บรรยากาศ ณ ที่นั้นตึงเครียดขึ้นมา อากาศประหนึ่งแข็งทื่อหยุดชะงัก

ราชันเผิงปีกทองน้อยกับหยวนฝ่าเทียนต่างเงียบเชียบไร้คำพูด สะท้านกับวิธีอันนองเลือดแข็งกร้าวของหลินสวิน ในใจทั้งซาบซึ้งและเป็นกังวล

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป หลินสวินก็รังแต่จะถูกผู้สืบทอดที่มาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราเหล่านี้แค้นเข้ากระดูก ผลลัพธ์ไม่อาจคาดคิดได้!

พวกกู่ฉางซินสีหน้าแปรผันไม่ว่างเว้น

ในใจพวกเขาเจ็บปวด โกรธเคืองยากทานทน ถูกหลินสวินใช้ผู้แข็งแกร่งในขุมอำนาจของพวกเขามาข่มขู่ให้ลำบากใจ ทำให้พวกเขาต่างอัดอั้นจนอยากกระอักเลือด

เดิมทีสถานการณ์นี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาตั้งใจเตรียมขึ้น แต่ยังไม่ทันเปิดฉาก หลินสวินก็แข็งกร้าวเช่นนี้แล้ว

“หรือในสายตาพวกเจ้าแล้ว ชีวิตของคนที่ถูกข้าจับพวกนี้ก็ไม่สลักสำคัญเช่นนี้หรือ”

หลินสวินเอ่ยปากแล้ว เสียงเจือความเยาะเย้ย

พวกกู่ฉางซินหน้าเปลี่ยนสี คำพูดนี้ของหลินสวินร้ายกาจไปแล้ว หากแพร่กลับไปยังขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขา จะต้องมีผลกระทบไม่ดีต่อพวกเขาแน่

“ปล่อยพวกเขา แล้วข้าจะปล่อยสองคนนี้ไปเหมือนกัน”

เถาเจี้ยนสิงเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ เสียงเหมือนรอดไรฟันออกมา

เชลยเหล่านั้นต่างลอบถอนหายใจโล่งอก มดตัวจ้อยยังรักตัวกลัวตาย นับประสาอะไรกับผู้ฝึกปราณที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าพึงพอใจในมหามรรคมานานแล้วอย่างพวกเขา

เผชิญหน้ากับความตายที่แท้จริง พวกเขารังแต่จะยิ่งกลัวตาย!

“ไม่ได้ พวกเจ้าปล่อยพวกเขาออกมาก่อน”

หลินสวินยื่นคำขาด

“เจ้า…”

เถาเจี้ยนสิงโกรธเกรี้ยว

ไม่ทันรอให้เขาพูดจบ เสียงปึงดังขึ้น ข้างหลังหลินสวินก็มีเชลยจากเผ่านักรบเถาอู้อีกคนตายฉับพลัน เลือดสาดกระเซ็น

ภาพนี้กระตุ้นให้เถาเจี้ยนสิงตาแทบถลน ใกล้จะคลุ้มคลั่ง

หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าบอกแล้ว พวกเจ้าปล่อยพวกเขาออกมาก่อน อีกอย่างข้าก็อยู่ที่นี่ หรือพวกเจ้ายังกังวลว่าข้าจะหนีไป”

พวกกู่ฉางซินสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ

ในที่สุดพวกเขาก็ปรึกษากันลับๆ แล้วได้ข้อสรุปเป็นเอกฉันท์ ปล่อยพวกเขา!

นี่ทำให้คนอื่นในที่นั้น รวมถึงผู้แข็งแกร่งที่เป็นเชลยของหลินสวินเหล่านั้นต่างถอนหายใจยาวโล่งอก

ชีวิตของผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณสองคนต่ำต้อยปานไหน จะสำคัญเทียบได้กับชีวิตของผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่อย่างพวกเขาได้อย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ปล่อยสองคนนี้ไป เขาหลินสวินคิดว่าวันนี้จะพาพวกพ้องของตนจากไปด้วยกันได้จริงๆ หรือ

ละเมอเพ้อพก!

