บทที่ 772.1 จากลาที่ยุทธภพ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เด็กสาวคนนั้นเห็นว่าคนต่างถิ่นชุดเขียวคล้ายจะมีความเคลื่อนไหว เตรียมจะติดตามเด็กหนุ่มไปยังนครแห่งอื่น จึงรีบหันไปพูดอย่างขุ่นเคืองกับเด็กหนุ่มทันใด “เจ้าไม่รู้จักดูว่าใครมาก่อนมาหลังบ้างหรือ?”

คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มก็เป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนกัน ด่ากราดออกมาโดยตรง “ฉินจื่อตู นังไพร่ชั้นต่ำ! พูดกับข้าแบบนี้ได้อย่างไร ยังไม่รีบอุดปากกว้างๆ ของเจ้าไว้อีก?”

เด็กสาวที่ถูกเรียกชื่อโดยตรงอึ้งตะลึง แล้วยังถูกด่าว่าไพร่ชั้นต่ำต่อหน้าผู้คน บางทีอาจเพราะกริ่งเกรงเรื่องตัวตนของตัวเอง นางจึงไม่ได้ตอบโต้กลับคืน เพียงแค่หลุบตาลงต่ำ น้ำตาคลอเจียนจะหยด หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาเช็ดหัวตา

เด็กหนุ่มคนนั้นลำพองใจยิ่งนัก โน้มน้าวให้เฉินผิงอันติดตามตนเองออกจากนครเถียวมู่ต่ออีกครั้ง “อาจารย์เฉิน อยู่ท่ามกลางกลุ่มสตรีน่าเบื่อเกินไป ไม่สง่างามมากพอ เจ้านครของข้ารู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาท่านไม่ชอบพวกอยู่ท่ามกลางเสียงหัวร่อต่อกระซิก ไม่ชอบทำตัวเสเพลอยู่กับมวลบุปผาที่กลิ่นหอมโชยมาเหมือนถามกระบี่เช่นนี้ นี่จะไปเข้าท่าได้อย่างไร ดังนั้นอาจารย์เฉินรีบตามข้าจากไปโดยเร็วเถอะ เจ้านครของข้าจัดงานเลี้ยงรอต้อนรับอาจารย์เฉินไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วยังมีของขวัญหนักอีกชิ้นหนึ่งเตรียมไว้ให้เพิ่มเติมด้วย ถือเป็นค่าตอบแทนที่ท่านจะช่วยเพิ่มลวดลายตราประทับให้ครบถ้วน”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าไม่ควรพูดถึงแม่นางปี้อวี้เช่นนี้”

การที่ไม่ได้รีบตอบรับคำเชิญของเด็กหนุ่มทันที เพราะเฉินผิงอันอยากจะเดินเที่ยวอยู่ในนครเถียวมู่แห่งนี้สักหน่อย รวมไปถึงอยากจะเอ่ยขอบคุณคนเคราหยิกสักคำ แล้วยังมีชายฉกรรจ์ร้านขายอาวุธผู้นั้นด้วย ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินมาหน้าประตู ดูเหมือนเขาจะคอยจับสังเกต ‘เย่โหยว’ ที่อยู่ด้านหลังของตนตลอดเวลา แล้วก็เพราะอาหารรสเลิศของสถานที่ต่างๆ อย่างขิงถงหลิง รากบัวทังซาน อันที่จริงเฉินผิงอันจึงพอจะเดาสถานะของเถ้าแก่ร้านนั้นได้คร่าวๆ แล้ว มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นอาจารย์อู่ซงที่ป๋ายเหย่เคยพบเจอเมื่อครั้งขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียนในอดีต ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดจะไปขอภาพควายภาพหนึ่งมาจากตู้ซิ่วไฉผู้นี้ จะสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องคุยกันก่อนค่อยว่ากัน ทุกเรื่องมักจะยากตอนเริ่มต้นเสมอ แต่ขอแค่จับหัวของเส้นสายเส้นหนึ่งขึ้นมาได้ก็จะสบายขึ้นเยอะมาก

