ตอนที่ 3359

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3359 : พบเจอสัตว์เทพ!

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองสํารวจผู้มาใหม่ทั้ง 2 สายตาของผู้มาใหม่ทั้ง 2 ก็กวาดมองพินิจพวกตัวนหลิงเทียนทั้ง 3 เช่นกัน

 

กับชายร่างกํายําสูงใหญ่นั่นยังไม่เท่าไหร่ แต่ทว่าสตรีร่างผอมแห้งทั้งเตี้ยแคระที่นั่งอยู่บนไหล่ชายร่างกํายํานั่น สายตาที่นางใช้มองต้วนหลิงเทียน ทําราวกับพบเจอสมบัติล้ำค่า ลูกตาเป็นประกายจ้า ใบหน้าฉายชัดถึงความตื่นเต้นยินดีจนน้ำลายแทบไหลอยู่รอมร่อ

 

เหตุไฉนที่นางถึงออกอาการขนาดนี้ เป็นเพราะในร่างนางมีเทพเบญจธาตุอย่างปฐพีเทพแรกกําเนิดฟ้าดินขั้นที่ 6 อยู่ และปฐพีเทพแรกกําเนิดฟ้าดินขั้นที่ 6 ในร่างนางก็บอกกล่าวแก่นางเรียบร้อย ว่าต้วนหลิงเทียนก็มีปฐพีเทพแรกกําเนิดฟ้าดินขั้นที่ 6 เช่นกัน!

 

“ไอ้หนู ปฐพีเทพแรกกําเนิดฟ้าดินในร่างเจ้า ท่านย่าผู้นี้ต้องการมัน!”

 

หญิงชราคลี่ยิ้มแสยะลี้ลับออกมา รอยยิ้มนี้ของนางช่างแลดูชั่วร้าย พาลให้ผู้คนอดรู้สึกขนลุกไม่ได้

 

ได้ยินวาจาเผด็จการของหญิงชรา ต้วนหลิงเทียนเพียงคลี่ยิ้มบางๆเป็นการตอบเท่านั้น

 

“ฆ่ามันเสีย!!”

 

พอเห็นต้วนหลิงเทียนยังยิ้มหน้าระรื่นอยู่ได้ สีหน้าหญิงชราก็มีดลงทันที พลันตะโกนออกมาเสียงเย็นดังลั่น “ต้าจ้วง นังหนูทั้ง 2 นั่นข้าปล่อยให้เจ้า…ส่วนข้าจักจัดการไอหนุ่มหน้าขาวนี่เอง!”

 

ต้วนหลิงเทียนในปัจจุบันก็อยู่ในรูปลักษณ์ชายหนุ่มหน้าขาวจริงๆ ยังใช้นามแฝงว่า เซี่ยเฟยหวู่

 

ไม่ได้มีส่วนไหนคล้ายกับรูปลักษณ์เดิมของเขาเลย

 

“ได้”

 

พอเสียงของหญิงชราดังจบคํา ร่างผอมบางเตี้ยแคระของนางก็โจนทะยานออกจากไหล่ชาย ร่างยักษ์ปานแมวป่า ด้านชายร่างยักษ์พอขานรับสั้นๆ ก็ปะทุพลังกล้าแข็ง ย่ําเท้าก้าวหมุนๆเข้าใส่ ฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินด้วยความเร็วผิดกับขนาดตัวเทอะทะ! ขณะคนตะบึงเข้ามาทั่วร่างยังปรากฏเปลวเพลิงลุกโชนเร่าๆ เผยให้รู้ว่ามันเชี่ยวชาญกฏแห่งไฟ!

 

“ฮ่วนเอ๋อ ตัวโง่งมนี่ให้ข้าจัดการเอง…เจ้าไปไล่ตีหญิงชรานั่นให้หายซ่าเถอะ!”

 

พอเสียงผ่านพลังของเสี่ยวจินดังจบคํา ร่างเด็กหญิงตัวน้อยก็กลับกลายเป็นเงาเลือนรางสายหนึ่ง ทะยานแหวกฟ้าจี้สวนเข้าใส่ชายร่างใหญ่อย่างไร้ครั่นคร้าม

 

ด้านฮ่วนเอ๋อ หลังได้ยินคําพูดของเสี่ยวจิน คนก็อันตรธานหายไปในความว่างเปล่าทันที ปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ด้านหลังหญิงชราร่างแคระผอมแห้งแล้ว

 

หญิงชราพอจับสัมผัสบางสิ่งด้านหลังได้ ก็ปะทุพลังตบฟาดฝ่ามือที่งองุ่มเป็นกรงเล็บกลับหลังทันที

 

เปรี้ยะ! เปรี้ยะ! เปรี้ยะ! เปรี้ยะ! เปรี้ยะ! เปรี้ยะ!

