บทที่ 774.1 หนิงเหยามาพบเฉินผิงอัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ที่แท้นางก็มาหาเจ้าเด็กที่ทำการค้าอย่างเฉลียวฉลาดผู้นั้น ไม่ได้ไปเป็นลูกศิษย์ของสำนักการค้าก็ช่างสิ้นเปลืองพรสวรรค์จริงๆ

นักพรตวัวดำถอนหายใจโล่งอก ก็บอกแล้วไงล่ะ แค่ขโมยแตงโมเท่านั้น ไม่ถึงขั้นต้องถูกฟ้าผ่าหรอก

นักพรตเฒ่าโยนแตงโมในมือที่เหมือนโดนหมาแทะทิ้งไปด้านข้าง เปลี่ยนจากสีหน้าเยือกเย็นมาเป็นสีหน้ากระจ่างแจ้งในฉับพลัน จากนั้นจึงกลายมาเป็นความยินดีที่ไม่คาดฝันเต็มใบหน้า คล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล เป็นธรรมชาติไม่ดูดัดจริตเสแสร้งแม้แต่น้อย “แม่นางหมายถึงสหายเฉินหรือ เขาคือสหายรักที่เพียงแค่พบเจอกันก็เหมือนรู้จักกันมานาน คือสหายต่างวัยของผินเต้าเอง มีความผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น แม้ว่าจะเป็นเพียงการพบเจอกันโดยบังเอิญ แต่กลับจริงใจต่อกันอย่างมาก ไม่อย่างนั้นสหายเฉินก็ไม่มีทางมอบกระบี่เล่มนี้ให้ผินเต้าช่วยดูแล ให้มันมาท่องอยู่ในนครอู๋ย่งร่วมกับข้า เพื่อจะได้เปิดทางให้เขาเช่นนี้หรอก”

บนถนนเส้นเล็กในชนบทของนครป๋ายเหยี่ยน ผู้ฝึกกระบี่ที่ใช้หนึ่งกระบี่ฟันผ่าพันธนาการของเรือราตรี สะพายกล่องกระบี่ ในกล่องกระบี่คือกระบี่สองเล่ม ในมือของสตรียังถือกระบี่ยาวเย่โหยวเอาไว้ด้วย

ก็คือหนิงเหยาที่บินทะยานจากใต้หล้าแห่งที่ห้ามายังใต้หล้าไพศาล

อันดับแรกคือต้องฝ่าทะลุขอบเขต ใช้กระบี่สังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลตนหนึ่ง สะสมคุณความชอบที่ไม่เล็กให้ได้ก่อน จากนั้นนางจึงใช้กระบี่เปิดม่านฟ้า บินทะยานเดินทางไกลมายังไพศาล ไล่ตามเบาะแสของปลายกระบี่ไท่ป๋ายซึ่งเป็นหนึ่งในสี่กระบี่เซียนนี้มา สุดท้ายจึงมาเจอกับเรือข้ามฟากประหลาดลำนี้

เพียงแต่คาดไม่ถึงว่ายังคงไม่ได้พบเจ้าหมอนั่น กลับกลายเป็นว่ามาเจอกับนักพรตเฒ่าขี่วัวที่แขวนกระบี่ไว้บนเขาวัวแทน

จิตใต้สำนึกทำให้หนิงเหยาคิดว่าเขาถูกกักอยู่บนเรือลำนี้ เพียงแต่พอนางคิดอีกที ขนาดกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ยังกักขังเขาไว้ไม่ได้ แล้วจะถูกเรือที่แสร้งทำเป็นเล่นผีหลอกเจ้าลำนี้พันธนาการไว้ได้อย่างไร? มีที่ไหนบ้างที่เจ้าหมอนั่นอยู่แล้วจะไม่เป็นเหมือนปลาได้น้ำ? เพียงแต่ว่ายังไม่ได้เห็นเขากับตา นางก็ยังรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง

หากเจ้าหมอนั่นมาท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนเซียนอยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้ ได้พบเจอกับใคร หรือเจอกับสถานการณ์ยุ่งยากแบบใด ถึงจำเป็นต้องเอากระบี่พกประจำกายไปมอบให้คนอื่น? หรือจะบอกว่าเขาหันกลับมาทำอาชีพเดิม เป็นผ้าห่อบุญพลางวางแผนเล่นงานใครไปด้วย? ทางฝั่งของจวนเฉวียนฝู่ของนครบินทะยานนั่น หลายปีมานี้ขาดก็แค่ไม่ได้แขวนภาพเหมือนของบรรพจารย์เท่านั้น

นักพรตเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีไปอีกรอบ เขาเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผลอย่างไม่มีชะงักแม้แต่น้อย “เจ้าเป็นสตรีคนหนึ่ง ผินเต้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นเทพเซียนจากแห่งหนใด มีชาติตระกูลมีที่พึ่งเช่นใด ทำไม คิดจะแก้แค้นสหายเฉินด้วยการถามกระบี่กับเขางั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษที่ผินเต้าอาศัยความมีอายุ…มาช่วยสหายเฉินรับข้อพิพาทนี้เอาไว้!”

เจ้าหมอนั่น ทั้งที่กลับมายังใต้หล้าไพศาลแล้ว หากอยู่ที่บ้านเกิดอย่างแจกันสมบัติทวีปก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้ดูจากท่าทางแล้วคงจะมาเตร็ดเตร่ที่อุตรกุรุทวีปสินะ ทำไม ว่างนักหรือ?

นักพรตเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง ไม่ต้องคอยดูสถานการณ์เพื่อหาโอกาสที่เหมาะสมก็เปลี่ยนเรื่องพูดทันที เอ่ยอย่างปลงอนิจจังจากใจจริงว่า “บุญคุณความแค้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้า ถึงอย่างไรผินเต้าก็เป็นคนนอก ไม่สะดวกจะไปยุ่งวุ่นวายด้วย ขอให้ผินเต้าได้เอ่ยถ้อยคำที่อาศัยความเป็นผู้อาวุโสเอ่ยเตือนแม่นางด้วยความหวังดีสักคำ หากเจ้ามีความเข้าใจผิดบางอย่างกับสหายน้อยเฉินของผินเต้าจริงๆ ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันให้รู้เรื่องก็พอแล้ว วาสนาชีวิตคู่อันยิ่งใหญ่ที่ดีเยี่ยมในใต้หล้าแห่งนี้อย่าปล่อยให้ถูกคำว่า ‘ไม่ได้เปิดอกพูดคุยกัน’ มาถ่วงรั้งเอาไว้”

หนิงเหยาหัวเราะ สมกับเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับเจ้าหมอนั่นจริงๆ เสียด้วย

ดวงตาของนักพรตเฒ่าเฉียบคมถึงปานใด พอเห็นอย่างนี้ก็โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เป็นคู่รักบนภูเขากันจริงๆ เสียด้วย สหายเฉินช่างโชคดียิ่งนัก!

บนเรือข้ามฟาก ผู้ฝึกตนที่ต้องบุกเบิกฟ้าดินแห่งใหม่อย่างพวกเขานี้ การบินทะยานสามารถทำได้ตามใจ จะจริงหรือเท็จก็ได้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงเป็นคำว่ายืม อีกทั้งเมื่อมียืมก็ต้องมีคืน เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ กฎเกณฑ์เข้มงวด การค้าเป็นธรรม แต่ก็กลัวผู้ฝึกกระบี่ที่หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนึ่งกระบี่สามารถฟันผ่าพันธนาการฟ้าดินได้มากที่สุด เซียนหญิงชงเชี่ยนก่อนหน้านี้ก็เกือบจะหลงกล หากไม่เป็นเพราะข้างกายนางมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคอยให้การปกป้อง ใช้กระบี่เปิดทางให้ จึงฝืนฝ่าพันธนาการจากไปได้ ไม่อย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าชงเชี่ยนจะต้องมาเรือคว่ำอยู่ในร่องน้ำแห่งนี้ (เปรียบเปรยว่าแผนทุกอย่างที่วางมาพังลงไม่เป็นท่า)

โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินจะสามารถไปมาบนเรือราตรีได้ตามใจชอบ แต่หากคิดจะขึ้นเรือมาวางอำนาจบาตรใหญ่ กลับยังคงทำไม่ได้ เพราะทุกวันนี้เรือข้ามฟากยังกักตัวเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งเอาไว้ จุดจบไม่นับว่าดี ตอนนี้ยังทำหน้าที่เป็นเสี่ยวเอ้อในร้าน เป็นคนที่คอยวิ่งช่วยงานคนอื่นในนครเปิ่นโม่อยู่เลย แล้วก็โชคดีที่จิตใจของเซียนกระบี่ผู้นั้นกว้างขวางไม่ธรรมดา พึ่งพาอยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่นมาพันกว่าปีแล้ว แต่กลับยังไม่คลุ้มคลั่งเสียสติ

อีกทั้งเรือข้ามฟากลำนี้ก็ไม่ยินดีต้อนรับผู้ฝึกกระบี่ที่ดื้อแพ่งที่สุดในใต้หล้าจริงๆ นอกจากเพราะปราณกระบี่ท่วมร่างและเวทกระบี่ที่เฉียบคมทำให้คนกริ่งเกรงแล้ว ความรู้ของพวกเขาก็มักจะตื้นเขิน สำหรับเรือข้ามฟากแล้วจึงมีประโยชน์น้อยมาก ถึงขั้นที่ว่าอาจจะยังสู้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งของเมธีร้อยสำนักไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ทุกวันนี้สหายน้อยเฉินอยู่ในนครเถียวมู่”

นักพรตเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “เพียงแต่ว่าแม่นางน้อยท่านนี้ ไม่ใช่ว่าผินเต้าข่มขู่เจ้านะ ด้วยเวทกระบี่ของเจ้า ขึ้นมาบนเรือและลงจากเรือล้วนไม่ยาก มีเพียงเดินอยู่ท่ามกลางนครที่มีมากมายของเรือข้ามฟากเท่านั้นที่ไม่ค่อยง่ายเท่าไรเลยจริงๆ ยากมากๆ เลยล่ะ ก็เหมือนกับว่าเจ้ากำลังเผชิญหน้ากับอาจารย์ค่ายกลขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง จึงได้แต่ตกอยู่ในสภาพการณ์ที่พลาดฟ้าอำนวยดินอวยพรไปหมดสิ้น แทนที่จะพกกระบี่เปิดเส้นทาง พุ่งชนทั่วสารทิศอย่างสะเปะสะปะก็ไม่สู้ให้สหายน้อยเฉินเป็นฝ่ายมาหาเจ้าด้วยตัวเอง”

ขอแค่เจ้าเด็กนั่นมาที่นครป๋ายเหยี่ยน ก็เท่ากับว่าเขามาเอากระบี่ยาวกลับไปด้วยตัวเอง การค้าครั้งนี้ก็ถือว่าหายกันแล้ว

แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตบินทะยานตรงหน้าผู้นี้ มองดูแล้วก่อนหน้านี้ที่เร่งเดินทางมาคงไม่ได้ผ่อนคลายเท่าใดนัก ท่าทางดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ยากที่จะปกปิดสีหน้าเหนื่อยล้าอ่อนเพลียเอาไว้ได้

ก็มีแต่ดวงตาคู่นั้นของนางที่ทำให้คนไม่ค่อยกล้ามองสบตรงๆ

ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ซึ่งตอแยได้ยากที่สุดบนภูเขา พลังอำนาจของทั้งกายฉายประกายคมกริบทุกรัศมี

กลับเป็นสหายน้อยเฉินผู้นั้นที่ยามพูดคุยกับคนอื่นสีหน้าเป็นมิตร ยามที่สบตากับผู้อื่นสายตาก็อ่อนโยน ดูเหมือนว่าจะตรงกันข้ามกับเซียนกระบี่หญิงผู้นี้พอดี