เด็กหนุ่มได้ยินเฉินผิงอันเรียกฉินจื่อตูว่า ‘ปี้อวี้’ เปิดโปงชื่อเล่นของนางด้วยคำพูดประโยคเดียว เขาก็คล้ายจะตกตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่จากนั้นก็พูดกลั้วหัวเราะอย่างเบิกบาน “ไม่คิดว่าอาจารย์เฉินจะรู้ประวัติความเป็นมาของนางไพร่ผู้นี้อยู่แล้ว หากเป็นเช่นนี้ คาดว่าอาจารย์เฉินก็คงต้องเคยอ่าน ‘บทศึกษาหงฮุยเก๋อ’ ‘บันทึกแยนจือ’ ‘ชุดหนังสือเซียงเยี่ยน’ มาหมดแล้ว เซียนกระบี่อายุน้อยส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ไม่เสียแรงที่เป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน มิน่าเล่าเจ้านครของข้าถึงได้มองอาจารย์เฉินแตกต่างไปจากผู้อื่น ให้เกียรติท่านเพียงคนเดียว หลี่สือหลางมองอาจารย์เฉินผิดไปอย่างเห็นได้ชัด เข้าใจผิดคิดว่าท่านอาจารย์คือพวกคร่ำครึหัวโบราณที่ชอบทำอะไรตายตัว”

เฉินผิงอันรีบยิ้มอธิบายทันใด “มิกล้ารับ ข้าเพียงแค่เคยได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟังโดยบังเอิญ อันที่จริงยังไม่เคยอ่านตำราทั้งสามเล่มมาก่อน”

ตอนที่เด็กหนุ่มพูดถึงตำราเล่มสุดท้าย เฉินผิงอันก็รีบทำมุทรากระบี่ใช้พายุปราณกระบี่สลายเสียงของเด็กหนุ่มไปในเสี้ยววินาที หลีกเลี่ยงไม่ให้เผยเฉียนกับหมี่ลี่น้อยได้ยิน พ่อครัวเฒ่าซื้อตำรามาส่งเดช ช่างทำร้ายคนได้ลึกล้ำจริงๆ

ในเมื่อเฟิงจวินและแผงดูดวงล้วนไม่อยู่แล้ว เส้าเป่าเจวี้ยนก็จากไปแล้ว เผยเฉียนจึงให้หมี่ลี่น้อยอยู่ในตะกร้าไปก่อน นางเก็บกระบองยาวมา หยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมา แบกตะกร้าขึ้นหลังอีกครั้ง รอคอยอยู่ข้างกายเฉินผิงอันอย่างสงบ เส้นสายตาของเผยเฉียนไล่มองไปบนร่างของเด็กสาวที่ชื่อฉินจื่อตูมากหน่อย ก่อนที่แม่นางคนนี้จะออกจากบ้านต้องสิ้นเปลืองแรงใจไปไม่น้อยแน่ นางสวมชุดกระโปรงสีม่วง บนมวยผมเสียบดอกไม้สีม่วง ตรงเอวก็ผูกถุงหอมสีม่วงใบเล็กปักตัวอักษรสี่คำว่า ‘จวนเทพแยนจือ’ เด็กสาวประทินโฉมอย่างประณีติบรรจง แต้มหน้าผากเป็นจุดสีทองเล็กๆ ใบหน้าขาวใส สิ่งที่พบเห็นได้ยากก็คือเด็กสาวคนนี้ยังวาดเส้นสีขาวไว้ตรงจอนหูสองฝั่ง เป็นเหตุให้เด็กสาวที่เดิมทีใบหน้าค่อนข้างจะกลม เปลี่ยนมาเป็นหน้าเรียวขึ้นหลายส่วน

เผยเฉียนมองจนปากอ้าตาค้าง หากทุกครั้งที่เด็กสาวต้องออกจากบ้านแล้วต้องประทินโฉมเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่ในบ้านตัวเองต้องใช้เวลาไปเท่าไร? ไม่กลัวว่าจะยุ่งยากหรือ?

