บทที่ 774.2 หนิงเหยามาพบเฉินผิงอัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เผยเฉียนหัวเราะ หมี่ลี่น้อยก็หัวเราะตาม แรกเริ่มยังเก็บอารมณ์อยู่บ้าง แต่พอเห็นว่าเผยเฉียนอารมณ์ดี หมี่ลี่น้อยก็หัวเราะปากกว้างจนหุบไม่ลง

เผยเฉียนตบศีรษะตัวเอง ก้าวเร็วๆ ไปที่โต๊ะ เก็บม้วนภาพที่แปะแผ่นกระดาษสีสันสดใสม้วนนั้นมา หมี่ลี่น้อยกระโดดลงจากม้านั่ง ฟุบตัวลงบนโต๊ะ หัวเราะฮ่าๆ “ข้ารู้แล้ว ไม่เคยเห็นมันมาก่อน ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้!”

เผยเฉียนแทะเมล็ดแตง โจวหมี่ลี่ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ ลังเลอยู่นานมากก็พลันเอ่ยเสียงเบา “เผยเฉียน เจ้าฝึกตนได้หรือไม่?”

เผยเฉียนถามอย่างสงสัย “ถามคำถามนี้ทำไมล่ะ?”

หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง ใบหน้ากลมๆ วางคางไว้บนหลังมือ “ก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง”

อันที่จริงนางกลัวว่าการออกเดินทางไกลครั้งนี้ ผ่านไปนานหลายปีถึงเพิ่งจะได้กลับบ้าน กลัวว่าตัวของเผยเฉียนจะไม่ได้สูงขนาดนั้น แต่เส้นผมกลับขาวโพลนไปแล้ว

เผยเฉียนยิ้มเอ่ย “ข้าก็ฝึกกระบี่อยู่ตลอดเวลานะ ดูเหมือนว่าจะ…ไม่ได้ยากสักเท่าไร”

เผยเฉียนรีบเอ่ยเสริมไปอีกประโยค “คำพูดแบบนี้เจ้าห้ามพูดให้อาจารย์พ่อของข้าฟังเด็ดขาด รู้หรือไม่?”

หมี่ลี่น้อยอารมณ์ดีคึกคักขึ้นมาทันใด “รู้ว่าห้ามพูด!”

เฉินผิงอันออกจากนครเถียวมู่ที่หลี่สือหลางเป็นเฝ้าพิทักษ์ มายังนครที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันที่เดินทางไกลมาถึงที่แห่งนี้กลับหัวทิ่มปักลงพื้น หัวโหม่งลงไปในน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ เขาปล่อยหมัดออกไป กระแสน้ำที่ไหลรินก็ขาดสะบั้นออกจากกัน เจอน้ำแหวกน้ำ

จากนั้นก็บุกเข้าไปในนครแห่งที่สาม มีภูเขาตระหง่านลูกหนึ่งขวางอยู่บนทาง เฉินผิงอันจึงเปลี่ยนท่ามุทรากระบี่ เลียนแบบติงอิงและเผยหมิ่น ใช้นิ้วต่างเวทกระบี่ แสงกระบี่พลันระเบิดพร่างพราว เจอภูเขาผ่าภูเขา

ในนครแห่งถัดมา เฉินผิงอันทะยานลมมายังสะพานกลางเมฆแห่งหนึ่ง บนสะพานมีหญิงสาวเรือนกายสูงเพรียวใบหน้างดงามแต่กลับดูเย็นชาขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด พอเห็นเฉินผิงอันที่บุกเข้ามาในอาณาเขตโดยพลการ สีหน้าของนางก็ยิ่งไม่สบอารมณ์