 

และกฏที่หญิงชราเชี่ยวชาญดูเหมือนจะเป็นกฎน้ำแข็งที่แปรมาจากกฏแห่งน้ำ กรงเล็ บที่ตบฟาดกลับหลังไปปลดปล่อยไอเย็นยะเยือกราวกับจะแช่แข็งได้กระทั่งห้วงอากาศ พาลให้อุณหภูมิโดยรอบลดต่ําลงถึงจุดเยือกแข็งในเสี้ยวพริบตา

 

อย่างไรก็ตามแม้พลังกรงเล็บเยือกแข็งของนางจะร้ายกาจ แต่ก็ร้ายกาจไม่เท่าพลังมิ ติของฮ่วนเอ๋อ ไอเย็นเยือกพอพานพบกับห้วงมิติบิดเบือนทั้งสนามแม่เหล็กก็ถูกทําลายหายไปไม่ยากเย็น

 

หญิงชราเห็นว่าศัตรูไม่ง่ายรับมือ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง ร่างผอมแคระเปล่งไอเย็นออกมาไม่หยุดยั้ง รวมรั้งพลังโจมตีใส่ฮ่วนเอ๋อไม่หยุด!

 

ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งคู่ก็นับว่าประมือกันอย่างสูสีไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ

 

ส่วนอีกด้าน เดิมทีชายวัยร่างใหญ่ปานยักษ์เถื่อนก็สูสีกับเสี่ยวจิน ทว่าพอเสียงคํารามต่ำหนึ่ง ดังขึ้น เบื้องหน้าชายร่างใหญ่ก็ปรากฏหนูสีทองตัวเขื่องแลดูดุร้าย อ้าปากหมีมาออกกว้าง พุ่งเข้า มาหมายขย้ำกลืนชายร่างยักษ์ในหนึ่งคํา

 

“ฮว่าสสส์!!”

 

พร้อมๆกันกับที่เสี่ยวจินแปลงร่างพุ่งขย้ำเข้ามา ชายร่างใหญ่เห็นท่าไม่ดีก็คํารามออกมาเสียง แหบ จากนั้นร่างแต่เดิมที่ใหญ่อยู่แล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นก่อนจะแปลงสภาพกลับกลายเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน เต็มไปด้วยกิ่งก้านแข็งแกร่งทั้งใบไม้ฟูฟองใบแม้แต่ละใบยังเรืองแสงจ้าเปล่งคลื่นพลังออกมาเป็นระลอกๆ ต้านทานการโถมเข้ามาของเสี่ยวจินอย่างแข็งขัน

 

ครู่ต่อมา หนูสีทองตัวเองก็วูบหายซ้ายทีขวาที ตวัดกรงเล็บฟันฟาดไม่หยุด ต้นไม้ใหญ่ก็ตวัดกิ่งก้านเข้าต้านรับจนใบไม้ปลิวว่อนกระจุยกระจาย ยากรู้แพ้รู้ชนะ

 

อย่างไรก็ตาม อีกด้านนั้น หลังหญิงชราร่างผอมแคระ ตระหนักว่าไม่อาจทําอะไรฮ่วนเอ๋อที่เก่งกฏมิติได้เลย สุดท้ายก็คืนร่างที่แท้จริง เป็นสัตว์อมตะรูปลักษณ์คล้ายนกอินทรีย์สีดําสนิท ดวงตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

 

ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!

 

….

 

สัตว์อมตะ อินทรีย์สีดําตัวเขื่องนี้ จากกลิ่นอายสายเลือดเห็นชัดว่าเป็นสัตว์อมตะชั้นยอดเช่ นกัน ยามปีกใหญ่ทั้ง 2 ข้างสะบัดไปทางฮ่วนเอ๋อ ก็ปรากฏคมมีดสายลมกรีดฟ้าพุ่งเข่นฆ่าเข้ามาอ ย่างอํามหิต

 

เห็นฉากดังกล่าวสีหน้าฮ่วนเอ๋อยังคงเฉยเมยไร้แยแส

 

สัตว์อมตะชั้นยอดแล้วอย่างไร?