ฟุบ!

เหล็กหมาดที่เสียบเข้าไปในร่างของราชันเผิงปีกทองน้อยถูกถอนออก ในขณะเดียวกันสายโซ่ที่เจาะเข้าไปตรงกระดูกสะบักของหยวนฝ่าเทียนก็ถูกดึงออกมา

ทั้งสองโซเซลุกขึ้นยืน สีหน้างุนงง ความรู้สึกรอดชีวิตหลังพบเคราะห์เช่นนี้ทำเอาพวกเขาแทบกังขาว่ากำลังฝันไป

เดิมทีพวกเขาต่างคิดว่าจะไม่มีทางรอดอีกแล้ว…

“พี่หลิน ขอบคุณมาก…”

หยวนฝ่าเทียนริมฝีปากสั่นระริก เสียงแหบแห้ง ซาบซึ้งใจหมายจะพูดอะไรแต่ก็หยุดลง

ราชันเผิงปีกทองน้อยเดินไปข้างหน้า ตบไหล่หลินสวิน ไม่ได้พูดสักประโยค แต่ขอบตาเขากลับมีความรู้สึกที่เกินกว่าคำพูดจะบรรยายได้ผุดขึ้นมา

“ไม่เป็นไร มีข้าอยู่ ฟ้าไม่ถล่มลงมาหรอก! รอฆ่าเจ้าพวกเกะกะลูกตาพวกนี้แล้ว ข้าค่อยร่วมดื่มกับทั้งสองคน”

หลินสวินพูดพลางรับทั้งสองเข้าไปในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด มีพวกเจ้าคางคกกับอาหลู่ช่วยรักษาบาดแผลให้พวกเขาอยู่แล้ว

“ตอนนี้เจ้าควรปล่อยพวกเขาได้แล้ว!”

กู่ฉางซินตะคอกลั่น

สายตาคนอื่นในที่นั้นต่างจับจ้องหลินสวิน ถ้าเขากล้ามีทีท่าหลบหนีใดๆ พวกเขาจะจู่โจมเต็มกำลังทันที

แต่ที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาก็คือ ตอนนี้หลินสวินดูเบิกบานใจนัก สะบัดมือครั้งหนึ่ง เชือกที่มัดตัวเชลยเหล่านั้นก็ถูกเก็บกลับไป

เชลยเหล่านั้นรอดตายมาได้ ต่างยินดีปรีดาเหมือนบ้าคลั่ง ถลากลับไปข้างกายพวกกู่ฉางซินอย่างรีบร้อน

จนกระทั่งตอนนี้พวกกู่ฉางซินยังไม่อาจถอนหายใจโล่งอกได้

“ฮ่าๆๆ หลินสวินเจ้าโง่นี่ คิดจริงๆ หรือว่าข้าจะปล่อยพวกนั้นไปง่ายๆ แบบนี้”

ทันใดนั้นเถาเจี้ยนสิงก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา สีหน้าเจือความลำพอง

“ในร่างเพื่อนทั้งสองของเจ้าต่างถูกข้าวางหมื่นพิษร้ายเอาไว้ ขอเพียงข้าคิดครั้งเดียว พวกเขาก็จะตายทันที!”

เมื่อพูดคำนี้ดังออกมา ทุกคนในที่นั้นต่างรู้สึกฮึกเหิม ความโกรธเคืองและอัดอั้นที่สั่งสมในใจก่อนหน้านี้ถูกกวาดออกไปจนสิ้น

ใครก็คิดไม่ถึงว่าเถาเจี้ยนสิงยังเตรียมทางหนีทีไล่เช่นนี้ไว้อีก!

“จะดีใจจะเร็วไปหรือเปล่า”

เพียงแต่หลินสวินกลับดูสงบนิ่งไม่กระวนกระวายแต่อย่างใด สีหน้ากลับเผยยิ้มเหี้ยมออกมา

ปัง!

เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง ในหมู่เชลยที่หนีตายเหล่านั้น ร่างผู้แข็งแกร่งเผ่านักรบเถาอู้คนหนึ่งแข็งทื่อในทันใด จากนั้นก็ล้มลงไปกับพื้นอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง

กายหยาบยังอยู่ แต่ดวงวิญญาณถูกกำจัดไปแล้ว!

ภาพที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้รอยยิ้มของเถาเจี้ยนสิงแข็งทื่อทันที คนอื่นที่อยู่ตรงนั้นก็ต่างใจเต้นตุบ ขนลุกไปทั้งตัว

“นี่…”

รูม่านตาพวกกู่ฉางซินก็หดรัดตามไปด้วย

ไม่ต้องสงสัย เถาเจี้ยนสิงเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ แล้วหลินสวินจะไม่เตรียมไว้ได้อย่างไร

นี่ทำเอาทุกคนทั้งตกตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว

“ตอนนี้ก็ส่งยาถอนพิษมา ถ้ายังกล้าเล่นตุกติกอะไรอีก ข้ารับรองได้ว่าเชลยพวกนั้นจะต้องศพไม่สวยกันหมดแน่”

หลินสวินเอ่ยปากเย็นชา

ใบหน้าเถาเจี้ยนสิงอัดอั้นจนคล้ำเขียว ดวงตาทั้งสองอยากจะพ่นไฟออกมา ในการต่อกรกันก่อนหน้านี้ หลินสวินครองโอกาสได้เปรียบไปหมด ทำเอาพวกเขาโมโหจะแย่

“พี่เถา รับปากเขาไป ประเดี๋ยวใช้กำลังคนพรั่งพร้อมฆ่าเขาก็พอ!”

กู่ฉางซินเอ่ย

“ได้!”

ในที่สุดเถาเจี้ยนสิงก็รับปาก เอารังไหมสีเขียวออกมาสองอันแล้วโยนให้หลินสวินกลางอากาศ

หลินสวินตรวจสอบเล็กน้อย พบว่าไม่ได้มีอะไรผิดปกติ จึงส่งให้หยวนฝ่าเทียนกับราชันเผิงปีกทองน้อยที่อยู่ในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด

จนกระทั่งทั้งสองคนแน่ใจโดยสมบูรณ์ว่าไม่มีภัยซ่อนเร้นอีก หลินสวินถึงวางใจได้

“เสี่ยวอิ๋น กลับมาเถอะ”

หลินสวินเอ่ยปาก เสียงฉึบดังขึ้น แสงเงินสายหนึ่งก็เคลื่อนออกมาจากร่างผู้แข็งแกร่งที่เดิมถูกจับเป็นเชลยคนหนึ่ง กลับไปอยู่ข้างหลินสวิน

เป็นเสี่ยวอิ๋น

เมื่อเห็นภาพนี้เข้า ผู้แข็งแกร่งที่ถูกเสี่ยวอิ๋นซ่อนอยู่ในตัวก็ตกใจจนอ่อนยวบไปทั้งตัว ใจนึกกลัวไม่หยุด

พวกกู่ฉางซินเห็นดังนี้ก็ต่างเลิกคิ้ว ลอบโห่ร้องยินดี

จากนั้นสีหน้าของพวกเขาต่างเย็นชาขึ้นมา สายตาที่มองไปยังหลินสวินไม่ปิดบังไอสังหารเข้มข้นใดๆ

“หลินสวิน ตอนนี้เจ้ายังมีลูกไม้อะไรจะสำแดงอีกไหม”

เถาเจี้ยนสิงยิ้มเหี้ยม

“ไม่รู้จักหลาบจำหรือ”

หลินสวินชำเลืองมองเขาอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง ทำเอาเถาเจี้ยนสิงสงสัยขึ้นมา หรือว่า… เจ้าหมอนี่ยังมีอะไรซ่อนไว้อยู่อีก

ครู่ต่องมาหลินสวินก็ยิ้ม “ตกใจหรือ วางใจเถอะ ข้าคนแซ่หลินไม่ได้เลวทรามต่ำช้าอย่างพวกเจ้า”

“เจ้า…”