พลังอำนาจของหญิงสาวผู้นี้น่าตะลึงนัก มีทัศนียภาพเล็กจิ๋วจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมวนอยู่รอบกายนาง ประหนึ่งนกน้อยอิงแอบคน มีเสื่อไม้ไผ่ปูไว้ข้างสระดอกบัว เรือหลันโจวจอดผูกเชือกอยู่ที่ท่าเรือ ห่านป่ารวมกลุ่มกันบินกลับทิศใต้ ในศาลที่ควันธูปลอยอบอวลแห่งหนึ่งแขวนกรอบป้ายที่เขียนสามคำว่าศาลเทพรากบัว มีพืชพรรณเขียวชอุ่มอยู่หน้าประตู ดวงดาวบนท้องฟ้าเคลื่อนโคจร มีกระถางธูปทองคำรูปสัตว์ ในห้องมีควันเขียวลอยกรุ่น ลมพัดม่านปลิวไสว สาวใช้เขย่งปลายเท้าหันไปทางต้นกล้วยและต้นอิงเถา (เชอร์รี่) ในลานบ้านนอกหน้าต่าง กระซิบกระซาบกับสตรีคนหนึ่งที่หน้าตาซูบเซียว…และยังมีบนถนนดินโคลนที่มีรถม้าหลายสิบคันเคลื่อนไปเบื้องหน้าช้าๆ สตรีหน้าตาระทมทุกข์คนหนึ่งเลิกผ้าม่านรถขึ้น ท่าทางกังวลใจยิ่ง…

ข้างกายของนางมีเด็กหนุ่มที่ชายแขนเสื้อสองข้างระลากพื้นยืนอยู่ รูปโฉมหล่อเหลา ดวงตาเป็นสีเงิน บนศีรษะมีเขากวาง

เด็กหนุ่มเขากวางยกมือขึ้น ยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ ตรงกลางฝ่ามือมีคาถาอสนีที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ขนาดเล็กเท่าเมล็ดงา ทว่าพลานุภาพกลับยิ่งใหญ่ดุจทัณฑ์สวรรค์

เฉินผิงอันทะยานลมต่อไปอีกครั้ง ยกมือข้างหนึ่งขึ้น กลางฝ่ามือก็มีเวทอสนีรวมตัวอยู่เช่นกัน สุดท้ายสตรีผู้นั้นส่ายหน้าเบาๆ เด็กหนุ่มเขากวางที่สายตาที่มืดลึกเยือกเย็นจึงหดมือกลับเข้ามาในชายแขนเสื้ออีกครั้ง

เพิ่งจะผ่านสะพานกลางเมฆที่ลอยตัวสูงอยู่กลางอากาศมาได้ เฉินผิงอันก็สังเกตเห็นว่าตัวเองมาปรากฏตัวอยู่ในตำหนักแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าคือกระจกใหญ่ยักษ์สูงเท่าตัวคน ถึงกับสามารถส่องสะท้อนอวัยวะภายในของคนออกมาได้ เฉินผิงอันพบว่าด้านหลังมีปราณกระบี่เฉียบคมและพายุลมกรดขุ่นมัวสะเทือนให้ผิวกระจอกกระเพื่อมเป็นริ้วคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า ในตำหนักใหญ่มีผู้ปกป้องกระจกสองคนเดินออกมา คนหนึ่งเงื้อดาบฟันลงมา อีกคนหนึ่งเรียกกระบี่บินออกมา เฉินผิงอันเดินตรงไปเบื้องหน้า มือหนึ่งรับคมดาบนั่น เอามือผลักออกง่ายๆ สองนิ้วของมือหนึ่งคีบกระบี่บินเอาไว้ แล้วโยนกลับไปเบาๆ ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ของคนชุดเขียวส่ายสะบัด เดินเข้าไปในกระจกอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ หันหน้ามายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ล่วงเกินแล้ว ขอยืม แค่ขอยืมเท่านั้น”

สองครั้งที่เดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต้องผ่านพันขุนเขาหมื่นสายน้ำมามากน้อยแค่ไหน? บนเรือราตรีลำหนึ่งที่มีแค่สิบสองนคร ระยะทางน้อยนิดแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้

……

บนมหาสมุทรใหญ่ คนกลุ่มหนึ่งสี่คนทะยานลมหยุดลอยอยู่กลางอากาศ พื้นผิวมหาสมุทรใต้ฝ่าเท้าไหลเชี่ยวกราก ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สูงหลายสิบจั้ง พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม ล้วนเป็นเพราะถูกชักนำจากปราณกระบี่ของเซียนกระบี่หญิงผู้นั้นทั้งสิ้น บนมหาสมุทรที่ห่างไปไกลยังมีภาพเหตุการณ์ผิดปกติที่ลมโหมจากแปดทิศ ฟ้าร้องครืนครั่น เมฆห้าสีรวมตัวกันแล้วสลายหายไปไม่หยุดนิ่ง