คงเป็นเพราะได้รับการขับดันจากผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนนี้ นักพรตเฒ่าจึงยิ่งรู้สึกว่ายามที่อยู่ร่วมกับสหายน้อยเฉินผู้นั้นประหนึ่งอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมวสันต์ เพิ่งจะแยกจากกันก็ทำให้คนคิดถึงอาลัยขึ้นมาแล้ว

หนิงเหยามองไปรอบด้าน “ข้าจะรอเขาอยู่ที่นี่”

ภายในครึ่งชั่วยาม หากยังไม่มา นางก็จะไปหาเขาเอง

ไม่ใช่ว่าไม่มั่นใจว่าจะหาเขาพบ ขนาดต้องข้ามผ่านขุนเขาสายน้ำนับไม่ถ้วนของสองใต้หล้า นางยังไม่รู้สึกว่าเหนื่อยสักเท่าไรด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าพออยู่ใกล้เขามากแล้วจริงๆ หนิงเหยากลับอยากหยุดเดินเสียอย่างนั้น

แล้วประโยคแรกหลังจากที่ได้พบหน้ากัน นางควรจะเอ่ยว่าอะไร?

หนิงเหยาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

นักพรตเฒ่าที่จะจากไปก็ไม่ใช่ ไม่จากไปก็ไม่เหมาะขี่อยู่บนหลังวัว ท่าทางคล้ายสุขุมเยือกเย็น แต่ในใจกลับตื่นตระหนกยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสตรีผู้นี้ขมวดคิ้ว เขาก็ยิ่งกระวนกระวายมากกว่าเดิม นักพรตเฒ่าชำเลืองตามองแตงโมที่เป็นดั่งบุปผาเบ่งบานอยู่บนพื้นดินแล้วก็ให้รู้สึกเสียดายเล็กน้อย รู้อย่างนี้แต่แรกก็คงไม่โยนทิ้งไปแล้ว เวลานี้ยังจะเอามาแทะแก้กลุ้มได้

ไม่ใช่ว่านักพรตวัวดำขี้ขลาด หวนย้อนนึกอดีตอันห่างไกล ในใต้หล้าไพศาลแห่งนั้น เฟิงจวินที่ชอบท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า เล่นสนุกอยู่ในโลกมนุษย์ไปทั่วผู้นี้ ก็คือยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาที่สร้างวีรกรรมไว้มากมาย ทิ้งร่องรอยเซียนไว้ทั่วทุกหนแห่ง แต่เป็นเพราะว่าการอยู่ร่วมกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งทำให้คนรู้สึกชาไปทั้งหนังหัวจริงๆ ใต้หล้านี้จะมีเซียนกระบี่สักกี่คนที่นิสัยดีจริงๆ? แต่ละคนพอได้เรียนเวทกระบี่เข้าหน่อย หากไม่ออกกระบี่ฟันคนก็เดินออกกระบี่ฟันคนบนถนน

พูดถึงแค่เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ผู้นั้น ปีนั้นก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรือไร? ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องหนีภัยมายังเรือราตรีลำนี้ทำไม เพียงแค่หลบเลี่ยงประกายคมกริบของตัวเองเท่านั้นหรือ?

พวกคนที่เวทกระบี่สูงเหล่านี้ ไม่มีสักคนที่พูดคุยด้วยง่าย

นครเถียวมู่ ในโรงเตี๊ยม

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยกับเผยเฉียน “ตั๋วซื้อภูเขาแผ่นนั้น ขอให้อาจารย์พ่อยืมก่อน”