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามหรือเอ่ยเตือนให้เด็กหนุ่มผู้นี้ระวัง กลับกันยังขยับเท้าออกห่างจากเด็กหนุ่มที่ปากไร้หูรูดหลายก้าวในชั่วพริบตา หลีกเลี่ยงไม่ให้ตนต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย

แล้วก็จริงดังคาด เด็กสาวพลันเงยหน้าขึ้น ก้าวเร็วๆ มาประชิดตัว มือหนึ่งกระชากหูของเด็กหนุ่มแล้วดึงอย่างแรง กระชากจนเด็กหนุ่มคนนั้นร้องโอ๊ยเอียงหัวตามมา มืออีกข้างของเด็กสาวยกขึ้นข่วนหน้าเด็กหนุ่มเต็มแรง ปากด่าไปด้วยว่าใครให้เจ้าพูดว่าไพร่ชั้นต่ำ เด็กหนุ่มเองก็ไม่ยอมเสียเปรียบ ยิ่งไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา ยกมือคว้ามวยผมของเด็กสาว เพียงไม่นานกุมารทองกุมารีหยกคู่หนึ่งที่มองจากใบหน้าแล้วน่าจะเป็นคนวัยเดียวกันก็กอดกันกลม พัวพัวตบตีกันอีนุงตุงนัง ถึงขั้นใช้ศอกถอง ใช้เข่ากระทุ้ง มองดูแล้วอุตลุดวุ่นวายยิ่ง

ภาพนี้ทำให้หมี่ลี่น้อยได้เปิดโลกกว้างแล้ว คนในท้องถิ่นพวกนี้ล้วนดุร้ายยิ่งนัก นิสัยไม่ค่อยดีกันเลยจริงๆ พูดไม่เข้าหูกันคำเดียวก็ข่วนหน้าจิกทึ้งกันแล้ว

เผยเฉียนมองอาจารย์พ่อแวบหนึ่ง เฉินผิงอันส่ายหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องห้าม เด็กหนุ่มเด็กสาวที่พัวพันอยู่ด้วยกันเหมือนตีกันจากฟ้าลงมายังพื้นดิน ล้มไปกองบนพื้นพร้อมกัน สุดท้ายเด็กหนุ่มใช้เท้าเหยียบบนหน้าเด็กสาว เด็กสาวก็เอาคืน เท้าหนึ่งเหยียบลงบนหน้าอกเด็กหนุ่ม อีกเท้าหนึ่งเตะเข้าที่เป้ากางเกงของเขา สุดท้ายทั้งสองฝ่ายพากันถอยกรูดไปด้านหลัง โชคดีที่ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้วิชาหมัดเท้าที่ไม่ได้ล้ำเลิศอะไร จึงไม่ได้เกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงมากนัก เด็กสาวโผเผลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นบนร่าง เด็กหนุ่มเอามือหนึ่งกุมหน้า อีกมือหนึ่งกุมหน้าอก แยกเขี้ยวลุกขึ้นยืนโงนเงนได้แล้วก็จำต้องค้อมเอวกลับลงไปอีกครั้ง

เผยเฉียนเห็นว่าเด็กสาวคนนั้นกันคิ้วแล้วค่อยวาดคิ้วทับอีกที เวลานี้ถูกเด็กหนุ่มเตะจนขนคิ้วข้างหนึ่งหลุดหายไป ดวงหน้าที่ประทินโฉมมาอย่างงดงามดุจสีสันของดอกท้อเปลี่ยนเป็นลายพร้อยเละเทะไปหมด ดอกไม้สีม่วงที่นางเสียบไว้บนศีรษะก็ถูกเด็กหนุ่มขยี้แล้วโปรยลงพื้นไปแล้วก่อนหน้านี้ เวลานี้เด็กสาวยืนอยู่บนถนนจึงดูน่าตลกอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนถุงผ้าแพรใบเล็กที่ปักสี่คำว่า ‘จวนเทพแยนจือ’ นั้น ระหว่างที่พวกเขาโรมรันกันอีนุงตุงนัง ตัวเชือกก็คลายออก แมลงนูนเขียวทองตัวหนึ่ง ใหญ่เท่าผลของต้นอวี๋ (ต้นเอม) ก่อนหน้านี้ตอนที่เด็กหนุ่มลุกขึ้นก็เห็นโอกาสจึงแอบใช้เท้าเหยียบมันไว้ใต้รองเท้า เพียงไม่นานเด็กสาวที่ชื่อเล่นคือปี้อวี้ก็ค้นพบว่าจักจั่นเขียวทองที่ตัวเองเลี้ยงไว้เพื่อความงดงามหายไป นางร้อนใจยิ่งนัก ชี้หน้าเด็กหนุ่มเอ่ยข่มขู่ “หลงปิน คืนจักจั่นเขียวทองข้ามา!”