พวกเขาเพิ่งจะออกจากเรือราตรีลำนั้นมาได้ไม่นานนัก ดูเหมือนว่าสตรีผู้นั้นออกกระบี่อยู่ในระยะประชิดข้างกายพวกเขานี่เอง กระบี่ฟันผ่าพันธนาการ เปิดประตูใหญ่ของฟ้าดินเล็กเรือข้ามฟาก เรือนกายเปล่งวูบทีเดียวก็ผลุบหายเข้าไปในเรือ

กฎเกณฑ์แห่งฟ้าดิน ระเบียบแห่งเรือข้ามฟากอะไร ล้วนเป็นดั่งกระดาษเปียกทั้งสิ้น อะไรที่บอกว่าบนภูเขาอันตราย พื้นที่ลับแปลกพิสดาร ล้วนเป็นคำกล่าวเลื่อนลอย เพราะสุดท้ายแล้วแค่กระบี่เดียวของนางก็สยบทุกอย่างได้

ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อแห่งจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ผู้นั้นตกใจสะดุ้งโหยงจริงๆ เขาตบหน้าอกตัวเอง ไม่ปิดบังท่าทางอกสั่นขวัญผวาของตัวเองแม้แต่น้อย “ชั่วชีวิตนี้นักพรตน้อยไม่เคยเจอสตรีที่ทำอะไรป่าเถื่อน ออกกระบี่มีมาดแห่งเซียนเช่นนี้มาก่อนเลย”

ระยะห่างหลายสิบลี้ ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนบนภูเขาสี่คนนี้แล้ว จุดที่กระบี่นั้นหล่นลงไปก็อยู่ใกล้เพียงเส้นผมกั้นตรงหน้านี้เอง

หยวนพางเอ่ย “หากเดาไม่ผิดล่ะก็ คงจะเป็นหนิงเหยาแห่งนครบินทะยาน”

นักพรตหนุ่มทำสีหน้ามีเลศนัย หรือว่าพวกเจ้าสองคนรู้จักกันมานานแล้ว?

หยวนพางเพียงแค่ยิ้มอธิบายว่า “นางออกจากนครบินทะยานครั้งนี้ได้นำป้ายหยกผ่านด่านของศาลบุ๋นแผ่นหนึ่งมาด้วย”

นักพรตหนุ่มถามหยั่งเชิง “หนิงเหยาอาศัยการสะสมคุณความชอบ แหกกฎหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลเลียนแบบจ้าวเหยาแห่งสายเหวินเซิ่งผู้นั้นรึ?”

เซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่แต่ไหนแต่ไรมาเงียบขรึมพูดน้อย อยู่ดีๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “นางเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานแล้ว”

ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าได้ชักกระบี่ออกจากฝักมาปกป้องคนหนุ่มทั้งสามอยู่เบื้องหน้าแล้ว หลักๆ แล้วคือปกป้องเทียนซือน้อยจากจวนเทียนซือและภิกษุเด็กหนุ่ม ส่วนหยวนพางนั่น อันที่จริงไม่ต้องให้เซียนกระบี่ผู้เฒ่าใส่ใจมากนัก

นักพรตหนุ่มตกตะลึงอย่างยิ่ง “หนิงเหยาเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง อย่างมากสุดคงแค่สี่สิบกว่าเท่านั้นกระมัง นางเป็นขอบเขตบินทะยานได้อย่างไร?!”

