินเอง เทพเซียนผู้เฒ่าก็ยังต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แม่นางน้อยฉลาดยิ่งนัก”

ผู้เฒ่าหันตัวกลับมา เต้นผางสบถด่า “นครเตี่ยนจิงที่คงต้งฮูหยินอาศัยอยู่มีเจ้าคนผู้หนึ่งที่ทุกวันเอาแต่ส่องกระจกมองดูตัวเอง โหวกเหวกว่า ‘ลำคองามนัก ใครจะมาฟัน?’ พูดให้ใครฟังกัน? เจ้ายังกล้าพูดว่าผินเต้าไม่ว่องไวพอ? ถ้าอย่างนั้นทหารชุดเกราะสิบหมื่นของเจ้ามัวแต่กินข้าวไม่ทำการทำงานกันหรือไร? อย่าลืมล่ะว่ายังคงเป็นผินเต้าที่โปรยถั่วเป็นทหาร ตัดกระดาษเป็นแม่ทัพ ช่วยเจ้ารวบรวมกองกำลังทหารม้าหมื่นกว่านาย เจ้าถึงรวมได้ครบเป็นจำนวนสิบหมื่น เจ้ามันคนไร้จิตสำนึก…”

ชายฉกรรจ์ที่หนวดเคราหงิกงอนั่งแปะลงไปกับพื้นทันที ยิ้มเอ่ย “ข้าก็คืนเหมินไห่ใบหนึ่งให้เจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ”

เผยเฉียนใช้เสียงในใจเอ่ยทันใด “อาจารย์พ่อ ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะมีฝีมือในการสร้าง ‘ฟ้าดินแห่งใหม่’ ขึ้นมา เฟิงจวินแห่งอาณาเขตภูเขาเหนี่ยวจวี่แล้วก็ยังมีทหารชุดเกราะสิบหมื่นของชายเคราดกอะไรนี่ คาดว่าคงสามารถสร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมาได้เองในนครเถียวมู่แห่งนี้”

เฉินผิงอันใช้เสียงในใจตอบกลับ “เฟิงจวินผู้นี้ หากเป็นเกาเจินลัทธิเต๋า ‘นักพรตวัวดำ’ ผู้นั้นจริง สถานที่ประกอบพิธีกรรมของเขาก็คงจะเป็นภูเขาเหนี่ยวจวี่แห่งนั้นจริง ถ้าอย่างนั้นเทพเซียนผู้เฒ่าก็คงจะมีอายุมากพอสมควรแล้ว พวกเรารอดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ เถอะ”

นักพรตเฒ่ายิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ยกเท้าเตะขวดไหที่วางอยู่บนผ้าของแผงลอยด้านข้างจนล้มระเนระนาดไปแถบใหญ่ “ใครใช้ให้เจ้าเห็นคนนอกดีกว่า ช่วยคนนอกรังแกคนบ้านเดียวกัน หลังจากผินเต้าเก็บแผงแล้วจะต้องไปฟ้องร้องเจ้ากับเจ้านครแน่นอน”

ชายฉกรรจ์ดึงมุมหนึ่งของผ้าฝ้ายมา พยายามขยับให้ห่างจากแผงดูดวงนั้นสักหน่อย พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความระอาใจ “มาคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับข้า เจ้าหาคนผิดแล้วกระมัง?”

เฟิงจวินถึงนึกขึ้นได้จึงหันไปมองคนต่างถิ่นที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่อีกครั้ง ถามว่า “คนที่แบกภาชนะใส่สุรารั่วบนถนนไม่ใช่ลาหัวโล้น แต่เป็นนักพรต ใช่หรือไม่ใช่?! บอกกับผินเต้ามาตามตรง! ต้องการแค่คำพูดจากใจจริงของเจ้าเท่านั้น!”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “มรรคกถาอาจไร้ช่องโหว่ ถ้าเช่นนั้นบนถนนมีนักพรตหาบภาชนะใส่เหล้าที่มีรูรั่วจะมาโทษข้าได้อย่างไร?”

นักพรตเฒ่ากระทืบเท้า โมโหจนกลายเป็นขำ “เจ้าตัวดี ทุกวันนี้ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อยิ่งอธิบายเหตุผลกันเก่งกาจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

เส้าเป่าเจวี้ยนพลันเอ่ยแทรก “มหามรรคาห้าสิบ ฟ้าขยายสี่เก้า ถ้าอย่างนั้นสรุปแล้วจะสมบูรณ์หรือมีรอยโหว่ ก็เป็นแค่คำว่าอาจจะจากปาก เป็นความไม่แน่ในใจเท่านั้น”

เฉินผิงอันถาม “เจ้านครเส้า เจ้ายังไม่จบไม่สิ้นสักทีหรือ?”

ทันใดนั้น

เฉินผิงอันก็ค้นพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่มีภูเขาเขียวน้ำใสแห่งหนึ่ง

ข้างกายไม่มีถนนของนครเถียวมู่อีกต่อไป บนเส้นทางภูเขามีเพียงนักพรตเฒ่าที่ขี่วัวดำอยู่คนเดียว เขาสะพายห่อสัมภาระไว้เอียงๆ ร้อยกระบอกไม้ไผ่เรียงเป็นแถว ส่งเสียงกระทบกันดังกังวาน กำลังเดินตรงเข้ามาหาเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันมองวัวดำตัวนั้นสีหน้าก็พลันเลื่อนลอยไปเล็กน้อย เขาอึ้งไปนาน เพราะถ้าหากเขาจำได้ไม่ผิดล่ะก็ ปีนั้นตอนที่จ้าวเหยาออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็ได้นั่งเกวียนไม้เทียมวัว เด็กหนุ่มชุดเขียว จูงวัวสีดำ ว่ากันว่าปีนั้นยังมีชายฉกรรจ์สีหน้าทึ่มทื่อเป็นสารถีให้ด้วย เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อีก ทหารม้าลาดตระเวนที่ถือง้าวยาวลาดตระเวนนครมู่เถียวก่อนหน้านี้ ได้เอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยว่า ‘ห้ามบินทะยาน’ หรือว่านักพรตวัวดำตรงหน้าผู้นี้สามารถใช้ความอัศจรรย์พันลึกของเทพเซียนมีชีวิตทำให้ตัวเองได้รับขอบเขตปลอมที่เป็นมายาเลื่อนลอยอยู่ในฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง?