เถาเจี้ยนสิงอับอายจนโกรธ รู้ว่าถูกหลินสวินหยอกล้อ จึงออกจะไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ไกลออกไปที่ทางขึ้นเขาด้านล่าง ผู้ฝึกปราณที่ตามมามากมายได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นบนยอดเขาแต่ละภาพ จวบจนตอนนี้จิตใจยังไหวหวั่นอย่างห้ามไม่ได้

หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น หากเผชิญหน้ากับขุมอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าคงหมดอาลัยตายอยาก ทิ้งอาวุธยอมแพ้ไปแล้ว

แต่หลินสวินเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูเพียงลำพัง ยังมีท่าทางโอหังเยือกเย็นประหนึ่งเทพเทวา ทำให้คนไหวหวั่นนัก!

เพียงแต่สถานการณ์ตรงหน้าชัดแจ้งแล้ว

ผู้ชมการต่อสู้เหล่านี้ต่างวิตกกังวลแทนหลินสวิน หรือเขาจะไปห้ำหั่นกับศัตรูรอบทิศด้วยตัวคนเดียวจริงๆ

นี่น่าเหลือเชื่อนัก!

“หลินสวิน เจ้าฆ่าเยี่ยนฉุนจวินผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลของข้า ความแค้นนี้วันนี้จะต้องสะสาง!”

กู่ฉางซินเก็บกลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว ตวาดออกมา

สถานการณ์ก่อนหน้านี้ แม้ถูกหลินสวินควบคุม แต่ทางพวกเขาก็ไม่ได้เสียหายอะไร

แต่ตอนนี้ต่างออกไปแล้ว ที่ยอดเขาพญามังกรแห่งนี้หลินสวินยืนอยู่ลำพัง เป็นโอกาสงามที่สุดที่จะฆ่าเขา!

เถาหยวนสิงก็เอ่ยปากเย็นชา “ถ้าเจ้ายอมทิ้งป้ายคำสั่งเซียนเหิน คุกเข่าขอรับผิดเอง ข้าจะออกหน้าชี้แนะทางรอดให้เจ้า”

“หึ! ทางรอดหรือ อย่าได้คิด วันนี้เจ้าหมอนี่ต้องตาย!”

คุนจิ่วหลินสีหน้าอึมครึม

คนอื่นก็พากันเอ่ยปากต่อเนื่อง ล้วนไอสังหารพลุ่งพล่าน มองหลินสวินเป็นเนื้อปลาบนเขียง บ้างคิดถึงป้ายคำสั่งเซียนเหิน บ้างต้องการเอาชีวิตเขา

และยังมีคนที่จับจ้องสมบัติที่อยู่กับตัวเขา เพราะต่างรู้ดีว่าตอนเขาอยู่แถวภูเขากลับหัวที่แดนหลอมสมบัติ เคยเรียกเจดีย์สมบัติและขวดหยกที่ลึกลับสุดหยั่งออกมา พลานุภาพมหาศาลหาใดเทียบ รับการโจมตีพร้อมกันของผู้แข็งแกร่งหลายคนได้

พอเห็นภาพนี้เข้า ผู้ที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลออกไปต่างตระหนกใจ หลินสวินอันตรายแล้ว!

“พูดจบแล้วหรือ”

จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยปาก รอยยิ้มดูถูกปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา “ข้ามาคราวนี้มีความต้องการเพียงอย่างเดียว พวกเจ้า… ต้องตายทั้งหมด!”

เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา ทั้งที่นั้นก็เงียบเชียบลง

ทุกคนต่างแสดงสีหน้าเหลือเชื่ออย่างกับมองดูคนบ้าคนหนึ่งอยู่!

“ฮ่าๆๆ ชัดเจนนักว่าเจ้าหมอนี่ยังไม่รับรู้สถานการณ์ของตัวเอง ถึงกล้าคุยโวเช่นนี้!”

กู่ฉางซินหัวเราะร่า

ทั้งกายเขามีเจตกระบี่สีดำเป็นริ้วๆ ว่ายวน ดุดันทะลวงเมฆา ประหนึ่งเทพดุร้ายแห่งบรรพกาล

“ลงมือ!”