หนิงเหยาผู้นั้นได้กลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนแรกในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าแห่งที่ห้า ไม่ใช่เรื่องแปลก เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแจกันสมบัติทวีปก็เป็นขอบเขตหยกดิบตอนอายุประมาณสี่สิบกว่าปีเหมือนกัน

หนิงเหยาได้กลายเป็นเซียนเหรินคนแรกของใต้หล้าใหม่เอี่ยมตามสถานการณ์ ก็ไม่ถือว่าแปลกสักเท่าไร ถือว่านางสะสมมากใช้ทีละน้อย เพราะได้รับเงื่อนไขที่พิเศษ จึงควรต้องเป็นนางที่ได้ยึดครองตำแหน่งผู้นำแห่งวิถีกระบี่ของหนึ่งใต้หล้า

แต่นางเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานเช่นนี้ หากยังบอกว่าไม่แปลกนั่นแหละที่ประหลาดจริงๆ แล้ว! นักพรตหนุ่มส่ายหน้าอย่างแรง ให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าหนิงเหยาเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว

เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเอ่ย “คุณสมบัติในการฝึกตนของหนิงเหยาดีเยี่ยมเกินไป ได้ครอบครองกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง อีกทั้งยังมีโชคชะตาของใต้หล้าแห่งที่ห้าอยู่ติดกาย นางได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน ไม่ถือว่ายากเกินไปนัก เพียงแต่ว่าฝ่าทะลุขอบเขตเร็วขนาดนี้ ออกจะผิดไปจากการคาดการณ์ของผู้คนอยู่บ้างจริงๆ”

เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าหนิงเหยาจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้หรือไม่ อันที่จริงยอดเขาของใต้หล้าไพศาลมีคำวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ต่างก็รู้สึกว่าไม่ยาก ข้อโต้แย้งเพียงหนึ่งเดียวก็คือหนิงเหยาต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตเซียนเหรินไปได้ ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นี้ได้เดาไว้ว่าต้องใช้เวลาอีกประมาณแปดสิบปี ไม่ต่างจากการคาดการณ์ของไหวผานซ่วน มีเพียงเจ้าอ้วนอวี้ที่เป็นเจ้ามือเชื้อเชิญให้ผู้คนมาร่วมเดิมพันเท่านั้นที่เกินเหตุที่สุด บอกว่าอย่างมากสุดก็แค่สามสิบปี ดีนักนะ คราวนี้ต่างก็ถูกอวี้พ่านสุ่ยฆ่าตายเรียบ ได้กำไรไปเป็นกอบเป็นกำแล้ว

สิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า รวมกับตัวสำรองอีกสิบคนมีทั้งหมดยี่สิบสองคน

หนิงเหยาแห่งนครบินทะยาน หยวนพางลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายเหวินเซิ่ง เฉินสืออีอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่

รวมไปถึงนักท่องฝันแห่งหลิวเสียทวีปหนึ่งในตัวสำรอง เจ้านครหรงเม่าที่ใช้นามแฝงว่าเส้าเป่าเจวี้ยน

เรือราตรีลำหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะหยวนพางเพิ่งจากมา ก็เกือบจะมีคนสี่คนอยู่บนนั้นแล้ว

และหยวนพางผู้นี้ก็คือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนที่โต้วาทีชนะหลี่เป่าผิง

นักพรตหนุ่มหันหน้ามามองผู้เฒ่า หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส?”

เซียนกระบี่ผู้เฒ่ารู้ว่าเจ้าเด็กนี่อยากจะถามอะไร จึงเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “สู้ไม่ได้ แต่พอจะหนีเอาชีวิตรอดได้อย่างถูไถ”

การถามกระบี่ การจับคู่เข่นฆ่ากันของขอบเขตเดียวกันระหว่างผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าไพศาลอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ติด นี่คือหลักการทั่วไป ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ

ฉีถิงจี้ที่ก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในทักษินายทวีปเรียบร้อยแล้วก็คือคนที่ช่วยยืนยันเหตุผลข้อนี้ได้เป็นอย่างดี ฟันผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งได้ราวกับควงกระบี่เล่นอย่างไรอย่างนั้น

แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้หนิงเหยายังเป็นขอบเขตบินทะยานด้วย

นักพรตหนุ่มทอดถอนใจหนึ่งที “น่ากลัว น่ากลัวจริงๆ สตรีแบบนี้ ในอนาคตใครจะกลายมาเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของนางกันนะ ข้านักพรตน้อยรู้สึกสงสัยใคร่รู้เสียจริง”

เซียนกระบี่ผู้เฒ่าหัวเราะอย่างที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก “ในเมื่อหนิงเหยาไม่ได้ไปสังหารปีศาจใหญ่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่ดิ่งมายังเรือข้ามฟากลำนี้ แล้วยังเดินทางอย่างรีบร้อนปานนั้น นั่นก็เพื่ออะไรล่ะ?”