เฉินผิงอันถอนหายใจ ดูท่าโชควาสนาอย่างหนึ่งจะเดินสวนไหล่ตนไปอีกแล้ว

ตอนอยู่ที่ภูเขาไท่ผิงของใบถงทวีป นักพรตไต้หยวนผู้ถวายงานราชวงศ์สกุลอวี๋เคยมอบของขวัญขอขมาให้เฉินผิงอันหนึ่งชิ้น ก้อนหมึกมีชื่อว่า ‘หมึกนักพรตเต๋าสนใต้ดวงจันทร์’ เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันยกให้คนอื่นไปแทน ว่ากันว่าทุกครั้งเมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์ ก้อนหมึกนั้นจะมีนักพรตน้อยตัวเล็กเหมือนแมลงวันเดินอยู่ เรียกตัวเองว่าทูตสนดำ ขุนนางภูตหมึก ภายหลังเฉินผิงอันสอบถามชุยตงซานถึงได้รู้ว่านักพรตน้อยที่เป็นหมึกโบราณซึ่งกลายมาเป็นภูตนั้น ดูเหมือนจะชื่อว่า ‘หลงปิน’ สถานที่ที่มันบรรลุมรรคาไม่ใช่ก้อนหมึกก้อนนั้น แต่เป็นตอนที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่พอดี เพราะว่ามันชอบใช้หมึกโบราณล้ำค่าหายากบนโลกก้อนแล้วก้อนเล่ามาทำเป็น ‘ท่าเรือตระกูลเซียน’ ของตน เดินทางไปโน่นมานี่ไม่แน่นอน ร่องรอยไม่อยู่กับที่ หากไม่เป็นเพราะมีโชควาสนามาเยือน ต่อให้เซียนเหรินได้หมึกไปก็ยากจะหาร่องรอยได้พบ ถือเป็นการจำแลงของมหามรรคาที่เกิดจากโชคชะตาบุ๋นมารวมตัวกัน บรรลุมรรคาด้วยวิธีที่พอๆ กับคนจิ๋วควันธูป ก้อนเงิน ‘ตั๊กแตน’ และก้อนหมึก ‘ท่าเรือ’ ทุกก้อนที่หลงปินเคยไปหยุดพักมาก่อน ล้วนจะต้องมีปราณบุ๋นซุกซ่อนอยู่ ดังนั้นตอนนั้นแม้แต่ชุยตงซานก็ยังเสียดาย แน่นอนว่าเฉินผิงอันยิ่งเสียดายมากกว่า เพราะหากนำของชิ้นนี้มอบให้กับหน่วนซู่น้อย เห็นได้ชัดว่าจะดีเยี่ยมที่สุด

บนเรือข้ามฟากมีโชควาสนาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เพียงแต่ว่าทุกจุดทุกตำแหน่งล้วนมีแต่กับดัก

“ของเล่นผุๆ ใครจะไปอยากได้ มอบให้เจ้าก็ได้” เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะพรืด ยกเท้าขึ้น จากนั้นใช้ปลายเท้าเกี่ยวจักจั่นเขียวทองขึ้นมาแล้วเตะไปทางเด็กสาว ฝ่ายหลังใช้สองมือรับไว้ เก็บใส่ไว้ในถุงผ้าแพรด้วยความระมัดระวัง ใช้เชือกมัดไว้แน่น

เด็กสาวถาม “เซียนกระบี่ว่าอย่างไร? สรุปแล้วจะเขียนบท ‘สันดานเลวทราม’ ที่ไม่ผิดแม้แต่ตัวอักษรเดียว แล้วค่อยถูกส่งออกไปนอกอาณาเขตอย่างมีมารยาท หรือว่านับแต่วันนี้ไปจะกลายเป็นศัตรูกับนครเถียวมู่ของข้า?”