เผยเฉียนยื่นตั๋วเซียนที่เป็นกระดาษสีเขียวไปให้ เอ่ยว่า “อาจารย์พ่อไปรับอาจารย์แม่กลับมาได้เลย ข้าจะคุ้มครองหมี่ลี่น้อยเอง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เก็บตั๋วซื้อภูเขาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ มือข้างหนึ่งยันไว้บนกรอบหน้าต่าง ครั้นจึงพลิกตัวออกจากห้อง จากนั้นทะยานร่างขึ้นจากพื้นดิน ประหนึ่งการ ‘บินทะยาน’ คนชุดเขียวพุ่งตรงขึ้นไปยังม่านฟ้า ถือโอกาสนี้ก้มหน้าลงมามอง เฉินผิงอันรวบทัศนียภาพบนพื้นดินทั้งหมดของนครเถียวมู่เข้ามาไว้ในคลองจักษุ ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เป็นนครแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ขุนเขาสายน้ำทอดยาวออกไป ไกลสุดลูกหูลูกตา ทัศนียภาพยิ่งใหญ่งดงาม ฟ้าดินใต้ฝ่าเท้านี้คล้ายกระดานหมากกระดานหนึ่ง บางส่วนตัดสลับถักทอกัน มีกลุ่มนครที่ผู้คนจุดตะเกียงอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน บ้างก็เป็นขุนเขาสูงตระหง่านที่เสียดแทงเข้าไปในชั้นเมฆ เหมือนเม็ดหมากแต่ละเม็ดที่วางอยู่บนกระดานหมาก

ตอนที่เฉินผิงอันเพิ่งจะทะยานลมขึ้นมา ทหารม้าลาดตระเวนของนครเถียวมู่คนนั้นก็ขว้างง้าวใหญ่ในมือออกไป แรงที่พุ่งไปว่องไวราวสายฟ้าแลบ คล้ายกระบี่บินที่เซียนกระบี่เรียกออกมา

ง้าวยาวจำแลงกลายเป็นสายรุ้งพร่างพราวกรีดผ่าอากาศ ส่งเสียงอสนีบาตครืนครั่น ความเคลื่อนไหวนั้นรุนแรงอย่างมาก ตรงดิ่งเข้าหาคนต่างถิ่นที่กล้าละเมิดกฎผู้นั้น

เฉินผิงอันเปลี่ยนเส้นทางการบินทะยานเล็กน้อย ปลายเท้าดีดหนึ่งทีก็เหยียบลงบนปลายของง้าวใหญ่ได้พอดี จากนั้นทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง หดย่อขุนเขาสายน้ำ ร่างขยับไปอยู่ตรงจุดอื่นห่างไปหลายสิบลี้ สองนิ้วประกบกัน ท่องคำหนึ่งว่าฟันแล้ววาดนิ้วกรีดลงไป

ราวกับตราผนึกลับของขุนเขาสายน้ำชนเข้ากับยันต์ฝ่าสิ่งกีดขวางซึ่งใช้ได้ผลที่สุดในโลก ฝ่ายหลังจึงฟันฟ้าดินจนเปิดประตูใหญ่แห่งหนึ่งขึ้นมาได้

ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้า กระบี่ทลายหมื่นอาคม

เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ขณะเดียวกันก็โบกชายแขนเสื้อ ตบให้ง้าวยาวที่ตามติดมาด้านหลังหล่นลงบนโลกมนุษย์ เรือนกายหายไปจากหน้าประตู

ไล่ตาม ‘แสงสว่างจากแสงไฟ’ ที่กระบี่ยาวเย่โหยวทิ้งไว้บนเรือข้ามฟากไป เฉินผิงอันไม่สนใจสิ่งใดอีก เพียงแค่พุ่งตัวออกไปเป็นเส้นตรงเท่านั้น

หลังจากที่เฉินผิงอันพลิกตัวปีนออกไปจากห้องแล้ว หมี่ลี่น้อยก็รีบกระโดดลงมาจากม้านั่ง วิ่งมาตรงหน้าต่าง คล้ายค้นพบว่าตัวเองตัวเตี้ยเกินไป จึงได้แต่ย้อนกลับไปที่โต๊ะ ย้ายม้านั่งมา ยืนอยู่บนม้านั่ง ยืดคอยาวพยายามเพ่งสายตามองไป

เผยเฉียนเดินไปที่หน้าต่าง หมี่ลี่น้อยถามเสียงเบา “ฮูหยินเจ้าขุนเขามาแล้วหรือ?”