นักพรตหนุ่มหัวเราะเสียงดังลั่น “คนเก่าแก่ในยุทธภพ ไม่เสียแรงที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ ความคิดเห็นไม่เหมือนใคร สายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก!”

เซียนกระบี่ผู้เฒ่ายิ้มรับ

ฝึกตนอยู่บนภูเขา วันเวลายาวไกล ขอแค่เป็นชายแก่ที่ยังเป็นโสด ใครบ้างเล่าที่ไม่มีความองอาจของผู้กล้าในเรื่องรักใคร่ของชายหญิงบ้างเลย?

เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่จั่วโย่วที่เหมือนน้ำเข้าสมองผู้นั้น

หากบนโลกนี้มีเฒ่าจันทราผูกด้ายแดงที่คอยพลิกเปิดสมุดแห่งวาสนาชีวิตคู่อยู่จริงๆ ก็คงต้องรำคาญอาเหลียง หวาดกลัวจั่วโย่วอย่างแน่นอน

คนผู้หนึ่งจะต้องร้องไห้โวยวายขอให้เฒ่าจันทราผูกด้ายแดงให้กับตน นึกอยากจะให้ข้อมือข้อเท้าของตนพันเต็มไปด้วยด้ายแดง? กับอีกคนหนึ่งที่หากเจ้าผู้เฒ่าจันทรากล้าขยับมาใกล้ข้าก็เท่ากับถามกระบี่ข้าจั่วโย่ว?

หยวนพางเอ่ย “พวกเราออกเดินทางกันต่อเถอะ”

คนทั้งกลุ่มจึงทะยานลมไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกันต่ออีกครั้ง

กลุ่มคนที่เหมือนอย่างพวกเขานี้ ทุกวันนี้ในใต้หล้าไพศาลมีอยู่ทั้งหมดหกกลุ่ม

ตอนที่นักพรตหนุ่มทะยานลมไปนั้น อยู่ดีๆ ก็อดนึกถึงคนชุดเขียวที่ใบหน้าคลี่ยิ้มอบอุ่น นิสัยดีเยี่ยมในนครเถียวมู่คนนั้นขึ้นมาไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าหมอนี่ที่เรียกให้หนิงเหยามาหรอกนะ? ความใจกว้างและบุคลิกท่าทางของคนผู้นั้นดีเยี่ยม แต่หน้าตาของเขา ดูเหมือนไม่ว่าอย่างไรก็สู้ตนไม่ได้นี่นา

ก่อนหน้านี้เส้าเป่าเจวี้ยนที่อยู่ในนครเถียวมู่จากไปแล้วย้อนกลับคืนมา เขาไปยังร้านหมิงเจีย ซื้อตำราที่บันทึกพจนะซึ่งอ้างอิงจากตำราโบราณทั้งหมดเอาไว้ หลังจากนั้นก็รีบยกเอาสถานะเจ้านครของนครหรงเม่าออกมาทันที ครั้นจึงบีบยันต์ที่คล้ายคลึงกับเอกสารผ่านด่านชิ้นหนึ่งให้แหลก เตรียมตัวจะไปยังนครเปิ่นโม่ที่ไร้สาระอย่างถึงที่สุดแห่งนั้น

กลางระเบียงของหอเรือนงามวิจิตรดุจดินแดนเซียนที่อยู่ในวังหลวงแห่งหนึ่ง เส้าเป่าเจวี้ยนเห็นสตรีสองคนที่รูปโฉมงามเลิศล้ำอย่างถึงที่สุด คนหนึ่งสวมชุดชาววัง ลักษณะเรียบร้อยสุขุม อีกคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงตัวหลวม งามเย้ายวนดึงดูดใจคน