เฉินผิงอันเอ่ยกับนาง “ข้าไม่เขียนอะไรทั้งนั้น แค่หวังว่าจะได้เที่ยวเล่นอยู่ที่นี่สักสองสามวัน เจ้านครบ้านเจ้าอยากไล่คนก็เชิญไล่ได้ตามสบาย หลี่สือหลางทำอะไรตามแต่ใจ มองข้าเป็นศัตรูก็ไม่เป็นไร เพราะข้าไม่ได้มองนครเถียวมู่เช่นนั้น”

เด็กสาวขมวดคิ้ว “แขกชั่วร้ายมาเยือน ไม่รู้จักดีชั่ว น่ารำคาญ น่าหงุดหงิด”

แต่แล้วนางก็พลันคลี่ยิ้มหวาน “คนหนุ่มอารมณ์ร้อน แต่ก็ถือว่าเป็นเซียนกระบี่ที่ใจกว้างไม่น้อย”

ประหนึ่งได้รับคำสั่ง นางจึงทำท่าเงี่ยหูตั้งใจฟัง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “รองเจ้านครเพิ่งจะได้ยินข่าวว่าเซียนกระบี่มาเยือน จึงต้องการให้ข้านำความมาบอกต่อแก่เซียนกระบี่ เชิญพวกท่านเดินเที่ยวชมนครเถียวมู่อย่างวางใจ แต่มีเวลาจำกัดแค่สามวันเท่านั้น สามวันให้หลังหากเซียนกระบี่ยังหาวิธีไปเยือนนครแห่งอื่นไม่ได้ ก็จะโทษนครเถียวมู่ของพวกเราที่ทำตามกฎระเบียบไม่ได้แล้ว”

เด็กหนุ่มกำลังจะเปิดปากพูด นางกลับกระทืบเท้า เอ่ยอย่างเดือดดาล “หลงปิน นี่คือการตัดสินใจของเจ้านครและรองเจ้านครบ้านข้า เจ้าอย่าได้เรื่องมาก! ไม่อย่างนั้นเดือดร้อนให้สองนครกลายเป็นอริกัน ระวังว่าแม้แต่ยศ ‘ผิงจางซื่อ’ ที่เหลือเพียงอย่างเดียวของเจ้าก็จะรักษาไว้ไม่อยู่”

เฉินผิงอันไม่อยากให้เด็กหนุ่มข้างกายต้องลำบากใจ จึงยิ้มเอ่ย “เจ้าและข้านัดมาเจอกันที่นี่ในอีกสี่วันให้หลัง”

เด็กหนุ่มพยักหน้า ตอบตกลงเรื่องนี้ เพียงแต่ว่ารอยข่วนแต่ละเส้นบนหน้ายังคงชัดเจน เด็กหนุ่มจึงเดือดดาลนัก หันไปหัวเราะเยาะหยันฉินจื่อตูที่มาจากจวนเทพแยนจือผู้นั้น “พวกเรามาคอยดูกันไปเถอะ สักวันหนึ่งหากข้ารวบรวมกองทัพใหญ่ได้สำเร็จ จะบัญชาการณ์ให้ตรงไปที่ถ้ำแยนจือ ไปกระทืบหลุมกระดูกขาวของเจ้าเลย”

สตรีประทินโฉมงดงาม มือคู่หนึ่งที่เปล่าเปลือยคอยฝนหมึกให้ เดิมทีก็เป็นเรื่องราวอันสง่างามที่เกิดขึ้นในห้องหนังสืออย่างไม่ต้องสงสัย แต่สำหรับหลงปินที่เป็นผู้กำกับดูแลซงแยน (ก้อนถ่านดำที่แข็งตัวหลังจากไม้สนไหม้เสร็จแล้ว เป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการทำหมึกซงแยน) ของขุนนาง เจ้าเมืองธูปดำ (เสวียนเซียงคืออีกชื่อเรียกหนึ่งของหมึก) ผู้นี้ กลับถือว่ามีความหมายของการช่วงชิงบนมหามรรคากันอยู่บ้างเล็กน้อย

ฉินจื่อตูร้องเพ้ยหนึ่งที “พูดจาสามหาว ไร้การอบรมสั่งสอน เจ้าคนหน้าไม่อาย!”

เด็กหนุ่มคร้านจะถกเถียงกับสตรีผมยาวความรู้สั้นผู้หนึ่ง จึงเตรียมจะไปจากนครเถียวมู่ เฉินผิงอันกลับยื่นมือมาคว้าแขนของเด็กหนุ่มกะทันหัน ยิ้มเอ่ย “ลืมถามใต้เท้าผิงจางซื่อไป สรุปแล้วเจ้ามาจากนครแห่งไหน? หากสี่วันให้หลังใต้เท้าผิงจางซื่อไม่ทันระวังถูกธุระรั้งตัวเอาไว้ ข้าจะได้ไปเป็นแขกถึงบ้านด้วยตัวเอง”

เด็กหนุ่มร้องโอดครวญไม่หยุด “เจ็บๆๆ พูดก็พูดสิ อาจารย์เฉินจะกระชากข้าไว้ทำไม?”