ในขณะเดียวกันเถาเจี้ยนสิงก็ตะคอกออกมา

ตูม!

ยอดเขาพญามังกรแห่งนี้พลันมีแสงเทพถั่งโถม แปลงเป็นสัญลักษณ์ปริศนาแน่นขนัด ถักทอกันไปทั่วห้วงอากาศ วิวัฒน์เป็นค่ายกลใหญ่บดบังฟ้าดินทั้งแถบ

พอสร้างกระบวนค่ายกลนี้เสร็จ พายุอัสนีซัดสาด แปดทิศเปลี่ยนสี มีเสียงเทพมารคำราม อริยะเมธีท่องมนต์ดังขึ้น มีกฎเกณฑ์มหามรรคแปลงเป็นภาพกลียุค ถาโถมปกคลุม

ค่ายกลกลียุคสังหารมาร!

กระบวนค่ายกลอริยะโบราณที่สืบทอดมาในเรือนมรรคจักรวาล ลือกันว่าในอดีตกาลเคยมีบุคคลระดับจักรพรรดิอนุมานกระบวนค่ายกลนี้ด้วยตัวเอง พลังสังหารตะลึงโลก

นี่ก็คือไพ่ตายที่พวกกู่ฉางซินตั้งใจวางไว้อย่างดี

ชั่วพริบตาเดียวเงาร่างของหลินสวินก็ถูกกลบมิดอยู่ภายใน มองไม่เห็นอีก

ตรงทางขึ้นเขา ผู้ที่ดูการต่อสู้ต่างสีหน้าตกตะลึง กระบวนค่ายกลนี้ปรากฏขึ้นฉับพลัน ก่อนหน้านี้สังเกตร่องรอยไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

และกลิ่นอายที่กระบวนค่ายกลนี้แผ่ออกมาก็น่ากลัวยิ่ง ทำเอามกุฎมหาอริยะไม่น้อยต่างอกสั่นขวัญแขวน ขนลุกเกรียว

‘หลินสวินชะล่าใจไปแล้ว นี่เดิมทีก็เป็นการวางกับดักสังหาร เห็นได้ชัดว่าพวกกู่ฉางซินเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้วเพื่อสังหารเขา…’

หลายคนลอบถอนใจในใจ

ส่วนพวกกู่ฉางซินต่างเผยสีหน้าเย็นชาเหี้ยมเกรียม เจ้าโง่คนหนึ่ง ยังใจกล้ามารนหาที่ตายคนเดียว คิดว่าหลายวันนี้พวกเขาไม่ได้เตรียมตัวจริงหรือ

“โคจรค่ายกล สังหารเจ้านี่ซะ!”

กู่ฉางซินออกคำสั่ง ไม่ร่ำไรสักนิด

ตั้งแต่เริ่มจนจบพวกเขาก็ไม่ได้ดูเบาหลินสวินสักนิด และเพราะมองหลินสวินเป็นบุคคลอันตราย พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะร่วมมือกัน ทั้งไม่ลังเลที่จะทุ่มเทกำลังและจิตใจ วางกระบวนค่ายกลกลียุคสังหารมารที่มีพลังสังหารสะท้านฟ้าเช่นนี้

เป้าหมายก็เพื่อมอบการโจมตีถึงแก่ชีวิตให้หลินสวิน

และตอนนี้ ก็ถึงเวลาเก็บแหฆ่าศัตรู!

ลมเมฆในที่นั้นแปรเปลี่ยนรุนแรง มีเพียงอาหูซึ่งซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนที่ดูการต่อสู้เท่านั้นที่มุมปากยกยิ้มนึกสนุก

ปฐมาจารย์สลักลายมรรคคนหนึ่ง ที่ด้วยพลังของตนคนเดียวก็สามารถสร้างเมืองอารักษ์มรรคที่ไม่เสื่อมสลายชั่วกาลได้ ถ้าถูกกระบวนค่ายกลใหญ่เช่นนี้กักขังสังหาร…

นั่นจึงจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ในใต้หล้า!