ฝ่ายแรกก็คือคงต้งฮูหยินที่มีชาติกำเนิดมาจากสตรีเตี้ยนเจี่ยว (คำเรียกขานคนดึงเชือกลากเรือ) ทุกวันนี้คือผู้นำนางกำนัลในวังหลวงของเรือนซีย่วนตำหนักสุ่ยหลง มีหน้าที่วาดขนคิ้ว จุดตะเกียง และนางยังควบหน้าที่ดูแลตำราในเรือนซีย่วนด้วย ถือว่าเป็นเจ้านายหญิงครึ่งตัวของสิบหกเรือนแห่งคูคลองหลงหลิน

เวลานี้นางนั่งคุกเข่าอยู่บนเสื้อไผ่เย็น หันหน้าไปยิ้มบางๆ ผงกศีรษะทักทายเส้าเป่าเจวี้ยน ไม่ได้ลุกขึ้นยืนต้อนรับ

คงต้งฮูหยินสวมรองเท้าปักลายไว้บนเท้าแค่ข้างเดียว เป็นอย่างนี้ตลอดมา

ส่วนสตรีที่อยู่ข้างกายนางนั้นถอดรองเท้าหุ้มแข้งออก เอนกายนอนอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ เอียงตัวพิงหมอนกระเบื้อง ในมือถือจอกสุรา คิ้วตางามเย้ายวนเป็นธรรมชาติ พอแหงนหน้ากระดกดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนจอกที่อยู่ในมือจนหมดสิ้น คงต้งฮูหยินก็รินสุราให้นางเต็มจอกอีกครั้ง

สตรีผู้นี้ท่วงท่าองอาจห้าวหาญดุจบุรุษ เคลิบเคลิ้มเมามายน้อยๆ สองแก้มแดงปลั่ง มองไปคล้ายโฉมสะคราญดอกท้อ

แต่นางกลับไม่ใช่คนของนครเปิ่นโม่ นามจริงคือจูซู่ อยู่ในนครเถียวมู่ของหลี่สือหลางใช้ชื่อว่าจูซู ตอนมีชีวิตอยู่คือคณิกาชื่อดังของเป่ยหาว ความงามโดดเด่นเลิศล้ำ ดื่มสุราเก่ง เพียงแต่ว่านางเคยมีกฎอยู่ข้อหนึ่ง หากไม่เจอกับคนรู้ใจก็จะไม่แตะสุราแม้สักหยด จูซูคือสาวใช้ที่อยู่ข้างกายหลี่สือหลางในนครเถียวมู่ ส่วนเหตุใดถึงมักจะมาร่ำสุรากับคงต้งฮูหยินที่นี่เป็นประจำ คาดว่าก็คงเพราะเจอคนรู้ใจที่มีชะตากรรมร่วมกันกระมัง และยังมีข่าวลือเรื่องรักประโลมโลกบางอย่างที่แพร่ไปทั่วสองนคร เส้าเป่าเจวี้ยนไม่มีใจไปสืบเสาะว่าจริงหรือเท็จ

เส้าเป่าเจวี้ยนประสานมือคารวะกลับคืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คารวะอู๋ฮูหยิน แม่นางจู”

สาบเสื้อของจูซู่แบะออกน้อยๆ เผยให้เห็นผิวขาวนวลสีขาวหิมะผลุบๆ โผล่ๆ นางหรี่ดวงตาดอกท้อคู่นั้นลง ยิ้มถามว่า “เจ้านครเส้า คงไม่ใช่ว่ารวบรวมโชควาสนาครบทั้งสามอย่างแล้วกระมัง?”

เส้าเป่าเจวี้ยนหยิบของออกมาสามชิ้น ถุงเอ๋อลวี่หนึ่งใบ เชือกหนึ่งท่อน และยังมีรองเท้าปักลายข้างนั้นที่เตรียมมาไว้นานแล้ว เขาเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ค้อมเอววางพวกมันไว้ริมเสื่อเย็นไผ่เขียว

จูซู่พลันยื่นเท้าข้างหนึ่งออกมาเตะรองเท้าปักลายข้างนั้น คลี่ยิ้มหวานหยดย้อย “โอ้โห เจ้านครเส้ารวบรวมมาครบแล้วจริงๆ ด้วยหรือนี่ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ไม่สู้บ่าวทำการค้าอีกสักอย่างกับท่านดีไหม ของสามอย่างเป็นของข้า ข้าเป็นของเป่าเจวี้ยน ส่วนหนึ่งเค่อของค่ำคืนวสันต์จะมีลมวสันต์โชยหนักแค่ไหน ล้วนสามารถปรึกษากันได้”