บนถนน เส้าเป่าเจวี้ยนยิ้มอย่างรู้ทัน ความแปลกประหลาดบนเรือลำนี้มีมากมาย ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันจะมีนิสัยระมัดระวังรอบคอบมากแค่ไหน จะระแวดระวังหวังขับเรือนานหมื่นปีสักเท่าไร ก็ยังต้องพาเรือมาพลิกคว่ำอยู่ในร่องน้ำมืดลึกแห่งนี้อยู่ดี

หากไม่เป็นเพราะคุณสมบัติด้านการฝึกตนของเส้าเป่าเจวี้ยน เพราะพรสวรรค์ที่โดดเด่นเลิศล้ำ ป่านนี้ก็คงกลายเป็นเทพเซียนมีชีวิตของที่นี่เหมือนกันไปนานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่ได้เป็นเจ้าของหนึ่งนคร ใต้หล้านี้คงมีคนอยู่แค่สามคนเท่านั้นที่ได้รับเงื่อนไขที่พิเศษที่สุดในที่แห่งนี้ คนหนึ่งในนั้นก็คือฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีป อีกคนหนึ่งมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีการช่วงชิงบนมหามรรคาที่ลี้ลับมหัศจรรย์กับ ‘นักท่องฝัน’ แห่งหลิวเสียทวีปอย่างเขาเส้าเป่าเจวี้ยน

ทางฝั่งของนครมู่เถียวแห่งนี้ หลังจากผ่านไปเพียงแค่ครู่เดียว

เฉินผิงอันก็เหมือนเดินข้ามธรณีประตูออกมาหนึ่งก้าว เรือนกายมาปรากฏอยู่ตรงที่เดิมของนครเถียวมู่ เพียงแต่ ‘เย่โหยว’ กระบี่ยาวเล่มที่สะพายอยู่ด้านหลังกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

ขณะเดียวกัน แผงดูดวงกับนักพรตวัวดำก็หายวับไปกลางอากาศด้วย

เผยเฉียนสีหน้าเยือกเย็น ถึงขั้นไม่คิดจะถามมากความแม้แต่คำเดียว

แต่กระนั้นเฉินผิงอันก็ยังเอ่ยปลอบเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร”

เส้าเป่าเจวี้ยนหัวเราะร่าพลางกุมหมัด

เฉินผิงอันพยักหน้า “ไว้พบกันใหม่คราวหน้า”

ดรุณีน้อยคนหนึ่งเดินนวยนาดมาถึง นางคลี่ยิ้มหวานกล่าวกับเส้าเป่าเจวี้ยนก่อน “เจ้านครเส้า จะไปแล้วหรือ?”

เส้าเป่าเจวี้ยนยิ้มบางๆ เอ่ย “ครั้งหน้าที่เข้าเมืองมาค่อยไปเยี่ยมอาจารย์ของเจ้า”

บัณฑิตเพียงแค่ก้าวออกไปหนึ่งก้าว มองข้ามตราผนึกในนครไปอย่างสิ้นเชิง หดย่อพื้นที่ พริบตาเดียวก็ออกไปจากนครเถียวมู่แห่งนี้ เรียกได้ว่ากลับไปพร้อมผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือ

เด็กสาวถึงได้หันมายอบตัวคารวะเฉินผิงอัน “นายท่านบอกแล้วว่าเมื่อเซียนกระบี่เขียนบท ‘สันดานเลวทราม’ เสร็จแล้วก็สามารถไสหัวออกไปจากนครเถียวมู่ได้แล้ว หากผิดแม้แต่ตัวอักษรเดียวก็ขอเชิญให้เซียนกระบี่แบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาด้วยตัวเอง”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ไม่ทราบว่านายท่านของเจ้าคือ?”

เด็กสาวยิ้มตอบ “นายท่านของข้าก็คือเจ้านครเถียวมู่คนปัจจุบัน ในบ้านเกิดของเซียนกระบี่เคยถูกเรียกขานว่าหลี่สือหลาง”

ขณะเดียวกันเท้าหน้าของเส้าเป่าเจวี้ยนเพิ่งจะเดินจากไป เท้าหลังก็มีคนเร่งรุดเดินทางมาถึง คือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ร่างโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า ไม่สนใจเด็กสาวที่หันมาถลึงตามอง เด็กหนุ่มเพียงแค่ประสานมือคารวะเฉินผิงอันอย่างนอบน้อม “เจ้านครบ้านข้ากำลังทำลวดลายตราประทับ คิดว่าจะเอาไว้เป็นวัตถุที่แขวนไว้ในห้องหนังสือ อักษรบนตราประทับอันแรกคือ ‘เซียนสุราร่ายบทกวี กระบี่ร่วมหมื่นปี’ นอกจากนี้ยังมีตราประทับอีกหลายสิบชิ้น อาศัยคำอธิบายจากคนต่างถิ่นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก็ยากจะรวบรวมมาไว้จริงๆ ดังนั้นจึงต้องการเชิญให้อาจารย์เฉินไปช่วยเสริมให้ด้วยตัวเองสักหน่อย”

——