 

นางเป็นสัตว์เทพ!

 

“พี่หลิงเทียน ให้ปฐพีเทพแรกกําเนิดฟ้าดินลงมือได้เลย”

 

เผชิญหน้ากับหญิงชราที่คืนร่างที่แท้จริง ด้านหลังฮ่วนเอ๋อพลันปรากฏเงาร่างมหึมาปานขุน เขาย่อมๆขึ้น แน่นอนว่าเงาร่างดังกล่าวก็คือจิ้งจอกน้ําแข็งพันมายา! ทันทีที่ปรากฏออกมากลิ่นอายสายเลือดของสัตว์เทพอันสูงศักดิ์ก็กําจายออกไปตามธรรมชาติ พาลให้สองตาของอินทรีย์ทมิฬหดแคบลงเร็วไว

 

“เจ้า..เจ้าเป็นสัตว์เทพ!!”

 

หลังตระหนักได้ว่าฮ่วนเอ๋อเป็นถึงสัตว์เทพ ลูกตาอินทรีย์ทมิฬอันเป็นร่างที่แท้จริงของหญิงชราก็หดเล็กลง ฉายชัดถึงความหวาดหวั่น จากนั้นไม่รอช้าสืบไปทั่วร่างอินทรีย์สีมืดพลันปรากฏ แสงพลังสีกากีออกมาปกคลุม กลิ่นอายกฎแห่งธาตุดินแผ่ซ่านออกมาขุ่นขลั่ก!

 

“คิดว่าข้าไม่มีตัวตนหรือ?”

 

อย่างไรก็ตามพลังสีกากีทั่วร่างอินทรีย์ไม่ทันสําแดงอานุภาพอันใด ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวขึ้นด้วยน้ําเสียงเฉยเมย จากนั้น จากนั้นพลังมิติขุมหนึ่งก็อุบัติออกจากความว่างเปล่า สะกดพลังสีกากีทั่วร่างอินทรีย์ได้ชะงัด!

 

พริบตาต่อมา ร่างต้วนหลิงเทียนก็เคลื่อนย้ายข้ามมิติวูบมาผุดโผล่ด้านหลังอินทรีย์ตัวเขื่อง!

 

วู้มมม!!

 

พร้อมกันนั้นเอง ดวงตาจิ้งจอกน้ําแข็งพันมายาที่อยู่ด้านหลังฮ่วนเอ๋อก็เปล่งประกายลี้ลับ พลังวิญญาณพิสดารขุมหนึ่งสาดส่องออกมาปกคลุมไปทั่วร่างอินทรีย์ทมิฬตัวเขื่องในพริบตา

 

ทันใดนั้น ดวงตาของอินทรีย์ทมิฬก็กลายเป็นหมองหม่นไร้ประกาย แลดูเลื่อนลอยไปอย่างไรชอบกล

 

วิ้งงง!!

 

และในขณะที่สติของอินทรีย์ทมิฬหลุดลอย ในมือต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏแสงรุ้งสองสาดควบรวมเป็นกระบี่ ยามถ่ายทอดพลังมิติสีเทาลงไป กระบี่สีรุ้งก็เปล่งแสงพลังสว่างเจิดจ้า พลังอํานาจหนุนเสริมของอุปกรณ์เทพขั้นสูงพลันปะทุออกมาเร็วไว ยังผลให้พลังสภาวะกระบี่กลายเป็นแหลมคมราวกับจะสะบั้นได้ทุกสิ่ง

 

ราวกับตระหนักได้ถึงอันตรายใหญ่หลวงที่กําลังกล้ำกรายเข้าใส่ร่างอินทรีย์ทมิฬตัวเขื่อง พลังสีกากีที่ถูกสะกดไว้ก่อนหน้า พลันปะทุขึ้นมาสุดกําลังสลายพลังมิติกักกันรอบกาย! เป็นปฐพีเทพ แรกกําเนิดฟ้าดินในร่างอินทรีย์ทมิฬตระหนักได้ว่าร่างต้นตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงฝืน เร่งเร้าพลังออกมาเพื่อต้านทานป้องกันร่างต้นของมันทันที!!