เฉินผิงอันยิ้มจริงใจ “ขอสัมผัสกลิ่นอายปราณบุ๋นสักหน่อย”

เด็กหนุ่มก้มหน้าเหลือบมองชายแขนเสื้อ ตรงแขนของตนที่ถูกเซียนกระบี่กุมไว้มีประกายแสงห้าสีเปล่งวาบประหนึ่งน้ำในแม่น้ำลำคลองไหลลงสู่มหาสมุทร ก่อนจะค่อยๆ มารวมตัวกัน เขาพูดหน้าเบ้ “เดิมทีทรัพย์สินของข้าก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว ยังถูกอาจารย์เฉินกวาดไปอีกส่วนหนึ่ง สภาพอันน่าอนาถเช่นนี้ของข้าจะไม่เหมือนหวังเสี่ยวเอ้อฉลองปีใหม่ แต่ละปียากจนขึ้นทุกทีหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รอให้วันหน้าข้าออกไปจากเรือข้ามฟากแล้วย่อมต้องตอบแทนใต้เท้าผิงจางซื่ออยู่ไกลๆ แน่นอน”

เด็กหนุ่มดวงตาเป็นประกาย ไม่จงใจปิดบังภาพเหตุการณ์อันลี้ลับมหัศจรรย์ตรงชายแขนเสื้อของตัวเองอีก “จริงหรือ?!”

เพียงแต่ไม่รอให้เด็กหนุ่มวางแผนร่วมกับเฉินผิงอันไปมากกว่านั้น ร่างของเด็กหนุ่มก็เซถอยหลังไปหนึ่งก้าว เรือนกายหายวับไปยังนครแห่งอื่น ได้แต่รีบร้อนพูดกับเฉินผิงอันหนึ่งประโยคที่คล้ายกับเป็นคำทำนาย “ไก่ขันบนฟ้า หมาเห่ากลางเมฆ”

นครจี (ไก่) เฉวี่ยน (หมา)? ตั้งชื่ออย่างขอไปทีเกินไปหน่อยหรือไม่? หากเป็น ‘นครเต๋อเต้า’ (บรรลุมรรคา) จะไม่ฟังไพเราะกว่าหรอกหรือ? หรือคิดว่าชื่อนี้ยิ่งใหญ่เกินไป ไม่เหมาะสม?

เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ ปลายนิ้วข้างขวามีแสงห้าสีกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกัน ปราณบุ๋นเข้มข้นประหนึ่งมีบุปผาผลิบานที่ปลายนิ้ว สุดท้ายถูกเฉินผิงอันเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ

ฉินจื่อตูไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ในนครเถียวมู่ พวกคนที่ผ่านทางมาต่างก็อาศัยความสามารถของตัวเองช่วงชิงโชควาสนากันไป ไม่มีอะไรให้ต้องประหลาดใจ เพียงแต่นางกลับมองเผยเฉียนที่มัดผมเป็นมวยกลมกลางศีรษะเผยหน้าผากนูนใสด้วยสายตาซับซ้อน สุดท้ายอดไม่ไหวจึงเอ่ยโน้มน้าวว่า “แม่นางน้อย นักรบยอมตายเพื่อสหายที่รู้ใจ สตรีตั้งใจประทินโฉมเพื่อคนที่รัก หากเจ้าแต่งตัวดีๆ สักหน่อยก็ถือว่าเป็นสตรีที่รูปโฉมไม่เลว เหตุใดถึงได้แต่งตัวลวกๆ เช่นนี้ ดูจากที่เซียนกระบี่ท่านนี้ถึงกับรู้ชื่อเล่นของข้าแล้ว ก็น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่รู้เรื่องของสตรีในห้องหอเป็นอย่างดี เขาไม่สอนเจ้าบ้างหรือไร? เจ้าก็ไม่ตำหนิเขาเลยหรือ?”