เผยเฉียนฟุบตัวลงบนกรอบหน้าต่าง ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ต้องเป็นอาจารย์แม่ที่มาแน่นอน”

หมี่ลี่น้อยกระซิบถามเสียงเบาข้างหูของเผยเฉียน “ถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวได้พบกับฮูหยินฮูหยินเจ้าขุนเขา ข้าจะต้องโขกหัวกี่ทีถึงจะเหมาะสมล่ะ? ร้อยทีพอหรือไม่?!”

เพราะครั้งแรกที่เผยเฉียนกลับบ้านหลังจากไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนั้นตัวของเผยเฉียนยังไม่ค่อยสูง พอๆ กับพี่หญิงหน่วนซู่ ทุกครั้งที่เล่าเรื่องของกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้โจวหมี่ลี่ฟัง เผยเฉียนจะอารมณ์ดีอย่างมาก เล่าเรื่องแปลกประหลาดที่นางได้พบเจอมาหลายเรื่อง แล้วยังมีคุณูปการยิ่งใหญ่ที่เผยเฉียนสร้างขึ้นตอนออกไปท่องยุทธภพ ยังบอกด้วยว่านังหนูน้อยคนหนึ่งที่ชื่อกวอจู๋จิ่ว ตัวดำปิดปี๋ ดำยิ่งกว่าถ่านดำเสียอีก แถมยังตัวเตี้ยกว่าหมี่ลี่น้อยมาก แต่กลับเป็นตัวขี้ประจบที่มีฝีมือสูงส่งลึกล้ำยิ่ง ทุกครั้งที่เห็นอาจารย์แม่จะต้องโขกหัวให้ แต่นังหนูที่มีฉายาว่าลวี่ตวนผู้นั้นแม้จะโง่ไปสักหน่อย ยามพูดจาก็เลื่อนเปื้อนยิ่งกว่าเฉินหลิงจวิน แต่อันที่จริงนางกลับเป็นคนที่ใช้ได้เลย พอจะถือว่าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์พ่อได้อย่างถูไถกระมัง…ไปๆ มาๆ หมี่ลี่น้อยจึงจำแม่นางน้อยตัวเตี้ยที่อิงตามลำดับศักดิ์แล้วถือว่าเป็นศิษย์น้องหญิงของเผยเฉียนคนนั้นได้ รวมไปถึงจำได้ว่าแม่นางน้อยชอบโขกหัวที่สุด

เผยเฉียนถูกหมี่ลี่น้อยถามอย่างนี้ก็รู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว หากให้อาจารย์พ่อรู้ว่าตนตอนเป็นเด็กกลับบ้านเกิดมาแล้วใส่ร้ายนินทากวอจู๋จิ่วลับหลังอย่างไรบ้าง คาดว่าสภาพตนต้องอนาถมากแน่ๆ

สมุดบัญชีเล่มเล็กทั้งหลายของอาจารย์พ่อไม่เคยจรดพู่กันลงเขียน มีอยู่แค่ในใจของอาจารย์พ่อเท่านั้น ไม่ว่าใครก็เปิดไม่ได้ อ่านไม่ได้

ดังนั้นเผยเฉียนจึงบอกหมี่ลี่น้อยก่อนว่าไม่ต้องโขกศีรษะ ถึงเวลานั้นพอเจอกับอาจารย์แม่ก็จำไว้ว่าให้ตะเบ็งเสียงดังๆ ตะโกนเรียกว่าฮูหยินเจ้าขุนเขาหลายๆ ทีก็พอแล้ว จากนั้นก็เอ่ยเตือนหมี่ลี่น้อยว่าจำกวอจู๋จิ่วอะไรนั่นไม่ได้แล้ว

หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม เอ่ยว่า “หากข้าตะโกนเต็มที่ เสียงข้าจะดังมาก ถ้าไม่ระวังทำเสียงดังเหมือนฟ้าผ่าจนฮูหยินเจ้าขุนเขาตกใจจะทำอย่างไร?”

เผยเฉียนหัวเราะพลางลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย “อาจารย์แม่ร้ายกาจมาก ไม่ถูกเจ้าทำให้ตกใจหรอก”

หมี่ลี่น้อยคิดแล้วก็ถามว่า “ร้ายกาจอย่างไร?”

เผยเฉียนเงียบไปครู่หนึ่ง มองไปยังสีสนธยานอกม่านฟ้า ให้คำตอบที่คล้ายกับตอบไม่ตรงคำถาม “หากไม่มีอาจารย์แม่ ข้าก็คงไม่ได้พบกับอาจารย์พ่อ”

หมี่ลี่น้อยพลันยื่นมือออกมาตบแขนของเผยเฉียนเบาๆ

เพราะไม่รู้ว่าเหตุใด แม่นางน้อยชุดดำถึงได้รู้สึกว่าตอนนี้เผยเฉียนคล้ายจะเศร้าใจอยู่บ้าง เป็นความเศร้าที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีอยู่น้อยนิดเท่านั้นเอง

เผยเฉียนหลังจากเติบใหญ่มักจะเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ ยามอยู่บนภูเขาลั่วพั่วเป็นเพื่อนตนกับพี่หญิงหน่วนซู่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ อยู่บนโต๊ะหินริมหน้าผา หรือตรงราวรั้วบนยอดเขา นั่งคุยกันอยู่ดีๆ เผยเฉียนก็มักจะเงียบงันไป ทำท่าทางเหมือนขบคิดเรื่องอะไรบางอย่าง เม้มริมฝีปาก แล้วยังชอบยืดเอวตรงคล้ายกำลังมองไปยังสถานที่ที่ห่างไปไกลมากๆ

หลายปีนั้นที่อยู่บนภูเขา บางครั้งเผยเฉียนก็จะเงยหน้าขึ้นสูงมองไปยังสถานที่ที่สูงมากๆ แต่อารมณ์ของนางคล้ายกับอยู่ในจุดที่ต่ำมากๆ ต่อให้หมี่ลี่น้อยอยากจะช่วยก็หยิบไม่ขึ้น ย้ายไม่ไหว

เผยเฉียนไม่ได้ม้วนชายแขนเสื้อเดินถอยหลังไปทีละก้าวบนอิฐเขียวเหล่านั้นแล้วกระโดดทิ้งตัวออกไปนอกหน้าผาอีกแล้ว ไม่เดินอาดๆ ลาดตระเวนภูเขาไปพร้อมกับตนอีก แล้วก็ไม่กระโดดอยู่ใต้ต้นไม้ ใช้สองมือคว้าจับกิ่งไม้แล้วค่อยให้ตนจับเท้าแกว่งเหมือนโล้ชิงช้าไปด้วยกันอีกแล้ว กิ่งไม้หลายกิ่งที่เมื่อก่อนเผยเฉียนต้องกระโดดถึงจะคว้าจับได้ ทุกวันนี้แค่เผยเฉียนเขย่งเท้าก็จับถึง รังแตนบนภูเขาฉีตุนนั้น หลายปีมากแล้วที่พวกนางไม่ได้ไปประลองวิชาประลองความกล้าแล้ววิ่งหนีแตกฮือกัน

เรื่องราวน่าสนใจหลายเรื่องตอนที่เผยเฉียนยังตัวเตี้ย ก็เหมือนเมล็ดแตงในกระเป๋าที่แค่แทะก็หายไปแล้ว

แขนถูกหมี่ลี่น้อยตบเบาๆ เผยเฉียนหันหน้ามามอง ก่อนจะก้มหน้าลงต่ำน้อยๆ ยิ้มถาม “เป็นอะไรไป?”

ดูเหมือนหมี่ลี่น้อยจะใช้สองนิ้วคีบเมล็ดแตงเมล็ดหนึ่งมาจากบนชายแขนเสื้อของเผยเฉียน แล้วโยนใส่ปากตัวเอง “ความกลัดกลุ้มเล็กๆ แค่กินก็หายไปแล้ว”

——