 

“ฮี่ๆๆ… ลําพังตัวเจ้าเองยังจะเอาตัวไม่รอด ยังจะมีกะใจห่วงร่างต้นของเจ้าอีกเรอะ? ตัวโง่งม!”

 

และในพริบตาที่แสงพลังสีกากีปะทุขึ้นมาปกคลุมทั่ววร่างอินทรีย์ทิฬตัวเขื่อง เสียงเด็กน้อยเจื้อยแจ้วราวกับยังไม่หย่านมมารดาพลันดังขึ้นอ่างเริงร่า พร้อมกันนั้นแสงกากีหนึ่งก็พุ่งออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนฉับไว มุดหายเข้าไปในร่างอินทรีย์ทมิฬตัวเขื่องทันที

 

“ไม่!!”

 

เมื่อแสงพลังสีกากีทั่วร่างอินทรีย์ตัวเขื่องดับมอดไป เสียงชราอันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง พลันร้องโหยหวนออกมาจากปากอินทรีย์ทมิฬตัวเขื่อง!

 

เพราะตอนนี้นางพลันตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น อีกทั้งปฐพี่เทพแรกกําเนิดฟ้าดิน ก็หมดสิ้นหนทางช่วยเหลือนางได้

 

ฉัวะ!!

 

ทว่าใดๆล้วนสายไป ประกายแสงสีรุ้งปนเทาลากจากบนลงล่างด้วยความเร็ว ผ่าร่างอินทรีย์ท มิฬตัวเขื่องเป็นสองเสี่ยง จากนั้นพลังมิติก็กระหน่ําซ้ําจนร่างสองเสี่ยงดังกล่าวถูกปนทํา ลายจนแหลกเป็นผุยผง คงเหลือแต่ดวงแสงสีกากี 2 ดวงกําลังปะทะกันอย่างดุเดือดคู่คู่กลางหาว

 

อย่างไรก็ตามฉากปะทะดุเดือดคู่คี่เพียงดํารงอยู่ไม่นาน

 

เพราะไม่ทันไร เหล่าเทพเบญจธาตุอีก 4 ธาตุในร่างต้วนหลิงเทียนก็ลงมือเคลื่อนไหวอย่าง พร้อมเพรียง

 

ทั้งหมดเป็นเทพเบญจธาตุขั้นที่ 7 แล้ว ความจริงอาศัยแค่ 1 ในนั้นลงมือก็มากพอจะบดขยี้ อีกฝ่ายให้ย่อยยับได้ง่ายๆ…ตอนนี้พอทั้ง 4 ลงมือพร้อมเพรียง ปฐพีเทพแรกกําเนิดฟ้าดินของศัตรูก็สิ้นท่าลงในชั่วพริบตา ในใจยังร่ำร้องโอดครวญออกมาอย่างเสียขวัญก่อนดับสูญ “ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 7 เพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 7 พฤกษาเทพครองสวรรค์ขั้นที่ 7 วารีเทพชําระ โลกาขั้นที่ 7 นี่ข้าพบเจอนรกอันใด!?!”

 

ไร้ซึ่งหนทางต่อต้านอย่างสิ้นเชิง สุดท้ายปฐพีเทพแรกกําเนิดฟ้าดินของต้วนหลิงเทียนก็กลืนกินอีกฝ่าย และวิวัฒน์พัฒนาสู่ขั้นที่ 7 ได้อย่างราบรื่น

 

“อุวะฮ่าๆๆ…ในที่สุดข้าก็กลายเป็นขั้นที่ 7 ได้แล้ว!!”

 

เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ํานมของปฐพีเทพแรกกําเนิดฟ้าดินโพล่งดังขึ้นอย่างร่าเริง แลดูตื่น เต้นจนออกนอกหน้านอกตานัก!