ออกจากบ้านมาท่องเที่ยว แต่ไหนแต่ไรมาเผยเฉียนก็แต่งกายเพื่อความคล่องตัว ไม่คิดจะประทินโฉมแม้แต่น้อย ทรงผมก็ยิ่งเรียบง่าย เวลานี้นางจึงพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ไม่ต้องหรอก คล่องตัวสักหน่อย ไม่เป็นปัญหาอะไร”

ฉินจื่อตูเอ่ยอย่างเจ็บปวดหัวใจ “ไม่เป็นปัญหา? จะไม่เป็นปัญหาได้อย่างไร? ทุกคนล้วนมีจิตใจรักความสวยความงาม สตรีเพิ่มความงามให้ตัวเองก็ไม่ใช่หลักการถูกต้องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินหรอกหรือ?”

เผยเฉียนมองเด็กสาวที่ตอนนี้สภาพใบหน้าอนาถนักก็กลั้นยิ้มเอาไว้ ส่ายหน้าไม่เอ่ยอะไรอีก

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนโบราณกล่าวว่ากลิ่นอายความสงบสง่างามแห่งฟ้าดิน ล้วนรวมกันอยู่ในห้องหอของสตรี ยามสตรีบนโลกมีเวลาว่างก็เหมาะจะคุยเรื่องการประทินโฉมกันจริงๆ เมื่อครู่แม่นางปี้อวี้ก็กล่าวแล้วว่าสตรีตั้งใจประทินโฉมเพื่อคนที่รัก ในเมื่อฟ้าดินคือผู้มีความสามารถยิ่งใหญ่อันดับหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าสตรีจะประทินโฉมเข้มหรืออ่อน ก็ต้องดูที่ความเหมาะสม จึงจะเหมาะเจาะตรงใจที่สุด”

ครึ่งหนึ่งเป็นคำพูดจากใจจริงของเฉินผิงอัน ขอแค่ตัวเผยเฉียนเองอยากจะคบค้ากับเครื่องประทินโฉมทั้งหลาย อย่าว่าแต่แต่งหน้าด้วยสีเข้มสดใสเลย ต่อให้แค่แต่งหน้าอ่อนๆ ก็ยังไม่เป็นไร อายุอย่างเผยเฉียนนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่แม่นางน้อยถ่านดำอย่างในปีนั้นอีกแล้ว ก็ควรจะแต่งหน้าแต่งตัวให้ดีจริงๆ แน่นอนว่าหากตัวของเผยเฉียนเองไม่ยินดี ชอบจะเปลือยหน้าพบปะผู้คนก็ไม่ได้มีปัญหาตรงไหน ส่วนคำพูดอีกครึ่งหนึ่งนั้น แน่นอนว่าเป็นถ้อยคำเกรงใจที่เฉินผิงอันเอ่ยกับแม่นางฉินจวนเทพแยนจือในตำราผู้นี้

ฉินจื่อตูอึ้งตะลึงไป ถึงกับไม่มีท่าทีเย็นชาหยิ่งยโสอย่างตอนที่พบกันคราแรกอีกแล้ว นางยอบกายคารวะเฉินผิงอัน อีกทั้งยังเปลี่ยนคำเรียกขานเป็นครั้งแรก ยิ้มหวานเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คำพูดประโยคนี้ของอาจารย์เฉินทั้งเหมาะสมทั้งตรงใจ ทำให้คนฟังลืมความธรรมดาสามัญไปได้เลย ถ้าอย่างนั้นบ่าวก็ขออวยพรล่วงหน้าให้สามวันต่อจากนี้อาจารย์เฉินราบรื่นสมใจหวัง”

เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยขอบคุณนางหนึ่งคำ

ฉินจื่อตูถาม “อาจารย์เฉินเคยพกผงเครื่องประทินโฉมติดตัวหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เคย”

เห็นได้ชัดว่าพลาดโชควาสนาไปอีกอย่างหนึ่งแล้ว

นางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม นางเองก็รู้สึกเสียดายนิดๆ เช่นกัน จากนั้นเรือนกายก็เปลี่ยนมาเป็นพร่าเลือน สุดท้ายกลายเป็นกลุ่มแสงเจ็ดสีที่แผ่กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทุกตรอกทุกหัวถนน แสงเจ็ดสีคล้ายเซียนเหรินที่บินทะยาน จากนั้นก็พุ่งไปยังทิศทางต่างกัน ไม่เหลือเบาะแสร่องรอยใดๆ ไว้ให้กับเฉินผิงอัน

——