เส้าเป่าเจวี้ยนเอ่ยอย่างอ่อนใจ “แม่นางจูล้อเล่นแล้ว”

อู๋เจี้ยงเซียนลุกขึ้นนั่ง สายตามืดทะมึน เก็บถุงแท่งเขียนคิ้วก้นหอยและเชือกหนึ่งท่อนนั้นมา จากนั้นก็หยิบรองเท้าปักลายข้างนั้นขึ้นมา เปลี่ยนท่านั่งเสียใหม่ ขยับตัวหันข้าง ก้มหน้าค้อมเอวลง สวมรองเท้าไว้บนเท้า

เส้าเป่าเจวี้ยนดึงสายตากลับมานานแล้ว สายตามองตรงไปเบื้องหน้า ไม่ดูภาพอันงดงามหวาบหวิวใจนี้

อันที่จริงในสิบเอ็ดนครนอกจากนครหรงเม่าของตัวเองแล้ว เส้าเป่าเจวี้ยนกลัวที่จะต้องมาเยือนนครฮวางถังแห่งนี้ที่สุด เพราะว่าอยู่ที่นี่ขอบเขตของผู้ฝึกตนใช้ได้ผลที่สุด แล้วก็ไม่ได้ผลที่สุดในเวลาเดียวกัน คนต่างถิ่นอย่างพวกเขานี้ หากอิงตามกฎเกณฑ์ฟ้าดินของที่แห่งนี้ ถือว่าเป็นแค่คนที่ผ่านทางมาของเรือข้ามฟากเท่านั้น เป็นเหตุให้ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง อยู่ในนครเปิ่นโม่แห่งนี้จะมีตบะของขอบเขตหนึ่งเท่านั้น แต่ผู้ฝึกตนที่เพิ่งเริ่มการฝึกตน อยู่ที่นี่กลับอาจมีตบะเหมือนเซียนดิน หรืออาจถึงขั้นได้ครอบครองวิชาอภินิหารของขอบเขตหยกดิบ ผู้ฝึกตนที่มีขอบเขตประมาณประตูมังกร ตบะในนครแห่งนี้กลับจะพอๆ กับตบะที่แท้จริง

ภูตน้ำน้อยขอบเขตถ้ำสถิตที่อยู่ในตะกร้าไม้ไผ่สะพายหลังของเฉินผิงอันนั้น เข้ามาในเมืองแห่งนี้ แน่นอนว่าสามารถขยับขอบเขตขึ้นไปได้หลายขอบเขต แต่เฉินผิงอันกลับต้องขอบเขตถดถอยในเสี้ยววินาที นั่นก็คือโอกาสของเส้าเป่าเจวี้ยนแล้ว

ดังนั้นเส้าเป่าเจวี้ยนจึงจำต้องมาเยือนนครเปิ่นโม่อีกครั้ง ก็เพื่อวางแผนเล่นงานอิ่นกวานผู้นั้น ทางฝั่งของตู้ซิ่วไฉ อันดับแรกเขาก็มอบของจำพวกขิงขาวออกไปก่อน เพื่อแลกเปลี่ยนมาเป็นดาบแคบเสี่ยวเหมย ได้รับโชควาสนาเป็นความจริง แต่วัตถุประสงค์โดยรวมแล้วก็เพื่อขยับเข้าใกล้เฉินผิงอันโดยที่ไม่เปิดเผยร่องรอย จากนั้นจึงเติมเนื้อหาตัวอักษรในเทียบกลิ่นบุปผา ช่วยให้คนที่อยู่เบื้องหลังสกุลฟู่สมดังใจปรารถนา สุดท้ายได้ถุงเอ๋อลวี่หนึ่งถุงและเชือกหนึ่งท่อนมาจากผู้เฒ่า แลกเปลี่ยนมาเป็นโอกาสที่จริงแท้แน่นอนจากคงต้งฮูหยินนั้นเป็นเรื่องเท็จ มีเรื่องขอร้องนางเรื่องหนึ่งจึงจะเป็นความจริง

——