 

ในอดีตนั้น ตอนมันเห็นเทพเบญจธาตุคนอื่นๆ พัฒนากันไปเป็นขั้นที่ 7 หมดแล้ว กระทั่งเพลิง เทพโกลาหลยังจวนเจียนจะกลายเป็นขั้นที่ 8 เต็มที่ มันก็รู้สึกสลดหดหูอย่างบอกไม่ถูกได้แต่นั่งซึมกระทือในโลกใบเล็กภายในกายต้วนหลิงเทียน ใช้นิ้วเล็กๆวาดวงกลมบนพื้นอย่างเหงาๆข้างพฤกษาเทพกําเนิดชีพเงียบๆ

 

ตอนนี้พอมันพัฒนาเป็นขั้นที่ 7 เหมือนคนอื่นๆได้ราบรื่น ไหนเลยจะไม่ตื่นเต้นยินดีได้

 

“เหมี่ยนเหนียง!”

 

ส่วนอีกด้าน ต้นไม้สูงตระหง่านที่ปะทะกับเสี่ยวจิน พอพบว่าอินทรีย์ดําตัวเขื่องถูกฆ่าตาย มันก็คํารามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด พลังทั่วร่างปะทุสูงขึ้นในฉับพลัน ราวกับรีดเค้นกําลังออกมา ใช้ถึง 12 ส่วน กระทั่งยังเป็นฝ่ายมีเปรียบเสี่ยวจินขึ้นมาชั่วขณะ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในมือต้วนหลิงเทียนพุ่งทะยานแหวกฟ้ามาดั่งลําแสง มันก็ไม่อาจทานทนได้แม้เศษเสี้ยววินาที ถูกกระบีบินของตัวนหลิงเทียนจบชีวิตลงได้อย่างง่ายดาย

 

“ไปกันต่อเถอะ”

 

หลังจัดการสัตว์อมตะกับต้นไม้อมตะแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินไปหาศัตรูคนอื่นต่อ

 

และเป็นธรรมดาไม่ว่าพวกเขาพบเจอผู้โชคร้ายคนใด ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่อาจทําอะไรได้เลย ได้ แต่ตกตายอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ

 

ในบรรดาศัตรูที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอ บางคนก็มีเทพเบญจธาตุ อย่างไรก็ตามในบรรดาเทพ เบญจธาตุที่พบเจอหลังจากนั้นอีก 3 ธาตุแม้จะเป็นขั้น 6 แต่ไม่มีเพลิงเทพโกลาหลอยู่เลย ทําให้เพลิงเทพโกลาหลยังไม่อาจยกระดับไปเป็นขั้นที่ 8 ได้

 

“วารีเทพชําระโลกาขั้นที่ 7!”

 

และหลังจากเข้ามาในสมรภูมิอเวจีกว่า 10 ปี ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้พบเจอเทพเบญจธาตุที่อยู่เหนือขั้นที่ 6 เสียที ยังเป็นวารีเทพชําระโลกาขั้นที่ 7

 

“วารีเทพชําระโอกาขั้นที่ 7?”

 

ร่างต้นวารีเทพชําระโลกาขั้นที่ 7 มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนมาในชุดคลุมสีฟ้ารูปร่างสูง ใหญ่ หน้าตาแลดูเย็นชาน่าเกรงขาม สองตาของมันบัดนี้มองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความ โลภอันยากจะปกปิด

 

ในขณะที่วารีเทพชําระโลกาภายในร่างด้วนหลิงเทียนค้นพบวารีเทพชําระโลกาในร่างอีกฝ่าย วารีเทพชําระโลกาในร่างอีกฝ่ายก็ค้นพบวารีเทพชําระโลกาในร่างด้วนหลิงเทียนเช่นกัน

 

“พี่สาวสุ่ย ท่านมีโชคแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับวารีเทพชําระโลกาในร่างด้วยความยินดี

 

“อย่าได้ประมาท”

 

ทว่าเสียงวารีเทพชําระโลกาที่ดังตอบกลับเขา มันเต็มไปด้วยความจริงจังยิ่งกว่าครั้งใด “วารี เทพชําระโลกาขั้นที่ 7 ในร่างอีกฝ่าย ทําให้ข้าสัมผัสได้ถึงความแตกต่างราวกับมันสร้างร่างต้น นี้ขึ้นมาให้เป็นที่อยู่ที่ดีที่สุดสําหรับมัน หากข้าเดาไม่ผิด วารีเทพชําระโลกานั่นสมควรอยู่กับเจ้า นั่นมาตั้งแต่ก่อนที่มันจะเกิดเสียอีก…อยู่กับเจ้านั่นตั้งแต่ในครรภ์มารดา!”

 

“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้านั่นมิใช่มนุษย์… มันอาจจะเป็นสัตว์เทพ!”

 

พอเสียงวารีเทพชําระโลกาดังจบคํา ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็อดหดเล็กลงไม่ได้

 

สัตว์เทพ!?

 

จนถึงตอนนี้สัตว์เทพที่เขาพบเจอ ก็ไม่มีใครอื่นนอกจากฮ่วนเอ๋อ!

 

เขาได้พบสัตว์อมตะชั้นยอดมามากมาย แต่ทว่าสัตว์เทพที่เขาเคยเจอมีแค่ฮ่วนเอ๋อคนเดียวเท่า

 

ทว่าตอนนี้เขากลับได้พบเจอเป็นคนที่สอง? แถมยังเป็นศัตรู?

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน เจ้านั่นมันยังไงไม่รู้ แต่มันทําให้ข้ารู้สึกถึงอันตราย…”

 

ทันใดนั้นเอง เสียงผ่านพลังของเสี่ยวจินพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ และเสียงของเสี่ยวจินก็ไม่เหลือความขี้เล่นอะไรอีกเลย ฟังดูจริงจังทั้งตึงเครียดมาก ซึ่งต้วนหลิง เทียนไม่ค่อยได้เห็นเสี่ยวจินเป็นแบบนี้สักเท่าไหร่

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ว่าไม่พ้นเสี่ยวจินต้องสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของอีกฝ่าย

 

“เจ้านั่นมันเป็นสัตว์เทพน่ะ”

 

ต้วนหลิงเทียนยกล่าวผ่านพลังบอกเสี่ยวจิน

 

“อะไร!?”

 

อย่างไรก็ตามแม้เสี่ยวจินจะตกใจกับคํากล่าวของต้วนหลิงเทียนจนขวัญหนีดีฝ่อ แต่พอตั้งสติ ได้ สองตาที่นางใช้มองจ้องอีกฝ่ายยิ่งมาก็ยิ่งทอประกายวับวาว “พี่ใหญ่ วันนี้ไม่แน่ข้าอาจจะมี โชคครั้งใหญ่แล้วล่ะ?”

 

“มีโชคครั้งใหญ่? โชคครั้งใหญ่อะไรเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามผ่านพลังด้วยความงุนงง

 

“ฮิฮิ พี่ใหญ่ไปตีมันให้ตายก่อน”

 

เสี่ยวจินกล่าว

 

“ พี่หลิงเทียน”

 

ตอนนี้เองฮ่วนเอ๋อก็ส่งเสียงผ่านพลังมาหาต้วนหลิงเทียนเช่นกัน “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ทําให้ข้ารู้ สึกอันตรายแปลกๆ ท่านระวังตัวด้วย”

 

ถึงแม้ฮ่วนเอ๋อจะเป็นสัตว์เทพ แต่นางเชี่ยวชาญเรื่องภาพมายา ไม่เหมือนกับสัตว์อ มตะชั้นยอดอย่างเสี่ยวจินที่มีประสาทรับกลิ่นเลิศล้ำ โดยเฉพาะนางยังเป็นสัตว์อมตะประเภทหนู ซึ่งมีสัญชาตญาณตื่นตัวกับอันตรายมากกว่าสัตว์อมตะประเภทอื่นเป็นทุน ทําให้เสี่ยวจินรับรู้ถึงภัยอันตรายได้เร็วกว่าฮ่วนเอ๋อมาก

 

“ฮ่วนเอ๋อเจ้านั่นมันเป็นเหมือนเจ้ามันเป็นสัตว์เทพ”

 

ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังบอกฮ่วนเอ๋อ

 

พอกล่าวจบคํา ไม่รอให้ฮ่วนเอ๋อได้สติ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองชายวัยกลางคนเบื้องหน้า เอ่ยออกเสียงเบาว่า “เจ้านับเป็นสัตว์เทพคนแรกที่ข้าพบเจอในสมรภูมิอเวจี”

 

“เจ้าคืนร่างที่แท้จริงเถอะ…หาไม่แล้วขากลัวว่าเจ้าจะไม่มีแม้แต่โอกาสรับมือข้า”

 

คําพูดอหังการของต้วนหลิงเทียน นับว่าสร้างความประหลาดใจให้กับชายวัยกลางคนไม่น้อย